tag:blogger.com,1999:blog-44802544808396861562024-03-04T23:45:09.925-08:00มนตราหิมาลัย....เมธาวี เลิศรัตนาhttp://www.blogger.com/profile/08911828304642179150noreply@blogger.comBlogger15125tag:blogger.com,1999:blog-4480254480839686156.post-302298979935807802014-03-21T20:42:00.002-07:002014-03-21T20:42:45.728-07:00เก็บความบางส่วนของ จักรวาลกำลังฝัน The Dreaming Universe / Fred Alan Wolf Ph.D. (ตอนที่ 3 เรื่องมินเดล-เพาลี)<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
สายๆ วันนี้รู้สึกว่า ไหนๆ ก็จะฝันกันแล้ว ก็ทำงานกับความฝันตอนตื่นไปพร้อมกันเลย ท่าจะดี .. ทำงานกับกายฝัน .. พ่อมดเฟรด อลัน วูล์ฟ เล่าเรื่องของมินเดล</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
โดยบอกว่า “กายฝัน” นั้นอยู่ในขอบข่ายการสืบค้นของอาร์โนล มินเดล ความเจ็บป่วยที่ส่งผลกระทบถึงมินเดลทำให้เขาประจักษ์ว่าไม่สามารถจัดการกับร่างกายของตัวเองได้โดยใช้พุทธิปัญญาบริสุทธิ์ .. เทคนิคที่มินเดลประสบความสำเร็จเมื่อเขาทำงานกับความฝันของคนไข้ของเขา ด้วยการมองว่าร่างกายคือกระจกสะท้อนแบบแผนชีวิตของบุคคล และแบบแผนเหล่านี้ซึ่งปรากฏในความฝันเป็นสัญญาณจากร่างกาย เป็นความฝันก็ถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นในร่างกายเรา </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ดังนั้นอาการทางกายไม่อาจจัดการได้โดยกลไกพยาธิวิทยาล้วนๆ อาการไม่ได้เป็นแค่ sicknesses ซึ่งจะต้องถูกรักษา, ควบคุม, หรือบำบัดเยียวยา หากว่า “อาการ” คือ potentially meaningful และเป็นเงื่อนไขของเป้าประสงค์</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แสดงสัญญาณแห่งมหัศจรรย์จินตนาการอันประสานกันของชีวิต หรือเป็นการนำตนไปเข้าใกล้กับจุดศูนย์กลางของการปรากฏ (center of existence) อย่างที่มินเดลดึงออกมา “พวกมันสามารถจะกลายเป็นการเดินทางไปยังโลกอื่น ได้ดีพอๆ กับวิถีการเข้าสู่พัฒนาการทางบุคคลิกภาพ”</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
มินเดลค้นพบในงานของเขาว่าทุกๆ การแสดงออกทางกายภาพของร่างกายเป็นการเผยออกของความฝันของคนๆ นั้น รวมไว้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นอากัปกริยา, โทนเสียง, การเคลื่อน แกว่งแขน, การเดิน, การที่โอบไหล่ตอนพูดคุย, การแสดงออกของใบหน้า และความเจ็บป่วยทางกายภาพทั้งหมด ทั้งปัญหาความสัมพันธ์ก็สะท้อนในความฝันและถูกเก็บเอาไว้ในร่างกายด้วย</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
มินเดลค้นพบว่าเค้าไม่สามารถจะหาเหตุผลใดๆ สำหรับความเจ็บป่วยของเขาเองได้ เค้าศึกษาทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำได้ แต่ในที่สุดก็ล้มเหลวที่จะเรียนรู้ว่าความเจ็บป่วยบอกอะไรกับเค้า แล้วเค้าก็ค่อยๆ เฝ้าดูคนไข้ซึ่งเห็นความเจ็บป่วยทางกายได้ชัดเจน หรือเป็นพวกที่ไม่สามารถจะควบคุมร่างกายได้ .. (อื่มมม..ไม่สามารถจะควบคุมร่างกายได้!!! .. ตอนนี้ไปเชื่อมตอนที่ astro body ไม่สามารถจะควบคุมร่างกายได้) เขาชี้ไปที่คนซึ่งมีภาวะผิวหนังอักเสบซึ่งกำลังเริ่มเกา แล้วการเกามันก็ยิ่งจะทำให้อาการมันแย่ลงไป หรือเมื่อคนที่ปวดหัว ก็จะยิ่งสะบัดหัว คนปวดตาก็กดลงไปที่ดวงตา คนขอแข็งก็จะพยายามก้มงอคอ พวกคนไข้ล้วนพยายามจะขยายความเจ็บปวดให้มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นมินเดลเห็นว่าผู้คนต่างพยายามทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความคาดหวัง ถ้าคนเป็นทุกข์กับความเจ็บปวด แทนที่จะทำอะไร (จากสัญชาติญาณ?) เพื่อบรรเทา แต่พวกเค้ากลับทำให้มันแย่ลงไปอีก นั่นทำให้มินเดลค้นพบว่าการขยายอาการทางกายเป็นผลส่งให้ผู้ป่วยเข้าถึงความหมายของการเจ็บป่วยที่แท้จริง</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
จากหนังสือชื่อ Working with Dreaming Body : Arnold Mindell เล่าว่าผู้ป่วยที่ได้รับความเจ็บปวดจากมะเร็งช่องท้องบอกมินเดลว่าก้อนเนื้องอกทำให้เขาเจ็บปวดจนทนไม่ไหว ถ้าเป็นนักบำบัดธรรมดาก็จะหยุดทำงานกับคนไข้รายนี้ แต่มินเดลกลับไปพบและขอทำให้อาการมันแย่ลงไปอีก คนป่วยบอกว่าถ้ากดท้องเค้าก็จะยิ่งเจ็บหนัก มินเดลบอกให้คนป่วยยืนขึ้นแล้วกดลงไปที่กล้ามเนื้อท้อง การกดอย่างต่อเนื่องมันเพิ่มความเจ็บปวด จนในที่สุดก็ตะโกนร้องออกมา มันแย่มาก และเค้ารู้สึกว่ากำลังจะเบิดออก จากนั้นคนป่วยรายนี้ก็ ..broke down แล้วร้องไห้ พูดอธิบายถึงชีวิตของเค้า เค้าบอกว่าเค้าไม่สามารถจะปลดปล่อยตัวเองได้จนถึงขีดที่ต้องการ...</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แม้แต่มะเร็งก็ยังทำได้เลย โดยเทคนิคการขยายความเจ็บปวด คนเจ็บจะเริ่ม express himself อย่างเต็มมากขึ้นกว่าที่เค้าเคยทำมา เรียกได้ว่ากลับมาชีวิตอย่างเต็มที่อีกครั้ง อยู่ต่อไปได้อีกสองสามปีก่อนจะตาย ....ก่อนหน้านั้นนิดหน่อย ผู้ป่วยคนนี้ได้เรียนรู้จากการรักษามะเร็ง (ซึ่งไม่สำเร็จ) ของเขา เขาฝันว่าเขาป่วยเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาหาย และยาที่จะรักษามันได้ก็คือระเบิด มินเดลตัดสินใจเลยว่าการป่วยของคนไข้ของเขานั้นคือมะเร็งซึ่งมาจาก unexpressed desire!!! มันคือการสูญเสียการแสดงออก ปลดปล่อย.. ก็เลยออกมาผ่านมะเร็ง คนป่วยจำเป็นจะต้อง..ระเบิด..นี่เป็นจุดที่ทำให้แนวคิดเรื่องกายฝันเข้ามาในใจของมินเดล กายฝันมันเป็นทั้งสองอย่าง คือทั้งฝันและกายในเวลาเดียวกัน มินเดลบอกว่าในเคสต่างๆ ที่เค้าประสบมาทั้งหมด ไม่มีแม้แต่เคสเดียวที่ความฝันของบุคคลจะไม่ไปสะท้อนกับอาการทางกาย ในทำนองเดียวกัน สำหรับมินเดลแล้ว การทำงานกับความฝันและทำงานกับร่างกาย กลายเป็นความสอดคล้องจองกัน</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
กายฝันสามารถนำมาเชื่อมต่อกับร่างกายได้ คล้ายกับที่ฟังก์ชั่นคลื่นควอนตัมสามารถจะให้ความเป็นไปได้ของความเป็นอนุภาค หรือถูกเชื่อมสัมพันธ์เข้ากับสถานภาพทางกายภาพของอนุภาค ในทางควอนตัมฟิสิกส์เราไม่สามารถจะจัดการกับสสารเพราะว่าเราไม่มีหนทางในทางควบคุมมัน.. (โหยยย.. โดนเต็มๆ เบย .. มันคือตอนที่ astro body ไม่สามารถ control physical body ได้)</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แทนที่จะเป็นอย่างงั้น ก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คาดหวัง, ความโน้มเอียง และความเป็นไปได้ เหมือนกับว่าพวกมันเป็น สนามที่ลอยอยู่ “ภายนอก” ใน space สนามเหล่านี้ พ่อมดบอกว่ามันถูกแทนค่าด้วยจำนวนเชิงซ้อน, จำนวนซึ่งประกอบด้วยสองส่วนคือ จำนวนจริง real number และ imaginary number (คอดๆ ชอบมินเดลตรงที่ว่า ไม่มีสิ่งในที่เค้าทำแล้วจะอธิบายเชิงควอนตัมไม่ได้) ดังนั้นแม้ว่านักฟิสิกส์จะให้ภาพความเป็นไปได้ของสนามแทนด้วยจำนวนเชิงซ้อน แต่ไม่มีใครมองเห็นมัน ไม่เห็นความมหาศาลอลังการของจำนวนเหล่านั้น ไม่ว่าจะที่จุดเฉพาะจุดไหนในห้วงอวกาศหรือในเวลา มันสูงขึ้นด้วยความเข้มข้นหรือความโน้มเอียงในการเป็นกายภาพ..อนุภาคอันมีปรากฏอยู่แล้ว</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เราจัดการกับสนามเหล่านี้ในทางการคำนวนทางคณิตศาสตร์อย่างถูกต้อง ในหลายๆ สถานการณ์ ความเข้มข้นของสนามถูกหมายเอาไว้ว่าเราได้เข้าใกล้กับความเป็นไปได้ในการที่จะควบคุม “อาการ” (อากัปกริยา) ของอนุภาค ซึ่งเราเชื่อว่าเป็นความจำเป็น ดังนั้นในหลายสถานการณ์ทางกายภาพ เหล่านั้นที่เราเรียกว่า “classical” เราเชื่อว่าเราควบคุมได้และเข้าใจมันในปรากฏการณ์ทางกายภาพพ่อมด เล่าเรื่องมินเดล ต่ออีกหน่อย.. แม้ในบางสถานการณ์ การจะไปพยายามควบคุมมันชัดแจ้งว่าเป็นไปไม่ได้เลย ตัวอย่างเช่น เราไม่สามารถจะวัดความแน่นอนของตำแหน่งกับโมเมนตัมของซับอะตอมใดๆ ได้ ดังนั้นเราเลยพลาดในการทำนายเกี่ยวการเคลื่อนที่ของมัน คือจะรู้ข้อมูลว่ามันไปอยู่ตรงไหนก็ต่อเมื่อมันถูกตัดสินใจ (ให้ไปอยู่ตรงนั้นแล้ว) </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ถึงจะรู้ว่ามันเป็นอย่างงั้นในทางฟิสิกส์ เราก็ยังคอยมองหาค่าใกล้เคียงของสรรพสิ่งในจักรวาลประหนึ่งความรู้มันกวักมือเรียกเรา แล้วโหมดความคิดมากมายนี่แหละที่ทำให้เกิดเทคโนโลยีขึ้นมา แล้วก็ยังถูกกลั่นกรองให้เข้าสู่งานของนักจิตวิทยาและนักบำบัดด้วย</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
งานของมินเดล ถ้าเราเอากายฝันมาเปรียบเทียบในสนามความเป็นไปได้ ซึ่งมีการเชื่อมโยงความสัมพันธ์แบบเดิมกับร่างกายอย่างเหมือนเป็นสนามที่มีอนุภาคอยู่แล้ว แล้วมันก็มีสภาวะคลาสิกมากมาย ซึ่งใช้อยู่โดยไม่จำเป็นต้องเอาแนวคิดเรื่องสนามมาอธิบายพฤติกรรมของอนุภาค อันเป็นการบำบัดแบบเก่าที่ใช้จัดการกับร่างกายกันอยู่ แต่ในเคสที่มันเห็นได้ชัดเจนว่าแบบเก่า (classic) มันไม่เวอร์ค ความเจ็บป่วยอย่างเช่นมะเร็งและระบบภูมิคุ้มกันอาจจะไม่ได้เป็นเรื่องระดับคลาสิก มันจะรักษาไม่หายเหมือนอาการทางกาย เราจำเป็นต้องเอาเรื่องการจัดการกายฝันเข้ามาดูว่าระดับไหนที่จะทดลองควบคุมได้ </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
การเทียบเคียงอาจจะมากกว่าอุปมัยอุปมา ณ ขณะนี้ .. สมมุติว่ามันเป็นความจริงว่าเมื่อเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับกายฝัน เราจะเกี่ยวข้องกับการล้มความเป็นไปได้ของฟังก์ชั่นคลื่นควอนตัมด้วย ถ้ากายฝันคือสนามที่ยังคอยการเผยออกมาทางกายภาพตามเจตนาและเป้าหมาย (intents and purposes ตรงนี้พ่อมดใส่วงเล็บว่ามันเป็นเจตนาและเป้าหมายของใครค่อยว่ากันอีกที) มันก็จะเป็นไปตามเจตนาและเป้าหมายซึ่งเป็นไปอยู่ในสนามของสสารกายภาพทั้งหมด หรือพูดอีกอย่างก็คือ ร่างกาย (กายภาพ) นั้นเป็นการเผยออกมา (manifestation) ของกายฝัน (dreaming body) จักรวาลคือการเผยออกของความฝันแห่งจักรวาล (the universe is the manifestation of the dreaming universe)... </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ในบท The Spirit of Matter เค้าจะเล่าเรื่องฝันของเพาลีและความสัมพันธ์ของเพาลีกับนักจิตวิเคราะห์ Marie-Louise von Franz (เอ๊า!! สองคนนี้รักกันเหรอ!) และยุงด้วย .. พ่อมดเล่าถึงความสัมพันธ์ถูกแสดงไว้ในจดหมายว่าเพาลีเป็นผู้ชายมีปัญหา การสิ้นไร้สติสัมปชัญญะของเขาถูกเชื่อมต่อเข้ากับความปราดเปรื่องในทางฟิสิกส์ แล้วยังไงก็ตามแต่เพาลีนั้นไม่เคยอยู่ในระดับที่เค้าเรียกกันว่า ordinary (ความเป็นธรรมดาปกติ) เลย แล้วเค้าคนนี้ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถจะก่อประกอบความเข้าใจของพวกเราเกี่ยวกับธรรมชาติขึ้นมาอย่างหลักแหลม เฉียบคม</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
การค้นพบที่สำคัญที่สุด ถูกพบหลังความคิดเชิงนามธรรมว่าอนุภาคซับอะตอมนั้นมีความสามารถในการควบคุม “ผลักออก” จากกันและกัน ดังนั้นจึงไม่มีทางที่ทั้งสองตัวจะสามารถผ่านเข้าสู่สภาวะควอนตัมทางกายภาพใน state เดียวกัน</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เพาลีเชื่อว่าความเป็นจริง (reality) นั้นมีสองลักษณะคือ มันมีเหตุผลและไร้เหตุผลด้วย นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็พบว่านี่เป็นเรื่องน่ารังเกียจ (พวกเค้ารับไม่ได้) อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงนี้เข้าสู่การพิจารณาของเพาลี (เพราะว่าเค้าบ้าพอ ฮ่าๆๆ) และพวกเราซึ่งลุ่มรวยในเนื้อหาสาระมากกว่าอะไรที่เป็นเพียงความเป็นจริงทางกายภาพ มันได้รวมเอาเรื่องความเป็นจริงจากรู้สึกนึกคิดและเรื่องจิตเอาไว้ด้วย และถ้าหากว่าเรามองมันอย่างระแวงระวังในประเด็นของการสังเกตแล้ว เราจะประจักษ์แจ้งอย่างที่จอห์น วีเลอร์กล่าวไว้เลยว่า “there is no reality unless it is an observed reality” นั่นเป็นการอนุญาติให้มนุษย์เข้าไปมีส่วนร่วมในการควบคุมความไม่สมเหตุสมผล จนถึงวันนี้มันไม่มีความสงสัยอะไรแล้วว่า ความไม่สมเหตุสมผลนั่นแหละกำลังแสดงบทบาทอยู่ในความเป็นจริงเพาลีบอกว่ามุมมองเชิงเหตุผล (rational view) ของความเป็นจริง เป็นความไม่สมบูรณ์แบบอันจำเป็นและมันก็เป็นเรื่องเวทย์มนต์กับเรื่องฟิสิกส์ ที่มาเสริมเติมกัน (complementary) อันเป็นลักษณะของความเป็นจริงเดี่ยว (single reality) หรืออีกนัยยะหนึ่ง วิกเกนสไตร์เชื่อว่า ถ้ามีคนที่ลองพูดเกี่ยวกับเรื่อง one world ว่าประกอบด้วยทั้งสองอย่างคือสสารกับจิต ผลลัพธ์ก็คือความเงียบ และประตูทุกบานจะถูกปิดลง มุมมองนี้ส่งผลกระทบถึงฟิสิกส์ที่รากฐานของมันเลยทีเดียว แล้วนักฟิสิกส์มากมายก็ได้ผ่านเข้าสู่อาณาจักรของการสนทนาในเรื่องความสัมพันธ์ของจิตกับสสาร “mind and matter” พ่อมดบอกเค้ายินดีมากเลยในเรื่องนี้ ด้วยเคยไปที่จุดพรมแดนมาเมื่อยี่สิบปีก่อนตอนนั้นถ้าให้พูดกันตรงๆ ตามความรู้สึกคือ .. เ ห ง า ..</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ความฝันของเพาลี (เก็บความจากการอ่าน Pauli's The Dreaming Universe : Fred Alan Wolf) ฝันของเพาลี</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 วูล์ฟกัง เพาลี พยายามหากรอบการรวมสำหรับกลศาสตร์ควอนตัมกับจิตวิทยาแนวลึก ทั้งจดหมายของเค้าและงานวิจัยล่าสุดในปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่าเขาถูกขับเคลื่อนโดยอะไรบางอย่างที่เราอาจจะเรียกมันว่า “alchemical considerations” (การเพ่งซึ่งแปรเปลี่ยนเคมีธาตุ) </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เพาลีตายในปี 1958 ยังค่อนข้างหนุ่ม ด้วยวัยเพียง 55 ปี ออร่าลึกลับดูเหมือนจะติดตามเค้าตลอดไม่ว่าจะตอนที่ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว หลายคนที่รู้จัก จะพบว่าเค้าเป็นคนดื้อและไม่มีความสุข มักวิพากษ์วิจารณ์งานหรือไม่ก็ความเชื่องช้าทางสติปัญญาของนักฟิสิกส์คนอื่นอยู่บ่อยๆ </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เพาลีเองเป็นคนที่มีพรสวรรค์ระดับขั้นสุดยอด ฮ่าๆ พ่อมดใช้คำว่า extremely mind and sharp tongue (คือนอกจากจะเฉียบคมทางความคิดแล้วลิ้นก็คมด้วย) </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
มีข่าวลือหนาหูว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เพาลีไปถึงเมืองที่การทดลองทางฟิสิกส์กำลังคืบหน้าใกล้สำเร็จ มันจะกลายเป็นความล้มเหลวในทันทีที่เขาไปถึง เมืองนั้น ไม่ก็แลปนั้น มันเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง จนนักทดลองขนานนามว่าเป็น “the Pauli effect” ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เกิดความล้มเหลวขึ้น พวกเขาจะไถ่ถามกันว่า เพาลีมาอยู่แถวนี้รึเปล่า? ฮ่าๆๆ</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
บางทีมันอาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรเลยที่เรื่องราวอันเกี่ยวเนื่องกับความปราดเปรื่องของเขากลายเป็นความเงียบงันไปกว่าสามสิบปีหลังจากมรณกรรม จนในปี 1988 นักฟิสิกส์ชาวฟินแลนด์ K.V.Laurikainen ได้นำเสนองานการศึกษาอย่างจริงจังตามหลังเพาลี ชื่อ “alchemical” view of matter and spirit (เล่นแร่แปรธาตุ ตามทัศนะของสสารและจิต) ที่เพาลีทำไว้กับเพื่อนของเขาและนักวิจัยผู้ช่วย Fierz ซึ่งเค้าคนนี้เคยเป็นผู้ช่วยของเพาลีที่โปโลเทคนิคในซูริคและเป็นศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์ทฤษฎีที่มหาวิทยาลัยบรัสเซลเพาลีเคยเขียนเกี่ยวกับการโต้แย้งในศตวรรษที่ 17 ระหว่างนักดาราศาสตร์ Johannes Kepler กับนักฟิสิกส์ Robert Fludd ในปกิณกะซึ่งหลังจากนั้นได้ถูกรวบไว้ในหนังสือยุงกับเพาลี .. Fludd เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่อยู่ตรงกันข้ามกับทัศนะเชิงปริมาณแห่งจักรวาลของ Kepler เพาลีเขียนถึง Fierz ว่า “ตัวผมเองไม่ได้เป็นแค่เพียง Kepler แต่เป็น Fludd ด้วย” ข้อโต้แย้งระหว่างปรปักษ์ทั้งสองเร่าร้อนอยู่ภายในตัวเพาลี เพาลีสัมผัสได้ด้วยจิตไร้สำนึกของเขา พยายามที่จะไกล่เกลี่ยทัศนะที่ดูเหมือนไม่อาจจะประนีประนอมได้ของนักแปรธาตุกับนักฟิสิกส์ ด้วยการสร้างจินตภาพในฝันของเขาที่พวกมันสอดคล้องกันอยู่ เขาได้เขียนจดหมายถึง Fierz:ในจดหมายถึง Fierz เพาลีเขียนว่า .. การค้นคว้าของผมสำหรับกระบวนการซึ่งบังเกิดขึ้นพร้อมกัน (process of conjunction) แต่ผมมีเพียงแค่บางส่วนของความสำเร็จอยู่ในนี้ แม้ว่าแรกทีเดียวจะเป็นผู้หญิงต่างชาติ (ตาเรียวเล็กอย่างชาวจีน) มาปรากฏในฝันของผม หลังจากนั้น แปลก เป็นผู้ชาย (light-dark man) ซึ่งดูเหมือนเขาเป็นผู้รู้บางอย่างเกี่ยวกับการรวมด้านตรงกันข้าม (unification of opposites) ซึ่งผมแสวงหา </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
Van Erkelens เขียนในบทความของเขาอ้างอิงถึงฝันทั้งสองของเพาลีว่าเป็นเครื่องชี้ทางให้เพาลีที่เคยพยายามประนีประนอมสิ่งที่ดูเสมือนแบ่งแยกกันระหว่างสสารกับจิต เพาลีสนทนาในฝันของเขากับสองบุคคลิกภาพนี้ และพวกเขามีสาระอันน่าอัศจรรย์ใจ ในความคิดของเพาลี จิตวิญญาณของสสาร ดูเหมือนจะหลับไหลยาวนานและถูกฝังไว้กับกรีกโบราณ แล้วบางที อาจถูกสร้างขึ้นมาด้วยการปฏิวัติของนิวตันเนียน ดิ้นรนที่จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง พ่อมดบอกว่าเค้าจะว่าตามการนำเสนอของแวน เอร์คีเลนส์ ในการบอกเล่าความฝันและการสนทนาในฝันนั้น..เมื่อเพาลีกลับไปสวิสต์เซอร์แลนด์ หลังจากอยู่ในอเมริการอจนสงครามโลกครั้งที่สองจบลง เขาได้รับแรงกดดันจนสูญเสียความกระตือรือล้นในโมเดลฟิสิกส์ไป แล้วในสภาวะหดหู่อย่างรุนแรงนั้นเอง เขาฝันถึงบุคคลิกภาพหนึ่ง ซึ่งเขาเรียกว่าเป็น “The Persian” เปอร์เซี่ยนคนนี้ปรากฏขึ้นเพื่อยั่วเย้าเพาลีและต้องการให้เพาลีช่วยเขาเข้าสู่สถาบันโปลีเทคนิคในซูริก เพาลีสร้างซีนฝันครั้งแรกให้เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ปี 1947</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ผมไปถึงบ้านเดิมของผม ได้พบกับชายหนุ่มผิวสีเข้ม ซึ่งรู้สึกว่าเป็นชาวเปอร์เซีย เขากำลังใส่บางอย่างเข้าไปในบ้านโดยผ่านทางหน้าต่าง ลักษณะเป็นวงแหวนที่ทำด้วยไม้ และจดหมายหลายฉบับ แล้วเขาก็มาทักทายผมอย่างเป็นมิตร ผมเริ่มสนทนากับเขา (จะแทนเพาลีด้วย Pl แล้วแทนหนุ่มเปอร์เซียด้วย Ps นะคะ)</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
Pl: คุณไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าเรียนเหรอ?</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
Ps: ไม่ ผมไม่ได้รับอนุญาติ ผมก็เลยเรียนในเรื่องที่มันเป็นความลับ</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
Pl: คุณเรียนเรื่องอะไร?</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
Ps: เรื่องตัวคุณ?</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
Pl: คุณพูดคุยกับผมด้วยเสียงที่คมชัดมาก</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
Ps: ผมพูดในฐานะของคนๆ นึงซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องต้องห้าม</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
Pl: คุณเป็นเงาของผมเหรอ?</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
Ps: ผมอยู่ระหว่างคุณกับแสง ดังนั้น คุณคือเงาของผม ไม่ได้ยอกย้อนนะ</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
Pl: คุณเรียนฟิสิกส์รึเปล่า?</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
Ps: ภาษาของคุณมันยากเกินไปสำหรับผม แต่ในภาษาของผมคุณไม่ได้เข้าใจฟิสิกส์!</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ในความฝันซึ่งเกิดขึ้นหลายปีก่อนที่ไอน์สไตล์กับบอห์รจะถกกันในเรื่องความครบสมบูรณ์ของกลศาสตร์ควอนตัม เพาลีฝันถึงผู้ชายที่มีลักษณะคล้ายไอน์สไตน์ ในฝันไอน์สไตน์แสดงให้เพาลีเห็นว่า QM (quantum mechanics) นั้นเพียงอธิบายเพียงมิติเดียวของความเป็นจริงสองมิติที่มีพัฒนาการสมบูรณ์กว่า ถ้าคุณเรียกเรื่องนี้ว่าเป็น Flatland ตัวละครในเรื่องเป็นสี่เหลี่ยมสองมิติ ที่ถูกส่งเข้าไปในโลกสามมิติอย่างฉับพลันทันที ตรงไหนที่เขาจะเห็นว่าชีวิตสองมิติสามารถจะแยกไปสู่สามมิติโดยการที่เขายังอยู่ภายใต้พื้นผิวของสองมิตินั้น หลายคนอาจจะคิดว่าคล้ายการเห็นวงกลมวงกลม (แบนสองมิติ) ในเครื่องบินเมื่อทรงกลมถูกผลักผ่านมันเข้าไป เพาลีรู้ขึ้นมาเลยว่ามิติที่สองซึ่งอ้างอิงถึงความฝันไอน์สไตน์เป็นอุปมาที่มาชี้ให้เห็นว่าบางอย่างขาดหายไปจาก QM จิตไร้สำนึกเก็บต้นแบบของมันไว้ เพาลีคิดว่านั่นไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างต้นแบบเหล่านี้กับจินภาพความคิดอันเป็นระเบียบเท่านั้น พวกมันสามารถสร้างโครงสร้างสสารขึ้นด้วยตัวของมันเอง</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เมื่อหลายปีผ่านไป เพาลีพยายามอย่างไม่เป็นผลในการที่จะหาภาษาใหม่มาเป็นสะพานให้เขาข้ามผ่านช่องว่างระหว่างกายภาพกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางจิต เขาเชื่อว่าภาษาใหม่จำเป็นต้องเอามาใช้อย่างเคารพในความต่างระหว่างจิตกับสสาร</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แต่ในฝันคนเปอร์เซียร์ เพาลีรู้ว่า “มิติที่สอง” ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่นักฟิสิกส์ทฤษฎีพยายามที่ใส่เชีื้อเพลิงเข้าไปสุมไฟแห่งพุทธิปัญญา แต่เป็นการไปพ้น QM ไปสู่พรมแดนใหม่ซึ่งฟิสิกส์กับจิตจะหลอมรวมเข้าด้วยกัน แต่มิติที่ซ่อนเร้นนั้นปรากฏเป็นรูปลักษณ์ (พ่อมดใช้คำว่า being) รูปลักษณ์นี้บอกเพาลีว่าเขารู้เกี่ยวกับความลับของธรรมชาติ แต่เขาไม่สามารถจะเข้าใจความยากของภาษา QM แล้วเค้าก็ยังบอกเพาลีอีกว่าเพาลีจะไม่มีทางเข้าใจภาษาของเขา แต่เขาคนนี้ก็ยังต้องการสิทธิในการได้เข้าเรียนทางวิชาการ เขารู้สึกว่าจะต้องเข้าสู่การสนทนากับแวดวงโมเดลฟิสิกส์ บางที.. ก็เพียงเพื่อที่จะเรียนภาษา ซึ่งจะทำให้เขาสามารถเผยความลับของเขากับพวกนักฟิสิกส์ได้ เขากดดันเพาลี รูปลักษณ์เปอร์เซียนี้เป็นสปิริตของสสารที่อยู่ในมิติซ่อนเร้นซึ่งเพาลีแสวงหา</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
โอ้โห กลับไปอ่านอีกรอบ จะช็อก!! เองเลยกับประโยคที่ว่า "จิตไร้สำนึกเก็บต้นแบบของมันไว้ เพาลีคิดว่านั่นไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างต้นแบบเหล่านี้กับจินภาพความคิดอันเป็นระเบียบเท่านั้น พวกมันสามารถสร้างโครงสร้างสสารขึ้นด้วยตัวของมันเอง”กลับเข้ามาอีกช่วงสาย เพราะนึกขึ้นมาได้ว่า being.. ไปเขียนภาษาไทยว่ารูปลักษณ์ ซึ่งมันไม่น่าจะพอ .. แล้วจะแปลว่าอะไร? .. คือเคยเห็นมีคนแปล light being ว่าเป็น สัตวแห่งแสง .. ถ้า being ของเพาลีนี้ จะแปลว่าเป็นสัตว.. ได้รึเปล่านะ!! แล้วสัตว แปลว่าอะไรล่ะ</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ในอีกฝันนึงของเพาลี ที่เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 1948 สปิริตมาปรากฏกับเพาลีอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แสดงให้เห็นเป็น superposition ของสองจินตภาพ คือชายชาวเปอร์เซียร์กับชายผิวกระจ่าง (light-skinned) ผมทอง ครั้งนี้คนแปลกหน้า มาในร่างที่เพาลีไม่รู้จัก ก็ในการเผชิญความฝันครั้งที่สองเป็นชายผิวดำสว่าง (light-dark man) มาในฝัน เดือนตุลาคม 1949 ตอนนี้ชายแปลกหน้าพยายามมาขับเคลื่อนเพาลีด้วยเปลวไฟเผาใหม้เอาเขาออกจากสนามของฟิสิกส์คณิตศาสตร์ (อื่ม..เดาว่า superposition คือการแยกร่างรวมร่างระหว่างหนุ่มเปอร์เซียร์ผิวคล้ำกับหนุ่มผมทองผิวกระจ่าง เป็น light-dark man) </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ผมอยู่บนชั้นสองของบ้านซึ่งเป็นสถานที่จัดประชุมฟิสิกส์คณิตศาสตร์ ผมเห็นว่าใต้ชื่อของผมเขียนประกาศไว้ว่า “เริ่ม:ธันวาคม 15” น่าประหลาดใจ ผมถามผู้ชายที่อยู่ใกล้ๆ ว่าทำไมช่วงเวลาที่จะเริ่มมันถึงได้ช้านักล่ะปีนี้ เค้าตอบ “เพราะว่าจะมีการให้รางวัลโนเบล” </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ตอนนี้ผมรู้ว่าไฟกำลังเริ่มลุกไหม้อยู่ในห้องถัดไป ผมสะดุ้งแล้วรีบวิ่งลงบันไดผ่านไปหลายชั้น (ด้วยความเร่งรีบตื่นตระหนก) ในที่สุดก็ออกมาข้างนอกได้ มองย้อนกลับไป ผมเห็นชั้นสองของบ้านซึ่งเป็นที่มาร่วมประชุมกันถูกไฟไหม้หมด ผมเดินข้ามผ่านกราวด์เข้าไปสู่โรงรถ เห็นแท็กซี่กำลังรอผมอยู่ และคนขับเติมน้ำมันลงในถัง ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ จำได้ว่า “เขา” ก็คือ คนแปลกหน้า light-dark stranger ในทันทีทันใดผมก็รู้สึกปลอดภัย “บางทีเค้าอาจจะเป็นคนจุดไฟนั้นขึ้นเอง” ผมคิด แต่ไม่ได้พูดออกมา เขาพูดกับผมเบาๆ ว่า “ตอนนี้คุณเติมเชื้อเพลิงได้แล้ว เพราะว่าชั้นบนไฟไหม้แล้ว ผมจะพาคุณไปในที่ซึ่งเป็นที่ของคุณ” แล้วเค้าก็ขับรถพาผมออกไปแวน ออคีเลนส์ วิเคราะห์ฝันว่าเป็นการผ่านเปลี่ยน (transformation) เพาลีเข้าไปอยู่ในการประชุมทางฟิสิกส์คณิตศาสตร์ การประชุมจัดขึ้นชั้นบน แสดงให้เห็นว่ามันเป็นโลกที่ขาดการเชื่อมต่อกับพื้นดินฐานล่าง (ground floor) ของความเป็นจริง แล้วกลายเป็นว่าคนที่ได้รับอนุญาติให้เข้าไปให้ความหมายกับสสารได้นั้นเป็นเพียงนักฟิสิกส์ทฤษฎี แต่เพาลีได้ใช้ศิลปะในการปรุงแต่ง สัญญลักษณ์ของการประชุมประจักษ์ในโลกแห่งสสารซึ่งถูกเผาไปในเตาไฟของการแปรเปลี่ยนวัตถุดิบของสสารไปสู่วัตถุแห่งโมเดิลเทคโนโลยี ไม่ได้เป็นการสัมมนาทางทฤษฎี </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แล้วไฟก็ดับหลังจากเพาลีออกมา ขับพาเขาออกมาจาก “หอคอยงาช้าง” เขาต้องหลบหนีลงไปสู่พื้นดินเบื้องล่าง ฐานของความเป็นจริง ที่ซึ่งคนขับแท็กซี่รอเขาอยู่ เค้าจำหน้าคนขับได้ก็เป็นเหมือนสัญญลักษณ์ของ psyche-spirit !! เพาลีเริ่มผ่อนคลายและล้มเลิกทฤษฎีทางฟิสิกส์ของเค้าแล้วตามคนขับแท็กซี่ไป ไม่กับเค้าไม่ว่าเค้าจะพาไปไหน สมมุติว่าเป็นดินแดนแห่งสปิริต เมื่อเพาลีตื่นขึ้นจากความฝัน เค้ากล่าวว่า “ผมตื่นด้วยความรู้สึกซึ่งผ่อนคลายอย่างที่สุด และมันดูเหมือนว่าผมได้สร้างความก้าวหน้าอันสำคัญยิ่งในงานของผมขึ้นมาแล้ว”</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
คำๆ นี้ ความก้าวหน้า หรือที่เค้าใช้คำว่า “progress” เนี่ย .. มันช่างประกอบด้วยแบบแผนพลังงานอันตึงเครียดจนสัมผัสได้เลยจริงๆ เวลาที่ใครถามว่างานของคุณก้าวหน้าไปรึเปล่า หรือวันนี้คุณทำอะไรที่มัน progress บ้างรึยัง? .. แต่การตื่นขึ้นของเพาลี ก้าวหน้า ก้าวสำคัญอย่างผ่อนคลาย .. ช่างเป็นอะไรที่รื่นรมย์ซะเหลือเกิน ดินแดนสปิริตนี้คือบ้านของคนแปลกหน้า ตอนนี้เพาลีได้เข้าไปสู่ดินแดนแห่งนั้นแล้ว แต่เพาลีก็ยังมีความเป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีอยู่มาก ในจดหมายถึงเอมมา ยุง (ภรรยาของคาร์ล ยุง) เขาแสดงความเห็นว่าฝันถึงคนแปลกหน้านั้นเป็นความลังเล แสงของสปิริต ปัญญาอันยิ่งใหญ่ และ chthonic (underworld) สปิริตของธรรมชาติ การแสดงออกของคนแปลกหน้านั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจเสมอ คำพูดของเขาเป็นข้อสรุปของความคิดที่บ่อยครั้งไม่สามารถจะเข้าใจได้ </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เพาลีในฝันนี้แสดงความขอบคุณต่อคนแปลกหน้าซึ่งเป็นการแปรธาตุของแสง รู้จักกันว่าเป็น lumen naturae หรือเป็นแสงของธรรมชาติซึ่งพบในระดับไร้สำนึก ลูกศิษย์ของยุง อิริค นิวแมนน์ เรียกแสงนี้ว่าเป็นแสง eros (เทพอีรอส หรือคิวปิด กามเทพของกรีก) แสงนี้จะพวยพุ่งออกมาจากอารมณ์อันรุนแรง ซึ่งเรียกว่าเป็น feeling-tone constellations (กลุ่มโทนแสงของความรู้สึก) ที่อยู่ในระดับไร้สำนึก</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แสงนี้ไม่ได้เป็นแสงของ logos (หรือวิชาความรู้ที่ใช้เหตุผล) และมาปรากฏในฝันของเพาลีเพื่อบอกเค้าว่าทัศนะเกี่ยวโลกของเขานั้นห่างไกลจากความสมบูรณ์ เพาลีรู้ด้วยการมีส่วนเข้าไปร่วมของเขาว่ามันเป็น “สติสัมปชัญญะของฟิสิกส์” แต่เพาลีขณะนี้เค้ารู้ผ่านบทสนทนากับคนแปลกหน้าแล้วว่าความรู้ของเค้าในเรื่องนี้มันไม่สมบูรณ์ ตามที่ในฝันแนะนำว่าเขานั้น “totally uneducated” คือไร้การศึกษาโดยสิ้นเชิง</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
นั่นมันเลยเป็นเหตุให้ eros หรือกามเทพผ่านเข้ามาสู่ชีวิตของเพาลี ความฝันถึงผู้หญิง เธอคือความลึกลับดำมืดชั่วนิรันดร เป็นสัญญลักษณ์ที่จิตตะวันตกไม่อาจเข้าถึง ตาหยี ผู้หญิงชาวจีน คนที่จะมาพาเค้ากลับเข้าไปสู่ตัวของเค้าเอง โดยผ่านการทรานสฟอร์มเข้าสู่ความเป็นหนึ่งเดียว whole being</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ตอนต่อไปเป็นเรื่อง เพาลีกับอีรอสเพาลีกับอีรอส</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ในเดือนมกราคม 1951 เพาลีตกหลุมรักกับมาเรีย หลุยส์ วอน ฟรานซ์ ซึ่งเธอเป็นผู้ร่วมงานของยุง ตอนนั้นวอน ฟรานซ์อายุ 36 ปี กำลังประสบความสำเร็จในการพัฒนาความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องของจิตไร้สำนึก ก่อนที่ความรู้สึกของเขาซึ่งมีต่อวอน ฟรานซ์จะถูกพัฒนาขึ้นมา เพาลีเคยพยายามที่จะสร้าง “ภาษากลาง Neutral” ที่จะช่วยทำให้เค้าได้เข้าสู่การรวมแนวความคิดของโมเดิลฟิสิกส์และจิตวิทยา รวมไปถึงปรจิตวิทยาด้วย (parapsychology การศึกษาค้นคว้าเรื่องปรากฏการณ์ทางจิตที่ยังอธิบายไม่ได้) เพาลีรู้ผ่านความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอว่าคงจะต้องล้มเหลว เขาไม่สามารถติดตามนามธรรมซึ่งบัญชาไว้ในวิถีการเรียนรู้เชิงเหตุผลสมัยใหม่ได้ เขารู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องมีอีรอส (คิวปิดหรือกามเทพ) มาช่วย </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แม้กระนั้นวอน ฟรานซ์ก็ยังทำงานกับเพาลี ช่วยเขาแปลภาษาลาตินที่ยังไม่เสร็จในงานของเขา ของ Fludd กับ Kepler ถึงอย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้วเพาลีเป็นนักฟิสิกส์และวอน ฟรานซ์ เป็นนักจิตวิทยา ความสัมพันธ์แค่ทำงานด้วยกันนั้นไม่เพียงพอสำหรับเขา มันปรากฏชัดว่าความสัมพันธ์ของเขาและเธอกลายเป็นบางสิ่งที่มากกว่าอาชีพ แต่นั่นมันกลายเป็นมากเกินไปสำหรับเพาลี เขาสัมผัสได้ว่าความรักที่มีต่อเธอนั้นมีความสำคัญและมีความหมายทางจิตวิญญาณอย่างลึกล้ำ จนกระทั่งมันทำให้เพาลีปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ให้มันเป็นมากกว่าสปิริตของความรัก หรือมากกว่า amor vulgaris เพาลีดูเหมือนอยากจะออกจากความสัมพันธ์ในรูปแบบของความรักกับวอน ฟรานซ์ และเธอก็เตรียมที่จะเปลี่ยนแปลงในเรื่องความสัมพันธ์กับเค้าด้วย</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แต่ทำไมมันถึงเปลี่ยนล่ะ? อะไรมาขับเคลื่อนเพาลี ทำไมเขาถึงปรารถนาที่เปลี่ยนความรักของเขากับเธอจาก physical love ไปเป็น purely spiritual love ล่ะ .. เป็นอีกครั้งที่เราจะต้องดูกลับไปที่ light-dark stranger ในฝันของเพาลี เขาแสดงลักษณะของเพศชาย ซึ่งบางทีดูคล้าย ankle-winged Mercury (เทพเมอคิวรี่ย์) หรือเป็นผู้ส่งสารของเทพเจ้า ลักษณะเทพนี้ยั่วเย้าเพาลี เขาให้เพาลีคุกเข่าลงยอมรับการตัดสินใจของเขาผ่านคิวปิด แต่บอกให้เพาลียกตัวเขาเองให้สูงขึ้นเพื่อให้มองเห็นแสงซึ่งเหนือกว่าสสารทั้งหลาย เป็นแสงแห่งสปิริต</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แต่เพาลีก็ยังถูกขับเคลื่อนด้วยวิถีแห่งเหตุผลของผู้ชาย ระหว่างสามปีของความสัมพันธ์ของเขากับวอน ฟรานซ์ เพาลีคงความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเขาเอง แต่เขาก็ยังอ้อยอิ่งในปาฐกถาทางพุทธิปัญญาของเขา เค้าต้องการที่จะเข้าใจถึงการขาดหายไปของวิญญาณในทัศนะการมองโลกแบบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เขาพบว่า meditation เหมาะสมมากกว่าในการที่จะใช้ในการแสดงออกทางวิญญาณ มากกว่าความต้องการภาษากลาง neutral language ของเขาซะอีก ในจดหมายถึงวอน ฟรานซ์ เขาเขียนว่า</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
นานเหลือเกิน ผมอยากจะเขียนถึงคุณเพื่อสื่อสารจากอารมณ์อันมั่นคง ซึ่งเป็นการหลอมรวมกันของทัศนะที่ยืนกรานตัวของมันเองอยู่ข้างในของผม มันสั่งให้ผมแสดงออกมา ผมจะต้องเขียนบนวิถีของความอยากรู้อยากเห็น ครึ่งนึงเป็นแฟนตาซี อีกครึ่งเป็นเหตุผล ในหนทางของ “สมาธิ” ที่กำลังพัฒนาอยู่ ทั้งมันยังประกอบด้วยสองความฝันที่คุณยังไม่รู้</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แล้วเพาลีก็เขียนถึง การทำสมาธิของเขา ว่ามันคือชิ้นส่วนแปลกประหลาดของงานที่เขาอุทิศให้ความสัมพันธ์ของเขากับวอน ฟรานซ์ มันประกอบด้วย meditative กับ imaginative ซึ่งมันจะเป็นคำตอบทั้งหมดสำหรับปัญหาที่เค้ากำลังปลุกปล้ำคลุกคลีกับมันมาตลอด บุคคลิกภาพของ “คนแปลกหน้า” ที่ตอนนี้ถูกเรียกว่าเป็น “the master” แทนที่ความขัดแย้งกับบุคคลิกภาพความเป็นมาสเตอร์ของเพศชาย ก็มีผู้หญิงปรากฏขึ้นมา เธอเป็นครูสอนเปียโน และเธอเข้ามาไกล่เกลี่ย ประนีประนอมระหว่างเพาลีกับมาสเตอร์ของเขา, ตัวตนที่สูงกว่าของเขา (higher self) เขาเรียกงานชิ้นนี้ของเขาว่า (The Piano Lesson - An Active Fantasy about the Unconscious) </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ต่อไปเป็นเรื่องบทเรียนเปียโนพ้นกาลอวกาศอ้าา.. เพาลีกับแหวน และครูสอนเปียนโน .. จำได้ว่าเรื่องนี้มินเดลก็เล่าไว้ใน qunatum mind แต่เค้าพูดสั้นนิดเดียว อ่านแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ พ่อมดว่าไว้สามหน้าเต็มๆบทเรียนเปียนโนข้ามพ้นกาลอวกาศ</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
บทเรียนในฝันนี้ เพาลีดูเหมือนจะอยู่ในโลกซึ่งปรากฏอยู่นอกกาลอวกาศ ที่ซึ่งเขาได้พบกับหญิงสาวที่เป็นครูสอนเปียโน เธอขึ้นอยู่กับมาสเตอร์ แล้วก็ทำตามมาสเตอร์นี้ทุกอย่างโดยไม่เคยมีคำถาม แต่เมื่อเพาลีมาเรียนเปียโนกับเธอ เธอได้มอบโอกาสในการพัฒนาอิสรภาพให้มากขึ้น ในการแสดงบทบาทตรงกลางระหว่างเพาลีกับมาสเตอร์</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เปียโนเป็นสัญญลักษณ์พิเศษเฉพาะตรงนี้ ในโลกนี้ เป็นสัญญลักษณ์ที่ถูกสร้างสรรขึ้นมา แต่โลกนี้ก็ถูกผ่าแบ่งออกเป็นสอง นักวิทยาศาสตร์ยึดครองคำว่า Creation แต่ไม่ใช่ดนตรี พวกเขาอ่านโน๊ตแต่ล้มเหลวในการฟังเพลง ผู้หญิงเล่นเปียนโนเป็นสัญญลักษณ์ของ feminine ที่อยู่ฝ่ายดนตรี และไม่เป็นการจัดการทางระบบเหตุผลของโน๊ต</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เพาลีเข้าตรรกะของดนตรีแต่ไม่สามารถจะเล่นเปียโนได้ เขาอ่านชีทดนตรี เขารู้ว่าการจัดการเชิงตรรกะของโน๊ตคือการสั่นไหว (vibration) แต่เขาไม่สามารถแสดงออกมาเป็นความงามและเสียง ดังนั้นเขาก็ต้องเรียนบทเรียนเปียนโน หมายถึงเขาต้องพัฒนาความเป็นผู้หญิงของเขา ตรงความรู้สึกที่อยู่ข้างใน</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ครูเปียนโนนี้แน่นอนว่าคือ anima (ต้นแบบเพศหญิง) ของเพาลี วิญญาณของความเป็นหญิงของเขา เธอมองดูคล้ายกับมาเรีย หลุยส์ วอน ฟรานซ์ (เพียงบางครั้ง) แต่ส่วนใหญ่แล้วเธอจะเป็นผู้หญิงจีนตาชั้นเดียวเรียวเล็ก เป็น exotic หรือส่วนที่ซ่อนเร้นของเพาลี เธอดูเหมือนจะอาศัยอยู่ในจิตไร้สำนึกของเขาอย่างปลอดภัยจากเหตุผลเชิงตรรกะอีโก้ของผู้ชาย ใบหน้าชาวจีนของเธอก็เป็นสัญญลักษณ์ความลี้ลับของตะวันออก อีกครึ่งหนึ่งของหยิน-หยาง เพาลีมักจะอ้างอิงถึงจีนเสมอว่าเป็น “อาณาจักรที่อยู่ตรงกลาง” นี้มีความหมายกับเพาลีว่าอยู่ตรงกลางของ self-psyche (อ้างอิงโค้ดโดยยุง ในบทต้นของหนังสือ)</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ในสตูดิโอ เพาลีคุยกับครูของเขา ทั้งสองช่วยกันและกัน พวกเขาร่วมกันในเรื่องที่ว่าทำอย่างไรโลกจะสามารถเป็นทั้งสองอย่าง ทั้งสมการทางคณิตศาสตร์ที่ดูเหมือนจะเป็นตรรกะอันเย็นชาและสัมผัส ความรู้สึก โลกแห่งความหมาย เป้าประสงค์ และอารมณ์</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แต่ในตอนท้ายของการสนทนากับ “สุภาพสตรี” ของเขา เพาลีก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาอีก เพาลีเหมือนโมเสสเห็นดินแดนของมาสเตอร์ของเขา เป็นบ้านทางจิตวิญญาณของเขา แต่ก็กลัวว่าจะไม่เคยได้ผ่านเข้าไป เขาสัญญากับเลดี้ของเขาว่าเขาจะพยายามสื่อสารเป็นภาษาฟิสิกส์ถึงมาสเตอร์ แล้วเพาลีก็ได้ยินเสียงมาสเตอร์ของเขาพูดด้วยเสียงที่เป็นมิตรว่า “นั่นเป็นอะไรที่ฉันรอคอยมาตั้งนานแล้ว” เพาลีตอนนี้อยากจะออกไปจากห้องเรียนเปียนโน เค้าโค้งคำนับสุภาพสตรี แต่มาสเตอร์ก็พูดกับเพาลีว่า “Wait ..Transformation of the center of evolution” การแปรเปลี่ยนของศูนย์กลางแห่งวิวัฒนาการ..</div>
<div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
และเพาลีก็กล่าวว่า “In earlier times one said, ‘Lead transforms in to gold” ในก่อนกาลตนกล่าวว่า ตะกั่วกลายเป็นทองคำ..</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ตอนต่อไปชื่อ แหวนแห่งจินตนาการแหวนแห่งจินตนาการ</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
บทเรียนเปียนโนจบลงอย่างนี้...</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ณ ขณะที่เลดี้ถอดแหวนออกจากนิ้วของเธอ ตอนที่ผมไม่ทันได้เห็น เธอปล่อยให้มันลอยอยู่ในอากาศและสอนผมว่า “ฉันสงสัยว่าคุณคงรู้จัก แหวนนี้ จากคณิตศาสตร์ในโรงเรียน มันคือวงแหวน i”</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ผมพยักหน้า และพูดออกไปว่า</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
Pl: “The “i” ทำให้เกิดโมฆะและรวมเป็นหนึ่งเดียวกับคู่ (ของมัน) ขณะที่ในเวลาเดียวกันมันก็ควบคุมการหมุน 1 ใน 4 ของแหวนทั้งวง</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
Lady: มันทำให้เกิด สัญชาติญาณหรือการกระตุ้น (instinctive and impulsive) สติปัญญาหรือเหตุผล, จิตวิญญาณหรือเหนือธรรมชาติ ของสิ่งที่คุณกล่าว, เข้าสู่การรวมเป็นหนึ่ง (unified) หรืออภิปรัชญาแนวจิตนิยม (monadic) องค์รวม? ซึ่งจำนวนที่ขาด “i” ไม่สามารถแสดงได้ </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
Pl: แหวนนี้กับ “i” คือการรวมเป็นหนึ่ง อย่างพ้นความเป็นอนุภาคและคลื่น และในขณะเดียวกันก็ควบคุมการกำเนิดของทั้งสองอย่างเหล่านี้ด้วย</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
Lady: มันคืออะตอม, สิ่งที่ไม่อาจแบ่งแยกได้, ในภาษาลาติน</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
พร้อมกับการกล่าว เธอมองมาที่ผมอย่างมีความหมาย แต่มันดูเหมือนว่าสำหรับผมแล้วไม่จำเป็นต้องพูด Cicero’s word (คำของนักพูดในสมัยโรมัน) สำหรับอะตอมให้มีเสียงดังออกมาหรอก</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
Pl: มันเปลี่ยนเวลาให้เป็นจินตภาพนิ่ง สถิตอยู่</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
Lady: มันคือการแต่งงาน และขณะเดียวกันมันก็เป็นอาณาจักรที่อยู่ระหว่างกลางด้วย, อาณาจักรที่คุณไม่อาจล่วงล้ำเข้าถึงได้ด้วยตัวเองคนเดียว ต้องเข้าไปเป็นคู่ </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
มีการหยุดนิ่งอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง, เรากำลังรอคอยบางอย่าง..</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แล้วก็มีเสียงของมาสเตอร์พูดขึ้นว่า .. transformed, from the center of the ring to the lady: แปรเปลี่ยน จากศูนย์กลางของแหวนสู่เลดี้ “Remain merciful” ... ดำรงไว้ซึ่งความเมตตา..</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมสามารถออกไปจากห้องเรียน ไปสู่เวลาปกติและวิถีปกติประจำวันในกาละเทศะ</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เมื่อผมออกมาข้างออก ผมสังเกตว่าตัวเองสวมเสื้อโค้ดและหมวก ได้ยินคอร์ท C-major ของสี่โทน CEGC ลอยมาไกลๆ แน่ใจได้ว่ามันถูกบรรเลงขึ้นโดยเลดี้ ด้วยตัวของเธอเอง เธอกลับไปเป็นตัวของเธอเองอีกครั้ง..ตอนที่เห็น "i" เมนึกถึงสองอย่างคือ imaginary number กับ imaginary time .. และตอนต่อไปก็คือ What the Ring of the Imaginaries Represents: Dreams and RealitiesWhat the Ring of the Imaginaries Represents: Dreams and Realities </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
บางที นี่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนในการค้นหาของเพาลีสำหรับการประนีประนอมทั้งหมดที่ผ่านมา ระหว่างสสารกับสปิริต the ring i. พ่อมดว่าเค้าเล่าไปบ้างแล้วเรื่องแหวน แม้จะไม่ได้อ้างถึงอย่างที่เห็น แหวนเป็นสัญญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์แทนการเคลื่อนไหวซึ่งเกิดขึ้นในระนาบเชิงซ้อน (complex plane) ของจำนวนจริงกับจำนวนในจินตนาการ (real and imaginary numbers) คุณอาจจะสร้างจินตภาพถึงระนาบ การตัดกันของสองแกน ตั้งฉากอยู่บนกันและกัน จุดตัดเป็นเลข 0 บนแกนตั้งให้มาร์คเป็นอาณาจักรของจำนวนจริง และรันไปทั้งสองข้างจากจุดตัด คือเป็นทั้ง + และ - และที่ขวางแกนจำนวนจริงนี้ก็ให้เป็นอาณาจักรของจำนวนในจินตนาการ แทนด้วยสัญญลักษณ์ i ในทุกๆ จุดบนระนาบก็จะถูกมาร์คโดยค่าของทั้งสองจำนวนนี้ เป็นค่าของทั้งจำนวนจริงและจำนวนในจินตนาการ จำนวนจริงวัดได้จากว่ามันอยู่ไกลจากจุดของแกนจินตนาการอยู่แค่ไหน และจำนวนจินตนาการก็บอกว่าคุณอยู่ไกลจากแกนจำนวนจริงอยู่แค่ไหนด้วย</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ไม่มีอะไรจะซับซ้อนไปกว่าแผนที่ซึ่งบอกคุณว่าคุณอยู่ไกลจากจุดศูนย์กลางของเมืองแค่ไหน? แกนซึ่งรันเป็นกากบาทตัดกันระหว่างเหนือ-ใต้ กับ ตะวันออก-ตะวันตก แสดงจุดศูนย์กลางของเมือง ในทุกๆ จุดบนแผนที่ บอกว่ามันเป็นที่อยู่ มันให้เทอมของจำนวนตัวเลขมากมาย หรือเป็นบล็อกตะวันออก ตะวันตกของเส้นเหนือ-ใต้ และตัวเลขมากมายหรือบล็อกเหนือหรือใต้ ของเส้นตะวันออก-ตะวันตก</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แหวนในระนาบเชิงซ้อนแสดง transformation ถ้าคุณวาดวงแหวนด้วยเส้นรัศมี (เส้นที่ลากจากจุดศูนย์กลางของวงกลมไปยังเส้นรอบวง) จุดศูนย์กลางวงกลมคือ 0 วงแหวนนี้จะตัดแกนจริงที่จุด +1 และ -1 และบนแกนจินตนาการก็เช่นกัน ที่จุด +i และ -i เป็นจุดที่เคลื่อนไปรอบๆ วงกลม จำนวนเป็นการแสดงแมกนิจูดเดี่ยวกันเสมอ เส้นรัศมีของวงแหวน แต่มันจะเปลี่ยนระยะเมื่อจุดเคลื่อนไหว นี่หมายความว่ามันเปลี่ยนผลรวมของทั้งจำนวนจริงและจำนวนจินตนาการเสริมกันไปด้วย ซึ่งนั่นทำให้ค่ารวมของมัน</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
วงแหวนสามารถจะคิดเป็นทั้งการเคลื่อนตัวของคลื่น (wave motion) เป็นคลื่นที่ผ่านวงกลมสมบูรณ์ การเปลี่ยนระยะของมันแสดงด้วยการเคลื่อนที่ของจุดบนวงแหวน...</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
บทที่กำลังเล่านี่เป็นบทที่ 18 พ่อมดบอกว่าในบทที่ 19 ถัดไปจะเล่าเรื่องคลื่นชโรดิงเกอร์ ซึ่งประกอบด้วย ionic currents (กระแสไอออน) ซึ่งปรากฏขึ้นใน brain cortex. โฮโลแกรมสามมิติของสมอง สามารถถูกสร้างขึ้นด้วยคลื่นเหล่านี้ และ phase ของคลื่นเหล่านี้ มันมีความสำคัญในการกำหนดความสามารถของโฮโลแกรมซึ่งสร้างความทรงจำขึ้นมาใหม่ phase นั้นสามารถสร้างภาพเป็นการเคลื่อนไหว ปัดภาพที่น่ารังเกียจออกไป แล้วตอนนี้ภาพนั้นถูกทำให้สมบูรณ์โดยไม่มีเคลื่อนที่ปัดออกของจากสิ่งที่น่ารังเกียจ มันเป็นแค่เพียงการเคลื่อนที่ของจุดบนวงแหวนแห่งจินตนาการในระนาบเชิงซ้อน</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แม้กระนั้นการตีความความเป็นคู่ของคลื่น-อนุภาค ยังอยู่ในการถกเถียง นักฟิิสิกส์ทั้งหลายยังสำนึกถึงความจำเป็นที่ต้องมีการขยายความเป็นไปได้อันซับซ้อน ในการอธิบายธรรมชาติ ความจริง (ระดับ fact) ซึ่งจำนวนในจินตนาการไม่อาจถูกสังเกตในสนามกายภาพ หรืออนุภาคคือความลำบากลำบนอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม มันอาจจะเป็นเพียงสนามของจำนวนจินตนาการที่รันอยู่ภายนอกตรรกะเหตุผลระดับเข้มข้นของความคิดเชิงตรรกะของเรา พวกมันหยาบ บางทีความเป็นผู้หญิง สปิริต “anima” ซึ่งพวกเรานักฟิสิกส์พบว่าจำเป็น และเป็นพลังชีวิตในระเบียบของการสร้าง “สัมผัส” ของโลกกายภาพ เราจำเป็นต้องมี จำนวนจิตนาการ แต่เราไม่รู้ว่าจะสร้างมันขึ้นมายังไง</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เช่นสัญญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ วงแหวน i เป็นสิ่งที่มีพลังอำนาจในวิทยาศาสตร์วันนี้ พอๆ กับกางเขนของคริสเตียน ในความเป็นจริงแล้วมันอาจจะเป็นไปได้แม้กระทั่งทำให้นึกไปถึงเรื่องความสัมพันธ์ ซึ่งแกนตั้งของกากบาทแสดงโลกกายภาพ</div>
</div>
</div>
เมธาวี เลิศรัตนาhttp://www.blogger.com/profile/08911828304642179150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4480254480839686156.post-4521910219389039582014-03-21T20:34:00.002-07:002014-03-21T20:34:37.752-07:00เก็บความบางส่วนของ จักรวาลกำลังฝัน พ่อมดควอนตัม The Dreaming Universe / Fred Alan Wolf Ph.D. (ตอนที่ 2)<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ต่อไปก็เป็นเรื่องซิงโครนิคซิตี้ของยุงและยุงได้รับอิทธิพลจากยุคเริ่มฟิสิกส์ใหม่อย่างไรบ้าง...</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
จักรวาลกำลังฝัน กำลังสนุก .. เหมือนได้กลับไปสู่ยุคนั้น กลับเข้าไปสัมผัสความคิดของบรรดาบุคคลในตำนานควอนตัม ... ยุงหลงใหล “ฟิสิกส์ใหม่” ซึ่งมันก็คือฟิสิกส์ที่ใหม่สำหรับเค้าในเวลานั้น ไอเดียแรกเกี่ยวกับซิงโครนิคซิตี้ของเกิดขึ้นระหว่างปี 1920 อันเป็นยุครุ่งเรืองของฟิสิกส์ใหม่ และเป็นการเริ่มต้นเรื่องระเบียบใหม่ (new order) แห่งตรรกะทางควอนตัม ยุงได้รับอิทธิจากนักฟิสิกส์อย่างนีล บอห์ร และวูล์ฟกัง เพาลี</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
บอห์รเริ่มตั้งเรื่อง “ระเบียบใหม่” ในโมเดลอะตอมของเค้า เค้าแสดงให้เห็นว่าอิเลคตรอนในอะตอมสามารถกระโดด “quantum jump” จากที่นึง (วงโคจร) ไปอีกที่ ก่อนที่จะมีเหตุอะไร (จู่ๆ ก็โดดไป) ในความเป็นจริง หลังจากนั้น บอร์หก็เป็นที่รู้จักขึ้นจาก quantum-jumping atomic model ที่มาก่อนกาลของเค้า และติดสัญญลักษณ์หยินหยางไว้ที่แขนเสื้อ เหมือนเป็นศูนย์กลางมันดาลาด้วย</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
วูล์ฟกัง เพาลี ยังเป็นนักฟิสิกส์หนุ่มผู้ปราดเปรื่องอยู่ในเวลานั้น พ่อมดว่าเดี๋ยวเค้าจะเล่าเพิ่มว่ายุงนั้นส่งอิทธิพลถึงวูล์ฟกัง ผ่านฝันของเพาลีเองด้วย เขาได้ตีพิมพ์แนวคิดใหม่ทางฟิสิกส์ซึ่งกลายมาเป็นแรงผลักดันความเข้าใจของเราเกี่ยวกับโครงสร้างอะตอมและความสามารถของอะตอมในการทำปฏิกริยาต่อกัน และฟอร์มโครงสร้างโมเลกุล ซึ่งมันถูกเรียกว่า Pauli exclusion principle (PEP)</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ในปี 1952 เพาลีได้เข้ามาช่วยยุงในแนวคิดซิงโครนิคซิตี้ ถ้าวาดรูปกากบาท (ซึ่งมีเส้นแนวตั้งตัดกับแนวนอน และบนเส้นนั้นจะเป็นความสืบเนื่องเชื่อมโยงตลอดแนว) เส้นแนวตั้งปลายด้านบนจะแทนด้วยพลังงานที่ไม่มีวันดับสูญ (indestructible energy) ส่วนปลายล่างแทนด้วยกาลอวกาศอันสืบเนื่อง (space-time continuum) ตัดกับเส้นแนวนอนที่ปลายซ้ายแทนความสัมพันธ์ระหว่างเหตุผล (causality) ส่วนปลายด้านขวาก็คือซิงโครนิคซิตี้ (synchronicity) ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นการแสดงแผนภาพอันวางสมมุติฐานด้านนึงอยู่บนฟิสิกส์ใหม่ และอีกด้านของบนจิตวิทยา</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
จากการฟังวีดีโอที่ลิงค์ก็พึ่งทราบว่าเพาลีนั้น mind collapse .. แปลว่าเสียจริต.. นั่นอาจเป็นเหตุ หรือมองได้ว่าเป็นเหตุ(หลักแห่งเหตุผลมาละ .. ) ที่ทำให้เค้าได้มาพบกับยุง ..พ่อหมอประสานก็เคยเล่าให้ฟังว่าเพาลีนั้น จะเดินพูดคนเดียวไปตามถนนเสมอ.... จักรวาลฝันต่อค่ะ... แนวความคิดนี้มันดูเหมือนจะตรงข้ามกัน พลังงานตรงข้ามกับกาลอวกาศ เช่นเดียวกับที่ความเป็นเหตุเป็นผลอยู่ตรงกันข้ามกับซิงโครนิคซิตี้ ตอนนี้พลังงานกับกาลอวกาศเป็นวิถีที่เราใช้อธิบายประสบการณ์ “ข้างนอก” .. พวกมันเป็นเฟรมเวอร์คที่ใช้สะดวก เราตั้งมันขึ้นมาเพื่อให้เห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันของเหตุการณ์.. เหตุการณ์ซึ่งพลังงานแบบเดียวกันไม่สามารถจะอธิบายได้ด้วยความแน่นอนภายในกาลอวกาศ เหตุการณ์ซึ่งดูเหมือนเกิดภายใต้กาลอวกาศแต่ไม่ได้เป็นการสงวนพลังงาน เหตุผลที่ขัดแย้งนี้อยู่ในหลักความไม่แน่นอน principle of uncertainty หรือ indeterminism (หลักการที่ไม่เชื่อว่ามีการกำหนดความเป็นไปเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว) ซึ่งต่อยอดโดย Werner Heisenberg.</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เพื่อขยายเพิ่มเติมจากที่เรารู้เรื่องพลังงาน อย่างในการเรียงลำดับความสัมพันธ์สืบเนื่อง (เป็นเหตุเป็นผล) ของเหตุการณ์ แต่เราไม่รู้ว่ามันมีการประสานกันอยู่ภายในกาลอวกาศ นั่นคือเราไม่อาจบอกได้ว่าพวกมันจะเกิดขึ้นที่ไหน และเมื่อไหร่ แต่ถ้าจะให้เรารู้ได้ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ ที่เหตุการณ์จะเกิด ก็จะไม่อาจบอกได้อีกว่าอะไรคือพลังที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น เรื่องพวกนี้พูดเอาไว้มากแล้วในหลักแห่งความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
กาลอวกาศและพลังงานเป็นส่วนเสริมเติมกันนั่นคือสิ่งที่มาอธิบายเหตุการณ์ ซึ่งเป็นลักษณะอันคล้ายคลึงกันของซิงโครนิคซิตี้และเหตุผลสัมพันธ์ ซึ่งเสริมเติมกันและกันอยู่ พวกมันจัดความเป็นไปเช่นเดียวกับที่พลังงานและกาลอวกาศกระทำกับเหตุการณ์ เหตุการณ์เหล่านี้ถูกระบุโดยส่วนประกอบทางจิตพอๆ กับส่วนประกอบทางกายภาพ มันเป็นประเด็นสำคัญอันยุ่งยากของสสาร จิตวิญญาณตะวันตกจะให้ความสำคัญก็ต่อเมื่อเหตุการณ์เหล่านั้นถูกติดป้ายของเหตุผลเข้าไปแล้ว (นึกถึงป้ายบนขวดยาที่อลิสดื่มแล้วทำให้ตัวใหญ่ขึ้น หรือไม่ก็เล็กลง ช่างสมเหตุสมผลจริงๆ) โดยการหลงลืมหรือยกเลิกเรื่องมิติอื่นของความหมายสมบูรณ์ไป ที่จริงแล้วเรากลายเป็นจิตไร้สำนึกแห่งจักรวาล นี่คือแนวคิดสำคัญที่เรายึดมั่นเรื่องจักรวาลความฝัน ขั้นแรกเราต้องเริ่มต้นมองว่าความฝันและการตื่นไม่ได้ถูกแบ่งแยกพอๆ กับการปรากฏของความคิดเชิงตรรกะของเรา เป็นที่น่าสังเกตว่าเราแบกความคิดเรื่องแบ่งแยกนี้ไว้ในตรรกะสมบูรณ์แบบ (perfect logic)</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
วันนี้ Fibonacci Day 5 / 8 /13 ตามระบบคณิตศาสตร์ซึ่งค้นพบโดยนักคณิตศาสตร์ชาวอิตาเลียน .. ผลรวมของเลขตัวที่อยู่ข้างหน้าสองตัว จะเท่ากับเลขตัวที่สาม 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21... เมื่อนำมาพล็อตลงผังก็จะได้ลวดลายสไปรัล, fractal .. เสี้ยวส่วนแบบแผนของธรรมชาติ .. ก็คงเป็นระบบเหตุผลทางคณิตศาสตร์ .. “..ฉันจะให้เหตุผลกับเธอเพื่อใช้ทำความเข้าใจในสิ่งที่ไม่มีเหตุผล..” ประโยคที่อ่านเมื่อวานนี้ดังก้องขึ้นมา ... </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ดังนั้น การเข้าใจปัญหาหลังเหตุมันเกิดขึ้นแล้ว เป็นระบบเหตุก่อผล แต่.. พ่อมดบอกว่า อนาคตนั้นเป็นเหตุอันมาร่วมก่อปัจจุบันด้วย .. ระบบคิดเชิงเหตุผลก็คงพอรับได้บ้าง บางระดับเท่านั้น อย่างไรก็ตามนายคนชื่อเดียวกันกับแกนี้ก็เขียนตัวอย่างเดียวกับแกก่อนที่แกจะเขียนซะอีก นี่ไงล่ะซิงโครนิคซิตี้ ที่เป็นประสบการณ์ตรงของเฟรด อลัน วูล์ฟ ซึ่งแกใช้คำว่า “handshake” ซึ่ง across time มา take place .. คำว่าจับมือเขย่า นี่ก็พาเรากลับไปนึกถึง standing wave... ซึ่งเป็นคำที่เอ็ดกา มิเชลใช้อธิบายเพื่อให้ผู้ฟังเห็นภาพ คลื่นมาสอดบรรสานกัน จนจุดสูงสุดและต่ำสุดของยอดคลื่นขนานกันพอดี (หากลากเส้นเชื่อมก็จะเกิดเส้นขนาน) การจับมือกันอย่างข้ามกาลเวลา แล้วมาปรากฏ.. take place.</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เช้าวันนี้ ไปหยิบ The Red Book มาพลิกๆ ดูภาพมันดาลา เสร็จแล้วก็รู้สึกว่า อะไรนะ!! ที่จะมาเชื่อมต่อกับซิงโครนิคซิตี้ที่พ่อมดเฟรด อลัน วูล์ฟ เขียนเอาไว้ .. ก็เลยกลับไปอ่านกระทู้เก่า double signal, double standard, double slit experiment ที่เคยเขียนไว้ ตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2011.. แล้วก็ลืมไป เป็นกระทู้ที่ยาวมาก เขียนกันข้ามปีเลยทีเดียว .. สิ่งที่พบก็คือ เราไปหยุดฝันสุดท้ายของยุง (Jung's Last Dream : synchronicity ที่มินเดลเขียนไว้ใจจิตควอนตัม quantum mind) แล้วไปต่อด้วยการอ่านจักรวาลกำลังฝันของพ่อมด เสร็จแล้วก็กระโดดข้ามไป กระบวนการจิต (process mind) แล้วก็ไม่กลับมีอีก .. คือไปแล้วไปเลย .. ทีนี้มาอ่านพ่อมดอีก พอหยุดพักวันสองวัน.. เฮ้ยๆ อะไรมันขาดไปนี่หว่า มันยังไงๆ อยู่นะ คำตอบตอนนี้ก็คือ .. จะต้องวนไปทวนสั้นๆ เพื่อจะวนต่อ ฝันสุดท้ายของยุงนี่แหละ น่าจะเกี่ยวกับการนัดพบ คุยกัน วันที่ 29 ด้วย .. ความฝันสุดท้ายของยุง</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
I simply believe that some part of the human self or Soul is not subject to the laws of space and time.- Carl Jung</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ผมก็แค่เชื่อว่าบางส่วนของตัวตนมนุษย์หรือวิญญาณไม่ได้เป็นไปตามกฏของพื้นที่และเวลา -คาร์ล ยุง</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
มินเดล เล่าว่าเขาไปถึงซูริคในวันที่ 13 มิถุนายน 1961 หลังจากที่ยุงตายไปได้ 6 วัน นั่นเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนในแวดวงของยุง ไม่ว่าจะเป็นญาติสนิทมิตรสหาย ต่างพากันโศกเศร้าจากการสูญเสีย บรรดาลูกศิษย์ก็พูดคุยกันถึงช่วงเวลาสุดท้ายแห่งชีวิตของเขา</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ในความฝัน ครั้งสุดท้ายก่อนตาย ยุงฝันว่าเขาเดินทางผ่านเข้าไปในพื้นที่พิเศษ พยายามค้นหาสูตรคณิตศาสตร์ ซึ่งจะมาช่วยให้เกิดความเข้าใจใน synchronicity พื้นที่พิเศษนั้นแสดงอย่างชัดเจนว่าเขากำลังเดินไปข้างหน้า แต่ก็มีกระจกที่ทำให้มองย้อนกลับหลังไปได้ และมีรูปทรงสามเหลี่ยมอยู่โดยรอบ</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ยุง ฝันถึงเรื่องการสะท้อน (reflection) และเรื่องของสามเหลี่ยม เรขาคณิตแบบยูคลิด และแบบที่ไม่ใช่ยูคลิด เกี่ยวกับความหมายของเวลาและอวกาศ มินเดลบอกว่าในบทนี้เขาจะชวนผู้อ่านสืบค้นและพูดคุยอัพเดทแนวคิดของยุง เกี่ยวกับเรื่อง synchronicity </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ก่อนตายยุงศึกษาเรื่องพื้นฐานร่วม (common ground) ระหว่างจิตวิทยา, ฟิสิกส์ และซิงโครนิกซิตี้ กับวูล์ฟกัง เพาลี (นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล) ในงานรวมข้อเขียนของเขา (เล่มที่ 8 ย่อหน้าที่ 845) ยุงบอกว่าซิงโครนิกซิตี้หมายถึง “a meaningful coincidence of inner and outer” ความประจวบเหมาะที่เต็มไปด้วยความหมายของภายในกับภายนอก ยุงบอกว่า หลักการของซิงโครนิกซิตี้อยู่บนสมมุติฐานว่ามีความพัวพันอันเป็นสากล หรือความเป็นหนึ่งเดียวกันของเหตุการณ์อันไม่มีมูลเหตุที่สัมพันธ์ เกี่ยวข้องกันเลย มันเป็นการวางหลักของทิศทางการดำรงอยู่อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ซึ่งเคยถูกอธิบายไว้แล้วเป็นอย่างดีใน “Unus Mundus” (ภาษาละตินแปลว่า โลกที่เป็นหนึ่งเดียวกัน) และในความหมายของซิงโครนิคซิตี้ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้ก็อยู่ในระดับ แห่งประสบการณ์ความเป็นจริงพ้นสมมุติ (non-consensus experience) ขณะที่ผู้สังเกตรู้สึกว่ามีสองเหตุการณ์อันไม่สัมพันธ์กันอยู่ในความเป็น จริงระดับ CR ซึ่งถูกเชื่อมโยงกับอีกเหตุการณ์โดยผ่านความหมายระดับ NCR และเหตุการณ์นั้นๆ ได้ให้ประสบการณ์กับผู้สังเกตุอย่างเป็นหนึ่งเดียว นั่นก็คือ “one world” หรือนัยยะของความพัวพันอันเป็นสากล (interconnections)</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
สามสิบปีที่ผ่านมา มินเดลได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Unus Mundus และ synchronicity ในหลากหลายรูปแบบ ขั้นแรกเขาฝังตัวเองลงในความเชื่อมโยงระหว่างความฝันกับร่างกาย แล้วถัดมาก็ศึกษาเรื่องการเชื่อมต่อระหว่างการทำงานของร่างกายและความ ตึงเครียดในระดับโลก</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เดี๋ยวคนอ่านใหม่จะไปติดที่เรขาคณิต(แบบไม่เป็นยูคลิด) .. เอามาเสริมให้อีกหน่อยค่ะ ดูภาพยุงประกอบไปด้วย.. มินเดลให้เรขาคณิตแบบ Euclidean และจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมศาสตร์ เปรียบกับ เรขาคณิตแบบ non-Euclidean และวิถีพ่อมดหมอผี เขาอธิบายว่าจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมศาสตร์นั้นเวอร์คในระบบ การเชื่อมต่อเชิง เส้น ขณะที่วิถีพ่อมดนั้นจะเวอร์คกับระบบซึ่งไม่เป็นเชิงเส้น เคลื่อนไหว บิดงดพื้นที่ และเข้าสู่สภาวะจิตอันล้ําลึกได้</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เขาว่าพวกเราก็หักเห เข้าสู่วิถีพ่อมดได้บ้างอย่างเช่นตอนที่เรานอนหลับ เต้นรํา สร้างจินตนาการ หรือ กําลังสนุกสนาน ในการเข้าสู่ภวังค์ทางจิตนั้นพื้นที่และสสารทั้งหลายจะดูเสมือนโค้ง งอ แนวความคิด เชิงเส้น ชีวิตที่เป็นเส้นตรงดูจะมีข้อจํากัด อย่างที่ครั้งหนึ่งเอมมี่กับอาร์นี่ ทดลองใช้ LSD แล้วสอง คนขับรถเรียบชายฝั่งโอเรกอน แล้วได้ประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดา คือเห็นว่าถนน (ที่เป็นเส้นตรง) อยู่ เบื้องหน้า โค้งงอ (คล้ายยูเทิร์นกลับหัวในอากาศ) เขาสรุปว่าสัมผัสเกี่ยวกับการบิดโค้งงอของกาล อวกาศของเรานั้นขึ้นอยู่กับ สภาวะทางจิต นักจิตวิทยาและพ่อมดส่วนใหญ่รู้ดีว่าจักรวาลเป็นสถานที่ ซึ่งโค้งงอ ลักษณะรูปร่างของพื้นจะเปลี่ยนไปโดยขึ้นกับมวลสารที่อยู่ใกล้ๆ และระดับของสภาวะทาง จิตซึ่งคุณดํารงอยู่ อย่างที่นักฟิสิกส์เรียกว่ามวลกับการบิดงอของพื้นที่ ส่วนนักจิตวิทยาจะเรียกว่าจิต กับประสบการณ์ ประสบการณ์เข้มข้นมากเท่าไหร่ การรับรู้มวลสสารก็จะยิ่งน้อยลงไปเท่านั้น อย่าง การรับรู้ว่าถนนบิดงอกลับหัวได้นั้นก็เป็นสัมผัสรู้ถึงความโค้งงอของ แรงดึงดูด เรามีประสบการเกี่ยว กับพื้นที่อย่างเป็นเชิงเส้นสามมิติในชีวิตประจําวันของ เราขณะที่อาจมีประสบการณ์เกี่ยวกับมิติที่สูง กว่านั้น อย่างไฮเปอร์สเปซ หรือกาลอวกาศในภวังค์</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ความฝันอาจจะเกิดขึ้นในไฮเปอร์สเปซ์ แต่ก็สอดแทรกอยู่ในกิจกรรมประจําวันของเราด้วย ชนเผ่าพื้น เมืองทั่วโลกให้ฝันชี้นําชีวิต หรือเอาชนะเกมส์การแข่งขัน (อย่างที่คนไทยเรามักฝันถึงเลขหวย ฯลฯ) ต่างจากการที่คนสมัยใหม่อย่างเราๆ คิดถึงแต่เพียงความเป็นไปในเชิงเส้น วิเคราะห์และตรวจวัดได้ มันเหมือนกับการรอคอยของความว่างเปล่าที่ปรารถนาการเติมเต็ม ด้วยแผนการและโปรแกรม มินเด ลบอกว่าถ้าเราไม่สนใจสภาวะเสมือนฝัน เราก็ไม่รู้จัก “power spots” (พื้นที่หรือจุดบรรจบแห่ง พลัง?) หรือบริเวณอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งชนเผ่าและผู้มีสัมผัสอันละเอียดอ่อนสัมผัสได้</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
จะรับรู้พื้นที่แห่งพลังได้ก็ต้องเข้าสู่ภวังค์ สัมผัสภูมิปัญญา แล้วเราก็จะมีประสบการณ์ระดับความจริง พ้นสมมุติ กาลอวกาศ กับหลักเกณฑ์อันจําเป็นสําหรับเราในการที่จะนําพาชีวิตอย่างสอดคล้องกับตัว ตน อันลึกล้ําที่สุดของเรา และส่วนที่ยังเหลือ (ไม่ถูกสํารวจ) ของจักรวาล</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เรขาคณิตแบบไม่ใช่ยูคลิดอธิบายว่า อวกาศโค้งงอ ส่วนแบบยูคลิดว่าตามกฏ c กําลัง 2 = a กําลัง 2 + b กําลัง 2 นั้นใช้การได้เฉพาะแต่ใน flat world (โลกแบนๆ) หรือในโลกรอบๆ ตัวเราที่มันดู เสมือนแบนราบ ทะเลสาบเล็กๆ ก็ดูราบเรียบ จนถึงสมัยโคลัมบัส พวกยุโรปก็ยังรู้สึกว่าถ้าล่องเรือไป ไกลๆ จะตกขอบโลกได้ (มินเดลระบุว่า โลกใกล้ๆ ตัวเรา มันมีความเข้มข้นของสนามที่ทําให้สสารดู เสมือนสมบูรณ์ชัดเจน ทึบตัน) แต่ถ้าโลกของเราใหญ่ขึ้น มีสสารมากขึ้น เราก็ต้องใช้ระบบเรขาคณิต แบบไม่ใช่ยูคลิดมาอธิบาย คือจะต้องเอาเวลา (มิติที่สี่) รวมเข้ามาด้วย ไม่ใช่แค่กว้างคูณยาวคูณสูง มินเดลชวนให้พิจารณาสูตรหนึ่งของระบบใหม่ที่ใกล้เคียงแบบยูคลิด (ซึ่งน่าจะทําให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น) คือสูตร space-time separation ซึ่งเราแทนค่าการแบ่งแยกกาลอวกาศนี้ด้วย s, แทนค่า time- like factor ด้วย b และแทนค่า space-like factor ด้วย a แล้วถ้าว่ากันตามแบบยูคลิด ก็จะเป็น s กําลัง 2 = a กําลัง 2 + b กําลัง 2</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แต่ถ้าไม่ใช่ยูคลิดล่ะ ต่างกันนิดเดียว คือเป็น s กําลัง 2 = a กําลัง 2 – b กําลัง 2 ถ้าจะหาค่าก็ ต้องถอดรากที่สองของ (a กําลังสอง ลบ b กําลังสอง) ที่เป็นลบก็เพราะมันคิดตามระบบ conjugation (ซึ่งสะท้อนตัวของมันเอง) และ จุดต่างที่สําคัญตรงก็อยู่ตรงมันเป็น "ลบ" นี่แหละ มันมาจากการสะท้อน (เพราะจะสะท้อนได้ก็ คือมีการบิดให้โค้งงอย้อนกลับ) เมื่อโค้งงอแล้วก็พ้นสภาพแบนราบ และจะต้องเพิ่มพื้นที่ขึ้นมา เป็น พื้นที่จากการเพิ่มมิติของจินตนาการเข้าไปด้วย (ถ้าจะให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นก็ลองนึกภาพการส่องกระจก อีกครั้งนะคะ) นั่นเป็นเหตุที่ทําให้เราต้องนําระบบคอนจูเกชั่นมาใช้ มิติที่เพิ่มเข้ามานี้จะเชื่อมต่อเรา เข้ากับโลกความเป็นจริงพ้นสมมุติ สัมผัสโลกแห่งประสบการณ์ ตํานานปรัมปราอันจะเข้ามาทําให้ชีวิต เราบริบูรณ์</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ที่ สําคัญคือโลกที่ไม่ใช่ยูคลิด (NCR –โลกความเป็นจริงระดับพ้นสมมุติ) นี้แตกต่างจากโลกที่เป็นยู คลิด (CR -โลกความเป็นจริงสมมุติ) ตรงที่ว่า เส้นตรงคู่ขนานสองเส้นจะมาบรรจบกันได้ ไม่เหมือน กับโลก CR หรือระบบยูคลิดใน flat land ที่บอกว่าเส้นคู่ขนานไม่มีวันบรรจบ และเหตุผลที่ทําให้ parallel lines มาบรรจบกันก็เพราะว่าอวกาศโค้งงอ นั่นเอง</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
นักฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ได้ทดสอบสูตรตามระบบที่ไม่ใช่ยูคลิดนี้แล้วโดยใช้กล้องโทรทรรศน์ ตรวจจับ ว่าอวกาศบิดงอด้วยการวัดแสงดาวซึ่งเดินทางเสมือนเป็นเส้นตรงนั้นโค้ง งอเมื่อมันเคลื่อนเข้าใกล้ ดวงอาทิตย์ จักรวาลของเราถูกบิดงอในบริเวณที่อยู่ใกล้ดาวเคราะห์ใหญ่ๆ Lucid Experiences and Temporal Discontinuities: A Parallel World Theory: (Transpersonal Dreaming and Death: The Dreaming Universe by Fred Alan Wolf)</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ประสบการณ์ลูซิดกับช่องว่างของเลาและทฤษฎีโลกคู่ขนาน บทที่ 16 ประสบการพ้นสภาพบุคคลและความตาย ในจักรวาลกำลังฝัน โดยเฟรด อลัน วูล์ฟ </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ก่อนจะเข้าเรื่องให้คำว่า “Transpersonal” ทำให้นึกไปถึงนักจิตวิทยาในดวงใจอีกคนนึง.. Stanislav Grof กับการต่อยอดประสบการณ์ของเค้า..</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
กลับมาที่พ่อมดควอนตัม.. เค้าบอกว่าอยากจะอธิบายทั้งประสบการณ์ฝันลูซิดกับช่องว่างของเวลาบนฐานของควอนตัมฟิสิกส์ ใคร่ครวญที่โครงสร้างทางคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะสมมุติฐานโลกคู่ขนาน, ซึ่งสามารถล้อมกรอบไว้ทั้งสองประสบการณ์เลย</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ก่อนอื่น อ้างอิงถึงการตีความโลกคู่ขนานของกลศาสตร์ควอนตัม ระบบควอนตันนั้นสามารถปรากฏในลักษณะของซุปเปอร์โพสิชั่น (superposition of state) อิเลคตรอนสามารถปรากฏเป็นจำนวนอนันต์ของตำแหน่งในบริเวณใกล้เคียงกับอะตอมของนิวเคลียส หรือมันสามารถที่จะหมุนตามเข็มนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกา มันหมุนไปได้ทั้งสองทางอย่างเป็นไปเอง ตอนนี้ลองสมมุติให้สมองของคุณมีความสามารถตามระบบกลศาสตร์ควอนตัมซึ่งปรากฏเป็นซุปเปอร์โพสิชั่นในสภาวะความเป็นไปได้อันมากมายดู </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เมื่อผู้สังเกตมองไปยังระบบกายภาพ หาข้อมูลเกี่ยวกับระบบที่อยู่ในสภาวะ เค้าก็จะได้พบคำตอบ อ้างอิงถึงแนวคิดโลกคู่ขนาน เขาจะประสบความคลางแคลงใจในคำตอบของแต่ละความเป็นไปได้ที่อยู่ในระบบ หรือพูดอีกอย่างนึงก็คือจิตของเค้าจะแตกออกไปสู่ประสบการณ์ทางจิตอันแบ่งแยก ดูราวกับว่าถูกตัดออกจากสิ่งอื่นๆ ในแต่ละประสบการณ์ทางจิต แต่ละโลก เขาจะรู้สึกขาดกันโดยสิ้นเชิง เดียวดายอยู่กับข้อมูลเดี่ยวๆ โดดๆ ของเขา ..ขณะนี้เขาสามารถที่จะทำหนึ่งในสองสิ่ง .. หนึ่ง เขาสามารถส่งสัญญาณซ้ำในระบบเดิมได้ด้วยการทำเพียงแค่มองดูไปที่มัน เขาจะเห็นว่าระบบมันเป็นเหมือนเดิมทุกอย่างกับที่เขาเห็นก่อนหน้านั้น และถ้าเขาทำแบบเดิมสืบเนื่องไป เขาก็จะพบว่าระบบยังคงเสถียร เขาจะทำอย่างนี้กับระบบหนึ่งหรือทำสักกี่ครั้งก็ได้กับระบบที่ถูกเตรียมมาให้เหมือนๆ กัน ทุกครั้งเค้าทดสอบด้วยการทำให้มันแตกต่างออกไป แต่ระบบก็ยังถูกเตรียมไว้เหมือนเดิมอีก เขาอาจจะได้รับคำตอบที่แตกต่าง ระบบที่สองอาจจะไม่เป็นเหมือนกับสภาวะ (state) ที่อยู่ในระบบแรก หลังจากที่เค้ามองไปยังมัน เช่นเขาส่งสัญญาณซ้ำให้มันต่างออกไป แต่ทุกๆ ครั้งมันก็ถูกเตรียมกลับมาให้เหมือนเดิม เขารวบรวมสถิติตัวอย่างและชิ้นส่วนต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นเรื่องราว ที่สอดคล้องต้องกันกับสิ่งที่เค้าค้นพบ</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ในย่อหน้าถัดไปเรื่อง Parallel world ตามคำอธิบายของพ่อมดควอนตัม.. </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
สมมุติว่าเขามองไปยังเหรียญ “ควอนตัม” 3 เหรียญ เขาจะพบว่าพวกมันจะปรากฏเป็นหนึ่งในแปดของความเป็นไปได้ ที่จะเกิดหัว (h) และก้อย(t) (hhh, hht, hth, htt, thh, tht, tth, ttt) แต่ละภาพปรากฏอย่างแบ่งแยก และมันอยู่ในโลกคู่ขนานกัน ขึ้นอยู่กับจิตของผู้สังเกต ตราบเท่าที่ระบบ (เหรียญ) ยังไม่เปลี่ยนแปลง เขาจะทำการสังเกตซ้ำสักกี่ครั้ง เขาก็จะพบกับสิ่งที่เค้าเคยเห็นมาแล้วก่อนหน้านั้น แต่ละการปรากฎจะอยู่ในโลกคู่ขนาน นอกจากนี้มันยังเป็นการยืนยันถึงการดำรงอยู่ของเขาใน “โลกของความเป็นจริง” (real world) ซึ่งมันไม่มีทางจะปรากฏร่องรอยของอย่างอื่นไปได้ ในกรณีนี้มันจะมีอยู่ 8 โลก ไม่ว่าสังเกตสักกี่ครั้ง และในแต่ละโลก เขาก็จะพบว่า เขาได้พบกับ previous observation (การสังเกตในครั้งก่อนหน้านั้น)</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
หรือเขาอาจจะมองไปยังระบบกายภาพซึ่งแม้ว่าพวกมันจะถูกเตรียมไว้สำหรับแสดงเหมือนกับระบบแรก เมื่อถูกเขามองดู (สังเกต) มันก็มีศักยภาพในการวิวัฒนาการโดยตัวของมันเอง ตอนนี้สมมุติว่าแต่ละระบบสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะแวดล้อม ปนเปสิ่งหนึ่งกับสิ่งอื่นๆ แต่ระบบ เป็นต้นกำเนิด superposition ของสภาวะหนึ่ง แล้วถูกสังเกต ให้เป็นหนึ่ง ใน state นั้นๆ แล้วเฝ้าดูวิวัฒนาการไปสู่สภาวะ superposition ต่อไป นี่อาจจะหมายความว่าตัวอย่างข้างบน ตอนแรกเหรียญแต่ละเหรียญเคยอยู่ในสภาวะซุปเปอร์โพสิชั่น แล้วถูกสังเกตให้เป็นหัว แล้ววิวัฒน์เข้าสู่ซุปเปอร์โพสิชั่นอีกครั้ง หรืออีกนัยยะหนึ่งคือสมมุติว่าเหรียญแต่ละเหรียญในน้ำพุ เมื่อไม่ถูกสังเกตก็ไม่วิวัฒน์จากสภาวะหัวหรือก้อย ไปสู่สภาวะซุปเปอร์โพสิชั่นของหัวหรือก้อยตอนนี้ลองสมมุติอีกว่าให้คนมามองดูเหรียญ (สามเหรียญอีก) เขาก็จะเห็นมันเป็น 1 ใน 8 ของความเป็นไปได้ของหัวกับก้อย อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังมี “ความทรงจำ” ของเหรียญซึ่งเขาเคยเห็นมาก่อน เขามองพวกมันเป็นครั้งที่สอง จำไว้ว่าตราบเท่าที่เขายัง “concerned” เขาเพียงแต่มองเหรียญเป็นครั้งที่สอง จากที่เหรียญ “evolve” ไปสู่สภาวะซุปเปอร์โพสิชั่นระหว่างการสังเกต ซึ่งคราวนี้ก็จะมี 64 (แต่ละโลก 8 โลกก็สามารถ แยกไปได้อีก 8 โลก 8x8) ความเป็นไปได้อันแตกต่างจากการถูกสังเกต (จากตัวอย่าง ความเป็นไปได้นึง hht สามารถเปลี่ยนเป็น tht ด้วย)ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าในครั้งที่สองของการสังเกตเหรียญแต่ละเหรียญจะเปลี่ยนอย่างน่าตื่นเต้น โลกแต่ละโลกใน 64 โลกตอนนี้เป็นความทรงจำของเหรียญก่อนหน้าที่เค้าจะมองดูเป็นครั้งที่สอง คำถามก็คือ โลกไหนเป็นโลกที่แห่งความเป็นจริง real world มันเป็นโลกที่เรามองดูครั้งแรกรึเปล่า? ในท้ายสุดของการมองครั้งที่สอง ทั้งหมดที่เค้ามีคือความทรงจำของสิ่งที่ปรากฏระหว่างการมองในครั้งแรก แต่ โลกของการมองครั้งแรก มันได้ผ่านไปแล้ว</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
นี่เป็นจุดที่ความเป็นจริงคลาสิกกับความเป็นจริงควอนตัมเกี่ยวพันกันอยู่ ในโลกคลาสิก เขาจะรู้ว่าสภาวะไหนของเหรียญที่มันเป็นจริง ได้จากการสังเกตครั้งแรก แต่ในโลกควอนตัม เขาไม่มี ความรู้นี้ถูกซ่อนเร้นไว้ เขาไม่มีทางรู้ว่าอันไหนจริง เขาจะรู้ได้เพียงหนึ่งในหกสิบสี่ของโลกแห่งความเป็นไปได้ และไม่ว่าจะเป็นโลกไหนหนึ่งในพวกมันทั้งหลาย ข้อมูลก็จะยืนยันว่าเป็นสภาวะซ้ำซ้อนและเป็นปัจจุบันในสภาวะใหม่ (in a previous state and are now in a new state)..</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ครั้งแรก.. มีแต่ในโลกคลาสิก งั้นก็แสดงว่าความใหม่ ก็มีแต่ใหม่ในแบบเก่าๆ .. โลกควอนตัม ไม่มีครั้งแรก มีแต่เดจาวู.. สายธารของเดจาวู ไม่มีความใหม่ แต่ใหม่ตลอดเวลา เพราะไหลไปตลอด ไม่เคยหยุด</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
อะไรต่ออะไร ก็เป็นเงื่อนไขแรกเริ่ม ได้ทั้งนั้นถ้ากลับไปที่ไอ่สามเหรียญนั่นอีกครั้ง และวิวัฒน์ และให้เขาทำการสังเกตของเขาซ้ำเป็นครั้งที่สาม เขาก็จะเกิดตื่นรู้ขึ้นมาว่าอยู่ใน 512 (64x8) โลกของความเป็นไปได้ ซึ่งแต่ละโลกก็วิวัฒน์ไปแล้วตามการสังเกตจำนวนของโลกที่คูณด้วย 8 ในแต่ละโลกก็จะมีร่องรอยความทรงจำ แต่มันจะเป็นไม่ได้สำหรับเขาที่จะรู้ว่าเขาเคยอยู่ในโลกไหนมาก่อน</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
จุดนี้คือจุดเป็นจุดตายของควอนตัมฟิสิกส์ ในแต่ละโลกจะมีความทรงจำ มันอาจจะทำให้เขาสามารถย้อนระลึกสภาวะของระบบก่อนหน้าว่าพวกเขาเคยถูกสังเกตโดย alter ego (แปลว่าอะไรดีอ่ะ!) </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แต่ละโลกจะปรากฏบนวิถีนี้ และในแต่ละโลกทุกอย่างจะดูเหมือนเป็นธรรมชาติและเป็นปกติ ความทรงจำของเขาจะลงรอยกัน แม้ว่ามันจะถูกสร้างขึ้นมาจากชั่วขณะของการสังเกตในครั้งล่าสุด แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความสั่นไหวของการสร้างสรรค์นี้ แม้ว่าชีวิตของเขาทั้งชีวิตอยู่บนการอ้างอิง coin experience ซึ่งทุกอย่างถูกสร้างขึ้นในครั้งเดียว เขากลับจะไปรู้สึกว่าความทรงจำนั้นเป็นความทรงจำของเขาจริงๆถ้าวิวัฒนาการนี้สืบเนื่องตามหลักเหตุ-ผล ของกฏแห่งการเคลื่อนไหว เช่นกฏของ falling bodies (จะแปลว่าไรเนี่ยชื่อกฏนี้) แม้ว่าจำนวนของโลกจะเพิ่มทวีคูณ มากมายมหาศาลของจำนวนโลกซึ่งเป็นสภาวะสืบเนื่องตามกฏแรงดึงดูดจะดูเหมือนกับถูกสังเกต หรืออีกนัยยะหนึ่งคือผู้สังเกตอยู่ใกล้เคียงกับการตื่นขึ้นจากความปกติ จากโลกที่พัฒนาขึ้นมาด้วยเหตุผล ..สมมุติว่าตอนนี้เราให้สมองของเราเป็นเหมือน “สามเหรียญในน้ำพุ” และจิตวิญญาณเป็นเหมือนผู้สังเกต ในตัวอย่างข้างบน ระหว่างการรู้ตัวตอนตื่นปกติ โลกและสมองของเราจะควบคุมสั่งการอย่างคลาสิก นี่จะเป็นเหมือนตอนที่ผู้สังเกตสังเกตเหรียญครั้งแล้วครั้งเล่า ยืนยันว่าพวกมันเป็นอย่างที่เป็น แม้แต่จิตวิญญาณที่กำลังถูกพัฒนาขึ้นมาใน alternative world ไม่มีอะไรต่างไปจากความเป็น ordinary เพราะว่าหลักแห่งเหตุผลมันได้ถูกพัฒนาขึ้นมาจาก outside world ระบบสัมผัสมัน overload จากประสบการณ์ภายนอก ซึ่งมันไปไกลเกินกว่าความไม่ปกติ “unusual” developments.แต่ในระหว่างความฝันและระหว่างอาณาจักรจินตนาการเหล่านี้ สมองของเรา ควบคุมสั่งการด้วยระบบควอนตัมกายภาพ (quantum physically) จัดการกับประสบการณ์ซึ่งไม่เป็นไปตามกฏแห่งเหตุผล และไม่ถูกสังเกตจากกระบวนวิวัฒน์ของสมอง ซึ่งอยู่ในส่วน "temporal-lobe" (เออ มี lobe นี้ด้วยเหรอเนี่ย) ถูกกระตุ้นจากกระแสไฟฟ้า นั่นจะทำให้สมอง shift สภาวะเข้าสู่ตัวอย่างเหรียญ แล้วก็เข้าสู่ช่วง introspection (แปลว่าทบทวนความคิดความรู้สึกของตัวเอง) ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากกระแสไฟฟ้าถูกก่อกวน (ทำให้ไร้ระเบียบ)... ตรงนี้มันไปต่อกับ เคออส ที่บอกว่า consciousness เกิดจากการก่อกวนสภาวะหลับ พ่อมดตั้งข้อสังเกตว่าคุณภาพของสิ่งที่ถูกรับรู้ขึ้นอยู่กับส่วนประกอบของการรับรู้ของผู้สังเกต โดยจิตวิญญาณ แม้กระทั่งว่ามันไม่มีความทรงจำที่แน่ชัด ทุกอย่างเป็น path of perception มีแค่เพียง a flash of memory ในแต่ละโลก ณ แต่ละขณะของการรับรู้ ในโลกคู่ขนานจะมีความทรงจำของเหรียญว่าเป็นอย่างไรและตอนนี้พวกมันเป็นยังไง แล้ว แว๊บหนึ่งของชั่วขณะในสมองว่าตอนนี้พวกมันเป็นยังไง แว๊บๆ และแว๊บของ flashing ที่สืบเนื่องจะทำซ้ำๆ เสมอ แต่ไม่เคยซ้ำวิวเดิมกับ mind set เดิม นั่นนำมาอ้างอิงไม่ได้ว่าสมองเคยเป็นจริงในอดีต... ในอาณาจักรแห่งจินตนาการ มันไม่มีหลักยึดเหนี่ยวในความเป็นจริงของวัตถุ ไม่มีกฏคลาสิกของวัตถุทางกายภาพไปควบคุมการเชื่อมต่อระหว่าง flashes ดังนั้น ในแต่ละประสบการณ์ แต่ละแว๊บ มันใหม่ และบางส่วนก็ทำให้กระตุก (สะดุ้ง) ..ผลที่ตามมาคือทำให้ผู้สังเกตพร้อมเต็ม (ตื่นตัวเต็มที่) ในการใส่ใจ อย่างที่เค้าไม่จำเป็นต้องมีในการรับรู้โลกคลาสิก ซึ่งมันเป็นแค่เพียงการทำซ้ำประสบการณ์เคยๆ .. แล้วนี่ก็เป็นเหตุให้อาณาจักรจินตนการ ความฝัน UFO มันต่างออกไป .. พ่อมดบอกว่าบทต่อไป จะพาไปสำรวจว่าแว๊ปของแฟลชนั้นเข้ามาสู่ ordinary consciousness ได้ยังไง.. เค้าเรียกมันว่า “art"</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
บทที่ 17 Overlaps of the Imaginal and the Real: Dream in Art, Myth, and Reality</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เช้านี้อ่านไปสองสามหน้า พบคำว่า Imaginal Realm (IR) อาณาจักรแห่งจินตนาการ และประสบการณ์ IR experiences ก็แทนด้วย IREs, IRE, NDEs, NDE ประสบการณ์ใกล้ตาย near death experiences, OBEs, OBE ประสบการณ์จากภายนอกร่างกาย out of body experiences, UFOs, UFO unidentified flying object จากบิน จานผี มนุษย์ต่างดาว.. ที่ซึ่งพ่อมดกล่าวถึงในบทที่ 17 นี้ .. อย่างไรก็ตามความคิดก็เลยเถิดไปถึง CR กับ NCR โลกความเป็นจริงระดับสมมุติ กับโลกความเป็นจริงระดับพ้นสมมุติ ของมินเดลเข้ามาด้วย .. อาณาจักรแห่งจินตนาการทั้งหมดที่พ่อมดกล่าวนี้ถึงก็อยู่ในเขตแดนความจริงระดับพ้นสมมุติ หากเปรียบกับของมินเดล บทที่สิบเจ็ดนี้พ่อมดเริ่มที่ IR หรืออาณาจักรแห่งจินตนาการ ที่เค้าบอกว่าเป็น ontologically real (ภววิทยาของความเป็นจริง) คือเป็น being .. ถ้างั้นแล้วทำไมมันถึงจริงสำหรับบางคนเท่านั้นล่ะ .. แล้วทำไมเราถึงมองไม่เห็นมัน ทั้งที่ก็ต้องเคยมีประสบการณ์กันทุกคน แต่ที่มันไม่กลายเป็นจริงขึ้นมาก็เพราะเราไม่รู้ว่ามันจริง หรือไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ ตอนที่มันเกิดขึ้นกับเรา เราคิดว่ามันเป็นแฟนตาซีบ้าง เป็นภาพหลอนบ้าง หรือไม่ก็ว่าเป็นสภาวะที่ถูกครอบงำบ้าง (คุณอาจเคยเจอว่าระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ยังโดนแทรกแซงเป็นบางครั้ง แล้วทำไมมันถึงจะไม่เกิดขึ้นกับเราล่ะ?)</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เค้าบอกว่าก่อนจะอธิบายว่า IRE เนี่ยมันกลายเป็น normal ขึ้นมาได้ยังไง หรืออะไรก่อประกอบมันขึ้นมา พ่อมดชวนไปพิจารณาสิ่งที่ Henri Corbin ซึ่งเป็นนักศึกษาแนวลึกเกี่ยวกับศาสตร์ลี้ลับและ visionary experience และงานวิจัยอื่นๆ ของคนที่เคยเป็นทั้งผู้สังเกตและถูกสังเกต ว่าพูดถึงเรื่องนี้อย่างไรกันดู</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
กรณีคอร์บินนั้น IR เป็นสิ่งที่หักล้างไปไม่ได้เลย ทั้ง coherent มากกว่าโลกที่เราประสบอยู่ในสัมผัสที่เรียกว่าตื่นปกติของเรานี่เสียอีก เพราะกลุ่มที่รายงาน IR ให้เขานั้นกลับมาอย่างตื่นเต็มสมบูรณ์แบบในการเดินทางไปที่นั่น (อาณาจักรในจินตนาการ) นักเดินทางเหล่านี้ไม่ได้เป็นโรคจิตเภท (แยกตัวจากสิ่งแวดล้อม) หรือเป็นโรคประสาท อีกทั้งโลกที่พวกเขาเข้าไปก็ไม่ได้เป็นโลกแฟนตาซีด้วย มันเป็นโลกของรูปแบบ (form), มิติ (dimension) และ life forms อื่นๆ แล้วก็มีผู้คนอาศัยอยู่ด้วย</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แต่ IR ก็ยังไม่ได้ถูกทำให้เป็นสัมผัสปกติว่าเป็นจริงของพวกเราส่วนใหญ่ .. ความเป็นจริง ดูเหมือนจะกระจ่างกว่าสำหรับพวกเรา เพราะมันเป็นสิ่งที่เราสามารถมองเห็นและรู้สึก สัมผัสมันได้ด้วยผัสสะของเราเอง แล้วก็พูดต่อคนอื่นไปว่า ถ้ามันจริง ผมก็จะสามารถมองเห็นมัน ลิ้มรส ได้ยิน ได้กลิ่น ได้สัมผัสมันสิ .. ผมอาจจะไม่ต้องการทำเรื่องที่ว่ามานี้เลย แต่อย่างไรก็ตามผัสสะของผมคือความหมายของผม (เครื่องมือในการรับรู้) ซึ่งผมใช้ค้นหาความเป็นจริงมาถึงตรงนี้ก็อยากเสริม ประสบการณ์ที่ได้สัมผัสในโลกลูซิดของตัวเองนะคะ ขยายความที่พ่อมดบอกว่า “ผมอาจจะไม่ต้องทำเรื่องที่ว่ามานี้เลย” .. ตรงนี้เมว่าเมเข้าใจนะคะ .. ในอาณาจักร IR หรือ NCR นั้น ระบบสัมผัสพวกนี้เป็นสิ่งที่คลุมเครือมากกว่าเยอะค่ะ หากเราเข้าสู่ประสบการณ์ เราจะเข้าใจความหมายของคำว่า “being” ไม่ใช่ “in” นะคะ .. มันเป็นเลย .. มันไม่มีตัวแยก หรือตัวดูอยู่ อย่างเวลาเราสัมผัสอะไรตอนตื่นปกติเนี่ย เราจะมีตัวดู (ซึ่งเมว่าส่วนนึงมันทำให้การรับรู้ไม่เป็น หรือไม่เต็มร้อย .. กระทั่งเราอินเข้าไปแล้ว เราก็ยังมีตัวดูซ้อนอยู่) ตัวดูก็มีประโยชน์นะคะ มันช่วยให้เราไม่อินเกินไป คือถ้าคุณอินแบบเต็มๆ เนี่ย คุณจะทนโลกแทบไม่ได้ เวลาคุณเสียใจคุณอาจจะแตกสลายไปเลย หรือคุณเห็นสีแดง คุณก็อาจจะเป็นบ้าไปเลย เพราะมันมากเกินกว่าที่การรับรู้ของคุณจะทนข้อมูลไหว .. ทีนี้กลับมาในลูซิด เมื่อคุณเห็นกอไผ่สีทอง มันไม่ใช่แค่คุณมองดูไผ่สีทอง แต่คุณ “เป็น” ไผ่สีทอง คุณรับรู้ได้ถึงมดแมลงที่ไต่อยู่ เหมือนมันบนไต่อยู่บนผิวคุณ คุณได้กลิ่นละเอียดมาก ของเส้นใยที่ก่อประกอบ คุณรู้สึกถึงความเย็นของหยดน้ำบนใบไผ่.. มันละเอียดอ่ะ .. บรรยายไม่ได้ เวลารับรู้อะไร มันจะครบสมบูรณ์เต็มทั้งหมด คือเป็นทั้งผู้สังเกตและสิ่งที่ถูกสังเกต นั่นแหละใกล้เคียงที่สุด .. ทีนี้พอเป็นประสบการณ์ละเอียดขนาดนี้แล้ว คุณตื่นขึ้นมาในโลกปกติ ที่สัมผัสมันเจือจาง คุณจะต้องการการพิสูจน์ไปเพื่ออะไร?!?</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ต่อจากนั้น พ่อมดก็ตั้งคำถามว่า ถ้าคุณไม่เคยกินแอปเปิ้ลมาก่อนเลย แล้วก็เกิดได้กิน .. “ครั้งแรก” คุณอาจจะขัดแย้งกับมันก็ได้นะ เหมือนจินตนาการ บางทีเราปฏิเสธจินตนาการเช่นเดียวกันกับที่เราปฏิเสธรสชาติที่ไม่คุ้น บอกว่ามันเป็นความทรงจำ หรือไม่ก็ภาพหลอน แต่ถ้ามันมีผัสสะสัก 2 ใน 5 เข้ามาเกี่ยวข้องล่ะ สิ่งที่ถูกสังเกตจะเป็น reality ได้รึยัง? แล้วเราต้องการสักกี่ผัสสะ ในการที่จะใส่ object เข้าไปในแคมป์ของความเป็นจริง </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
คอร์บินใส่เพิ่มเข้าไปอีกหนึ่ง เค้าเรียกมันว่า “psychospiritual” ซึ่งพ่อมดบอกว่าเค้าเคยเขียนไว้ในหนังสือเล่มเก่า The Eagle’s Quest เล่าไว้ว่าบรรดา shamans นั้นกุมบังเหียนผัสสะทั้งห้าอยู่หมัด แต่น่าเสียดายที่พวกเราส่วนใหญ่ยังทำไม่ได้ (แล้วใช้วิธีหลบหลีก) .. แล้วใน NDEs นี่ไม่ได้เป็นแฟนตาซี แต่เป็นการเผชิญ (อันหลีกเลี่ยงไม่ได้) มันก็เลยทำให้คนส่วนใหญ่ได้รับประสบการณ์ psychospiritual sensory awareness</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แล้วก็เล่าเรื่อง Carl Sagal ซึ่งเขาใคร่ครวญเรื่องความเชื่อมโยงระหว่างความฝันกับวิวัฒนาการ หรือย้อนไปถึงช่วงก่อนมีมนุษย์ เรื่องของ Julain Jaynes ที่ว่าพอมีมนุษย์แล้วก็ยังไม่มี real consciousness หากหลังจากนั้น consciousness ก็ผ่านเข้ามาทาง dream state</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง แสดงว่ามันจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น บางอย่างที่เป็น consciousness evolved หรือวิวัฒนาการทางจิต จิตวิวัฒน์นั่นแหละ.. มันเกิดในเวลาหนึ่งนาที ชั่วโมง วัน ทศวรรษ ศตวรรษ หรือยาวนานกว่านั้น .. หรือจิตวิญญาณเพียงกระโดดข้าม (just take a quantum leap) IREs เป็นสมมุติฐานของวิวัฒนาการได้มั๊ย? .. คราวนี้ทีมนักวิจัยก็เรียงหน้ากันเข้าหลายคนเลย</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
McKenna ที่บอกว่าพวกพ่อมดหมอผีจะมองว่าความฝันเป็นหลักฐานการดำรงอยู่ของโลกคู่ขนาน หรือ continuum overlapping (คือเป็นการโอเวอร์แลปอย่างสืบเนื่องเข้ามาใน real world) แล้วเค้าก็ยังเชื่อว่ากายจิต โผล่ปรากฏขึ้นมาในความฝันที่ปรากฏอยู่ใน higher-order spatial dimension ในมุมมองของวิทยาศาสตร์ ซึ่งวางฐานอยู่บนวัตถุ ที่เห็นว่าจิต (mind) เป็น emerging biological phenomenon ในกรณีนี้ จิตกับสสาร ทั้งคู่โผล่ปรากฏขึ้นเป็นบางส่วนของความเป็นจริง อยากเสริมส่วนนี้ด้วย โลกของหมอผีกับโลกของคนธรรมดา.. ในหยุดโลก ตอนที่ชื่อว่า “หยุดโลก” ..เมื่อดอนเกเนโร เข้ามาป่วนคาร์ลอส จนกระทั่งคาลอสได้พบหมาป่า แล้วเค้ารู้สึกว่ามันเป็นเพื่อน พูดคุยกัน .. ดอนฮวนบอกกับเขาว่า.. “เมื่อวานนี้คุณเชื่อว่าหมาป่าตัวนั้นพูดกับคุณได้ หมอผีคนใด แม้ยังไม่เห็น เค้าก็จะเชื่อเช่นเดียวกับคุณ แต่ถ้าหมอผีที่เห็นแล้วจะรู้ว่าการเชื่ออย่างนั้นคือการถูกตรึงไว้ในโลกของหมอผี และในทำนองเดียวกับ การไม่เชื่อว่าหมาป่าพูดได้ก็จะถูกตรึงไว้ในโลกของคนธรรมดา”</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
“หมายความว่าทั้งโลกของคนธรรมดาและโลกของหมอผี ไม่จริงใช่ไหม ดอนฮวน”</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
“โลกทั้งสองนั้นจริง ทั้งสองโลกนั้นสามารถที่จะกระทำกับคุณได้ ...” “ดอนเกเนโร เพียงบีบให้คุณมองโลกของคนธรรมดาในลักษณะที่หมอผีทั้งหลายมอง แกต้องการทำให้ความเชื่อมั่น (ในโลกเดิม) ของคุณอ่อนตัวลง”..“โลกที่คุณมองเห็นอยู่ทุกวัน เป็นเพียงแค่คำอธิบายเท่านั้น จุดมุ่งหวังของผมอยู่ตรงที่จะแสดงให้คุณเห็นในเรื่องนี้ .. มันไม่มีทางเลี่ยงหรอก การที่คุณจะ “เห็น” คุณต้องเรียนรู้วิถีทางในการมองโลก.. เรียนที่จะมองดูโลกในอีกลักษณะหนึ่ง และลักษณะเดียวที่ผมรู้คือ วิถีทางของหมอผี”</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
โลกหมอผีอันน่าประหวั่นพรั่นพรึง.. โลกที่เราหลีกลี้ไม่ต้องการจะถูกตรึงไว้ แต่เราก็ไม่อาจปฏิเสธได้ หากปฏิเสธ เราก็จะกลายเป็นคนธรรมดา ถูกตรึงไว้ในโลกของคนธรรมดาอย่างน่าสมเพช</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<span style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">สำหรับพ่อมดแม่มดยุคใหม่ ควอนตัมเข้ามาช่วยเป็นรอยต่อได้อย่างเนียนๆ ทีเดียว คุณไม่ต้องตกไปอยู่ในโลกอันน่าประหวั่นพรั่นพรึง ที่มันกระทำกับคุณได้ ขณะเดียวกัน ก็ไม่ต้องเดียวดาย อ่อนแออยู่ในโลกของคนธรรมดาซึ่งวันนึงข้างหน้าจะต้องถูกผลักให้ไปเผชิญกับ NDE (ประสบการณ์ใกล้ตาย) อย่างหวาดกลัว สิ้นไร้พลัง</span><div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/LA23fdEU274?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
</div>
เมธาวี เลิศรัตนาhttp://www.blogger.com/profile/08911828304642179150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4480254480839686156.post-84465805774915112382014-03-21T20:25:00.000-07:002014-03-21T20:25:10.777-07:00เก็บความบางส่วนของจักรวาลกำลังฝัน The Dreaming Universe/ Fred Alan Wolf Ph.D. (ตอนที่ 1)<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
The Dreaming Universe ของ Fred Alan Wolf (พ่อมดควอนตัม) เช้าวันนี้ก็แจ่มชัดว่า เล่มนี้แหละที่จะมาต่อ จะก้าวข้ามธรณีประตูไปสู่ฝันร่วมกันทั้งจักรวาล..</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ชัดเจนซะขนาดนั้น นั่นเพราะว่า... my research into the nature of shamanism and dreams suggest, it may be more real than the reality we perceive. It is, however, a reality that usually exists beyond our normal waking perception, although it dose appear to us in the form of lucid dreams, prophetic dreams, and other related phenomena such as near-death experience (NDE) and possibly UFO abduction.</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ใช่!! เพราะมันจริงมากกว่าความเป็นจริงที่เรารับรู้กันอยู่ซะอีก ... lucid/ NDE/ OBE/ หรือแม้ UFO</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
หน้า 21 Self-Awareness in Dreams and Waking Life</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ความฝันคืออะไร? คำถามนี้วางอยู่ตรงกลางหัวใจของสิ่งที่เรียกว่า mind-body problem (ปัญหากาย-จิต) เหล่านี้.. ซึ่งนำเราไปสู่แนวคิดอย่างเช่น dream-body (กายฝันของอาร์โนล มิเดล) และลูซิดกับ “witness” ของนักศึกษาความฝันอย่างเจอร์นี เกคเคนแบค และคนอื่นๆ </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ทุกวันนี้มีการให้ความสำคัญ สนใจเรื่อง lucid dreams เพราะมันต่างจากความฝันธรรมดาทั้งในเชิงสาระและประสบการณ์ ลูซิดมันต่างตรง “awareness” ของผู้ฝันตอนที่กำลังอยู่ในกระบวนการฝัน และความแจ่มกระจ่างชัดของรายละเอียดซึ่งผู้ฝันสามารถจะจดจำได้หลังจากฝัน อีกทั้งผู้ฝันก็ยังรู้สึกว่าควบคุมเหตุการณ์ในฝันได้ (ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญของฝันลูซิด พ่อมดใช้คำว่า dreaming entity)</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เค้าใช้คำว่า entity เพราะในลูซิดของเค้ามันแตกต่างจากชั่วขณะที่ตื่นปกติ พ่อมดบอกว่า แม้เค้าจะรู้ว่ามันเป็น “I” แต่มันต่างเพราะมันเป็น two conscious minds: คนนึงนอนอยู่บนเตียงที่บ้าน และกำลังฝัน และอีกคนก็ตื่นขึ้นในลูซิดควบคุมเหตุการณ์ในนั้นแล้วรู้ว่ามันคือฝันด้วย</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
พ่อมดควอนตัมเล่าว่า เขาสัมภาษณ์ผู้คนที่ไม่เพียงแต่เกิดฝันลูซิด หากแต่บางคนไปตื่นอยู่ในโลกคู่ขนาน (parallel world) ซึ่งเค้ามีชีวิตอีกชีวิตนึงไปเลย ซึ่งตัวอลันเองก็มีประสบการณ์นี้ ซึ่งมันใกล้เคียงกับฝันลูซิด แต่ไม่เชื่อมต่อกับลูซิดอื่นๆ แล้วก่อนหน้านั้นที่เขาเขียนเกี่ยวกับเรื่องฝันลูซิดเป็นงานศึกษาวิจัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฟิสิกส์สู่จิตวิญญาณ (relationship of Physics to consciousness)</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
Aware of self in lucid dreams? ตัวตนที่ตื่นขึ้นในลูซิด มันมีความหมายอะไร?!? self-awareness คืออะไร ... </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
คำถามของพ่อมด.. โดนตรงๆ</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เริ่มจากเรื่อง Big dream & little dream ของเค้าต่อไปก่อน .. คือพ่อมดบอกว่าเรื่อง UFO นั้นเป็นเรื่องที่ฝันใหญ่มาซ้อนทับกับฝันเล็กๆ (overlap) จากการมีประสบการณ์กับ UFO ในระดับปัจเจก เลื่อนขึ้นมาเป็น art (ผ่านภาพยนต์! และศิลปะแขนงอื่นๆ) แล้วเข้าสู่ระดับ politics จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงระดับการเมืองในรัสเซียขึ้นแล้ว</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
หรืออีกเรื่องเค้าเล่าว่าเคยศึกษา shamans alter consciousness in order to heal and transform matter คือความสามารถในการเยียวยาและแปรเปลี่ยนสสาร (เล่นแร่แปรธาตุ) ของพวกพ่อมดแม่มดหมอผี</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ตอนนี้ก็ทำให้แว๊บไปถึงคำของพ่อหมอประสาน ที่เคยบอกว่า ลูกเอ๋ย ก่อนที่อะไรมันจะถูกค้นพบ มันจะเป็นความฝันขึ้นมาก่อน แล้วจะเชื่อมกับปัจเจก ต่อไปเป็นมหภาค (ตรงนี้มหภาคกับปัจเจกของอลันจะมี art เข้ามาอยู่ระหว่าง หรือเป็นตัวเชื่อม?) อย่างสสารมืด จากสมมุติฐาน (ที่เป็นฝัน) กลายเป็นมาเป็นนวนิยายวิทยาศาสตร์ ฯลฯ จนปัจจุบันก็เร่ิมมีการค้นพบกันแล้ว หลุมดำก็เช่นกัน</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
อลันเคยเขียนหนังสือชื่อ The Eagle’s Quest ซึ่งอธิบายว่าอาณาจักรแห่งจินตนาการนั้นมี source มาจาก Big Dream แล้วเค้าก็ยังได้ศึกษาว่าพ่อมดจัดระเบียบ ควบคุมใน alter (จะเป็นสิ่งที่มินเดลเรียกว่า alter state ล่ะมัง?!) ในการเยียวยา หรือเปลี่ยนสภาพสสาร (เล่นแร่แปรธาตุ) ภายใต้ความเข้าใจเรื่อง state of consciousness ในเทอมของฟิสิกส์วิชาการด้วย แล้วเค้าก็ยังยกตัวอย่างงานของ Wolfgang Pauli ซึ่งพ่อมดยกย่องว่าเป็นนักฟิสิกส์ที่ชาญฉลาดและยิ่งใหญ่ที่สุดคนนึงเท่าที่เคยมีมาจุติบนโลกนี้เลยทีเดียว เค้าว่าเพาลีตายในปี 1958 งานของเพาลีคือการรวมควอนตัมฟิสิกส์กับจิตวิทยาซึ่ง overlap ผ่านภาพฝันของเพาลี (นักฟิสิกส์ที่ทำเรื่อง synchronicity กับคาร์ล จุง)</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ไปให้พ้น กาละ เทศะ</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
มันแปลว่าอะไรอ่ะ?!? ดีสเปนซาบอกว่า กาละ เทศะ เป็นสิ่งที่มนุษย์เราสร้างขึ้นมาเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ทางกายภาพ ซึ่งมันรวมตำแหน่งกับสัมผัส (อันชั่วคราว temporal) ของเราเข้าไปด้วย .. เมื่อเราพูดถึงแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะ เราอ้างอิงมันกับสถานที่ (จุดที่มันดำรงอยู่ในอวกาศ) และห้วงเวลาที่มันปรากฏ (ซ้อนอยู่) .. และในฐานะมนุษย์ เราถูกครอบงำด้วย 2 แนวคิดนี้ตลอด .. เราอยู่ที่ไหน อยู่มานานแค่ไหน จะอยู่ต่ออีกนานเท่าไหร่ จะไปไหนต่อ.. เป็นอย่างนี้แม้ว่าเวลามันไม่ใช่สิ่งที่เราจะสามารถสัมผัสมันได้อย่างแท้จริงเลย เรารู้สึกว่ามันผ่านไปในแบบเดียวกับที่เราสัมผัสตำแหน่งของเราในอวกาศ.. เรา “feel” วินาที, นาที, ชั่วโมง ผ่านไปเช่นเดียวกับที่เรา “feel” ร่างกายเราถูกกดต้านกับเก้าอี้ และฝ่าเท้าของเราวางลงบนพื้นผิว</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ในสนามควอนตัม สนามแห่งความเป็นไปได้อันอเนกอนันต์ของความเป็นจริงทางวัตถุ เหนือกาลอวกาศ เพราะว่ามันเป็น “ศักยภาพ” ซึ่งยังไม่ปรากฏ .. ก็ในเมื่อมันยังไม่ปรากฏมันก็ไม่มีตำแหน่งแห่งที่หรือไม่ยึดครองตำแหน่ง (ชั่วคราว) เอาไว้ .. อะไรก็ตามที่ยังไม่ปรากฏก็คือมันยังไม่ล้มคลื่นความเป็นไปได้ (โดยตัวของมันเอง)ไปสู่ความเป็นจริง (เป็นอนุภาค) เรียกได้ว่ามัน exists beyond space and time</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ณ จุดนี้สนามควอนตัมไม่ได้เป็นอะไร แต่เป็น “immaterial probability” ซึ่งอยู่นอกกาลอวกาศ จนกว่าเราจะเข้าไปสังเกตศักยภาพความเป็นไปได้นั้นแล้วให้ความเป็นจริง (ระดับ material) กับมัน มันจะยังดำรงสองสถานภาพอยู่</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เพื่อเข้าสู่สนาม..เข้าสู่สภาวะที่คล้ายคลึงกับสนาม..</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
มันยอดเยี่ยมเลยใช่มั๊ย ที่เราทรงพลังอำนาจในการสร้างความเป็นจริงจากการเลือกของเราโดยเลือกจากสนามควอนตัม แต่เราจะต้องมีวิธีที่จะเข้าไป เราเชื่อมต่อกับมันอยู่ตลอดเวลาแต่ทำยังไงมันถึงจะตอบสนองเราล่ะ? .. ก็ถ้าเราแผ่รังสีพลังงานอย่างมั่นคง สม่ำเสมอ และส่งข้อมูลเข้าสู่สนามแล้วก็รับข้อมูลกลับมา เราจะทำยังไงให้การสื่อสารของเราได้ผลมากขึ้น!</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ดีสเปนซาถามว่า คุณเคยมีประสบการณ์ตอนที่เวลากับพื้นที่ดูเสมือนหายวับไปรึเปล่า? ให้ลองคิดถึงตอนที่กายคุณกำลังเคลื่อนที่ไป ขณะที่ความคิดไปโฟกัสอยู่กับเรื่องที่เป็นห่วง เมื่อมันเกิดขึ้น คุณจะลืมร่างกายไปหมด (คุณจะไม่ตื่นรู้เลยว่าคุณได้สัมผัสอวกาศอยู่รึเปล่า) คุณลืมสิ่งแวดล้อมไปสิ้น โลกภายนอกหายวับไป แล้วคุณก็ลืมเวลา คุณไม่รู้เลยว่าอยู่ใน “tranced out” (ภวังค์?) นั้นนานแค่ไหน?</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ชั่วขณะแบบนี้แหละ คุณได้ไปอยู่ตรงธรณีประตูซึ่งจะให้คุณผ่านเข้าสู่สนามควอนตัม อันพร้อมด้วยสิทธิ์ของการเข้าร่วมกับปัญญาแห่งจักรวาลซึ่งเนื้อแท้ของชั่วขณะแบบนี้ก็คือ คุณได้ทำให้ความคิดกลายเป็น “จริง” มากกว่าอะไรอื่นทั้งหมด</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ถัดจากนั้น เฟรด อลัน วูล์ฟก็เล่าเรื่องความฝันของเขาพร้อมกับการตีความ ซึ่งก็ไม่แปลกใจอะไรที่อ่านพบว่าเค้าใช้วิถี ของคาร์ล ยุง ในการวิเคราะห์ฝัน</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
บทที่สอง พ่อมดให้ชื่อว่า Freudian Physics: a first look at how the universe dreams .. แต่คำโปรยใต้ชื่อบทกลับเป็นของพ่อมดยุง </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
โดยฉับพลัน เกิดความรู้สึกขึ้นว่าเราจะต้องข้ามเรื่องฟรอยด์ไปก่อน ไม่ใช่คิดว่าเรื่องของฟรอยด์ไม่สำคัญ แต่.. มีลางมาบอกให้ไปที่ยุง.. แล้วก่อนที่จะเริ่มบทที่สาม Jungian Physics: synchronicity - evidence of the universe’s dream ก็นึกไปถึง ความทรงจำ ความฝัน ความคิดคำนึง หนังสือที่แปลมาจาก Memories, Dreams, Reflections โดยคาร์ล กุสตาฟ ยุง ซึ่งเราได้อ่านและเก็บความไว้ อยู่ในคลังกระทู้เก่าของวงน้ำชา จากชีวิตวัยเด็กจนเข้าถึงวาระสุดท้ายของพ่อมดคนสำคัญที่สุดแห่งจิตวิทยาตะวันตกคนนี้ </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
จำความรู้สึกได้ว่าตอนอ่านนั้น เริ่มอ่านอย่างกระหาย ตะกรุมตะกราม และเต็มไปด้วยความเสียดายหยาดหยดสุดท้ายอ้อยอิ่งเมื่อหนังสือใกล้จะจบลง .. ทั้งตลอดช่วงเวลาที่อ่านหนังสือ ก็เสมือนเข้าไปในโลกของยุง ได้อรรถรสอย่างที่ไม่เคยได้รู้สึกจากการอ่านชีวประวัติของใครมาก่อนเลย.. อินขนาดไหนหรือ? .. ก็ขนาด.. อยากจะเป็นยุง ชีวิตวัยเด็กมี overlap ในหลายๆ ส่วน .. ชีวิตบั้นปลาย ก้อนหิน สายธาร วิญญาณ .. ปลุกเร้าให้เข้าไปมีส่วนร่วม จนรู้สึกถึงกลิ่นไอของประสาทหิน ห้องลับที่ยุงสัมผัสอิฐทุกก้อนด้วยมือของเค้าเอง .. อยากตายแบบที่เค้าตายเลยทีเดียว </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ก็จะขอยก ปัจฉิมพินิจบทสุดท้าย.. ใน หวนคํานึง ยุงยอมรับว่าเขานั้นโดดเดี่ยว "ข้าพเจ้าได้ทําให้ผู้คนขัดเคืองใจเป็นจํานวนไม่น้อย เพราะในทันทีที่ พบว่า พวกเขามิได้เข้าใจ ข้าพเจ้าก็จะเลิกใส่ใจทันที ข้าพเจ้าจําเป็นต้องรุดหน้าต่อไป และหาได้มีความอดทนกับ ผู้คนไม่ นอกจากคนไข้ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจําเป็นจะต้องเคารพกฏเกณฑ์ภายในซึ่งดํารงอยู่และไม่เปิดโอกาสให้มี เสรีภาพที่จะเลือก แม้ว่าจะมิได้เชื่อฟังทุกครั้งก็ตาม เพราะเราจะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความไม่คงเส้นคงวาได้ อย่างไรกัน" ... (ยุงเรียกว่า "ความไม่คงเส้นคงวาอันศักดิ์สิทธิ์") ... "สําหรับคนบางคนแล้ว ข้าพเจ้ามักจะอยู่ ร่วมด้วยและสนิทสนมใกล้ชิดกับเขานานตราบเท่าที่เขายัง สัมพันธ์กับโลกภายในของข้าพเจ้า แต่แล้วข้าพเจ้าก็ อาจมิได้ดํารงอยู่กับเขาอีกต่อไป ด้วยเหตุที่ไม่มีจุดเชื่อมโยงระหว่างเราเหลืออยู่อีก"....</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ยุงพูด คล้ายกับว่า หากความเชื่อมโยงภายในลึกๆ ระดับไร้สํานึกดํารงอยู่ ความแปลกแยกแตกต่างก็จะเป็นเพียง "บุคคลิกภาพแห่งปัจเจก" แต่หากความเชื่อมโยงภายในระดับไร้สํานึกไม่ดํารงอยู่แล้ว นั่นเป็นการเปิดพื้นที่ให้แก่ "อัตตา"</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ในวัยเยาว์ ยุงรู้สึกว่าเขาค่อยๆ แบ่งแยกจากบรรดาพืชพรรณ ส่ำสัตว์ เมฆหมอกควัน และวันคืนเพื่อเข้าหาความ เป็นตัวเองอย่างช้าๆ ตรงกันข้ามกับวัยชราซึ่งยุงบอกว่า "ยิ่งข้าพเจ้าไม่แน่ใจในตนเองเพียงใด ความรู้สึกสนิทสนม ชิดเชื้อกับสรรพสิ่งก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเพียงนั้น อันที่จริงแล้ว ดูเหมือนว่าความแปลกแยกซึ่งกั้นขวางข้าพเจ้าออกจาก โลก ได้โยกย้ายแปรเปลี่ยนเข้ามาสู่โลกภายใน และได้เผยให้ข้าพเจ้าเห็นถึงความแปลกแยกกับตนเองอย่างคาด ไม่ถึง"......</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แม่แบบแห่งปัจเจกภาพ .. มณฑลอันศักดิ์สิทธิ์</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
รู้สึกว่าต้องยกปัจฉิมพินิจมาไว้ ก่อนจะเริ่มเปิดปฐมบทใหม่ ผ่านมุมของพ่อมดควอนตัม</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
บทที่สามฟิสิกส์จุงเกี้ยน ซิงโครนิคซิตี้- หลักฐานของจักรวาลแห่งฝัน นี้ พ่อมดควอนตัมใช้คำโปรยของวูล์ฟกัง เพาลี ที่บอกว่า From an inner center the psyche seems to move outward, in the sense of an extraversion, into the physical world</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
พ่อมดบอกว่าฟรอยด์นั้นเพียงแค่นำเสนอศาสตร์ของโครงสร้างทางจิตอย่างเป็นกลไก แต่ยุงไปต่อแล้วก็ยังบ่งชี้ว่าโครงสร้างนั้นยังต้องรวม meaningful relationships อย่างอื่นซึ่งมากกว่า time-ordered กับ cause-effect (นี่ก็ตรงกับที่ดิสเปนซาพูดนะ คือเวลาที่เป็นเส้นตรงตามกฏเทอร์โมไดนามิกส์ กับเหตุก่อผล) ในหนทางที่ฟรอยด์ได้บอกใบ้เอาไว้ เมื่อเค้าสร้างโมเดล id as “timeless” ขึ้นมา (ปัจเจกภาพเหนือกาลเวลา) แล้วยุงก็เรียกมันว่าเป็นประเภทของ relationships synchronistic .. ความสัมพันธ์แบบจุงเกี้ยนซึ่งถือเป็นความพยายามให้วิทยาศาสตร์เข้าไปให้กำเนิดฟิสิกส์ที่มีความหมาย และความเข้าใจใน the self และ the psyche .. ในแนวคิดที่พิเศษนี้ยุงให้ความสำคัญอันยิ่งใหญ่กับความฝันมากกว่าฟรอยด์เยอะทีเดียว </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ในบทนี้อลันว่าเค้าขอไม่พูดถึงยุงเพียงแค่แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับความฝัน แต่จะพูดถึงโมเดล “human psyche” ของยุงเลย แล้วต่อไปนี้ก็จะใช้โมเดลของยุงนี่แหละเชื่อมโยงระหว่างจิตกับกาย ทั้งเค้าก็จะพยายามสร้างโมเดลซึ่งจะแสดงว่าความฝันในสัมผัสของความจริงนั้นเป็นส่วนประกอบของสสารโดยตัวของมันเอง แสดงว่าจักรวาลฝันถึงตัวของมันเอง ซึ่งเรื่องมันยาวจริงๆ ที่จะพูดว่า.. “ความฝันเป็นส่วนประกอบของสสาร”</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ความลี้ลับคณานับที่พวกเราพบเจอคือ “how matter becomes conscious” สสารกลายมีจิตรู้ขึ้นมาได้ยังไง? เอาอย่างง่ายเลยนะ ถ้าคุณเห็นด้วยว่าตัวเราก็ประกอบจากสสาร แล้วไอ่สสาร (เราเนี่ย) มันสร้างภาพ สร้างความคิดขึ้นมาได้ยังไง? หรือจะพูดแบบดิบๆ เลยก็คือ ก้อนเนื้อ (ร่างกายเราเนี่ย) มันฝันได้ยังไง? มันมีลักษณะของชีวิตชีวาอยู่ในสสารนั้นใช่มั๊ย ถ้าบางอย่างถูกเผยออกมา บางอย่างที่จะแสดงว่าสสารนั้น already conscious มันมีจิตวิญญาณอยู่แล้วเพียงแต่รอคอย right environment สิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ในการเผยออกซึ่งจิตวิญญาณของมันกับเรา เป็นเรา แล้ว “characteristic” ที่ว่านั้นมันคืออะไรล่ะ?</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
จักรวาลความฝันต่อ ..เพื่อที่จะให้ได้พบคำตอบ (เรื่องความสัมพันธ์ของจิตกับสสาร) เราจะต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่า จิต (psyche) คืออะไร และมันทำงานอย่างไร? .. พ่อมดวูล์ฟ บอกว่าเค้าจะแสดงให้เห็นในบทนี้ว่าแนวคิดจุงเกี้ยนในเรื่องจิตนั้นสามารถเชื่อมโยงกับกฏควอนตัมได้ -และนั่นก็เป็นสิ่งที่จุงเองก็เชื่อมั่นว่าเป็นไปได้ เพียงแต่มันมีความยากลำบากในการไปให้ถึงอยู่ ทั้งเค้ายังบอกอีกว่า เค้าอยากทำทั้งสองโมเดลไปเลย (คือทั้งของยุงและฟรอยด์ด้วย)</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ซึ่งส่วนสำคัญยิ่งที่จะต้องนำมาพิจารณาก็คือบทบาทของสิ่งที่ยุงเรียกว่า “synchronicity” อันอาจให้คำจำกัดความได้ว่า ซิงโครนิคซิตี้ ก็คือความสืบเนื่องเชื่อมโยงของเหตุการณ์ ซึ่งไม่อาจถูกเชื่อมต่อได้ด้วยกลไกปกติใดๆ งงมั๊ยคะ?.. ขอยกตัวอย่างช่วยสำหรับคนที่พึ่งมาเริ่มต้นอ่านหน่อยดีกว่า.. อย่างเช่น ถ้าเมื่อคืนคุณเกิดฝันเห็นตาหลานคู่นึงที่คุณไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นมาก่อนคู่นึง ในฝันตากำลังหอมแก้มหลานที่นั่งตักเค้าอยู่ แล้วจู่ๆ เช้าตื่นขึ้นมา คุณเดินออกจากบ้านไป ก็ไปเห็นภาพนั้น แป๊ะ!! .. หรือ (เหตุที่ชัดเจนว่ายุงเป็นพ่อมด ^_^) คือเมื่อยุงได้ดูแลคนไข้ของเขา ซึ่งป่วยทางจิตไปถึงระดับนึง แล้วไม่สามารถไปต่อได้ คือไม่มีความคืบหน้า .. แต่แล้ววันนึง ขณะที่คนไข้กำลังเล่าฝันให้ยุงฟัง ฝันของคนไข้คือฝันเห็นแมลงสีทองตัวนึง แล้วแมลงตัวที่เหมือนในฝันก็บินผ่านหน้าต่าง มาตกตรงหน้ายุงพอดี เขาหยิบขึ้นมาส่งให้คนไข้ดู แล้วถามว่า “ตัวนี้ใช่มั๊ย?” .. เคสนี้ยุงได้บันทึกไว้ว่า หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ผ่านพ้น ไปสู่ความก้าวหน้าของการรักษาเยียวยากันต่อไปได้.. นี่เป็นตัวอย่างซิงโครนิคซิตี้ ซึ่งมีฝัน (ตอนกลางคืนมาเชื่อมต่อ) ส่วนซิงโครนิคซิตี้ ของชีวิต (ที่อาจรวมฝันกลางคืนเข้ากับชีวิตตื่นตอนกลางวันอย่างสืบเนื่อง ก็คือการเกิดเหตุการณ์ที่เสมือนเป็นอุบัติเหตุในชีวิต ซึ่งคุณไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นมาได้ยังไง แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณก็กลับเห็นความสืบเนื่องเชื่อมโยงของมันอย่างชัดเจน) </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
พ่อมดควอนตัมบอกว่า synchronicity นี้จัดเป็น concept ระดับ “โซ่ทอง” ที่จะมาสอดคล้อง ร้อยเรียง เชื่อมต่อ ทำให้ควอนตัมฟิสิกส์กับจิตและสสารเลยทีเดียว โซ่ทองที่ว่านี้จะผูกโยงหลักการจากระดับพื้นฐานของฝัน (ที่เราหลับตอนกลางคืน) กับฝัน (ในตอนกลางวันที่เรารู้สึกว่าเราตื่นอยู่นี่แหละ) มันเป็นอาณาจักรแห่งจินตนาการซึ่งเค้าจะอธิบายต่อไป ซิงโครนิคซิตี้ ถือเป็นเบาะแสที่จะนำไปสู่ “Big Dream” และเราเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในนั้นด้วย</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แล้วเมื่อเราเปรียบเทียบคาร์ล ยุงกับฟรอยด์ เราจะเห็นว่ายุงได้นำเสนอมุมมองทางเลือกให้กับความฝันและจิตวิทยา ในปี 1970 ยุงไปเยี่ยมฟรอยด์ในเวียนนา และทั้งสองก็ตัดความสัมพันธ์กันอย่างชนิดที่ไม่มีทางเชื่อมต่อได้เลยในสองสามปีหลังจากนั้น ยุงรู้สึกว่าฟรอยด์หลงใหลไปว่าพลังจิตเป็นเรื่องเพศในธรรมชาติที่ยังไม่เผยตัวไปโดยสิ้นเชิง แล้วเค้าก็ยังคิดว่า Freud’s interpretation of dreams (การตีความ ความฝันแบบของฟรอยด์) นั้นมีข้อจำกัด ที่คับแคบเกินไป</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ทฤษฎีความฝันของยุง (Jung's Theories of Dreams) ที่มองผ่านจักรวาลความฝันของพ่อมดควอนตัม เฟรด อลัน วูล์ฟ ...</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ยุงเชื่อว่าฟรอยด์นั้นเน้นความสำคัญไปที่ปัจจัยเชิงอีโรติกของฝันมากเกินไป แล้วเค้าก็ยังเชื่อว่าความปรารถนาในอันที่จะเติมเต็มนั้นมันไกลเกินกว่าเหตุผลอันน้อยนิดที่จะมาขีดเส้นใต้ว่าเป็นเหตุแห่งความฝันทั้งหมด ยุงเชื่อว่าฝันไม่ได้เป็นแค่การอำพรางของความปรารถนาที่ไม่ได้รับการยอมรับ แต่เป็นสิ่งจำเป็นของ creative sense โดยแท้จริงแล้วฝันนั้นผลิตข้อมูลใหม่ให้กับ conscious mind (จิตสำนึกรู้) ยุงยังรู้สึกด้วยว่าสัญลักษณ์แห่งฝันนั้นไม่เพียงถูกสร้างขึ้นเพื่อเก็บงำข้อมูล แต่มันเป็นภาษาของจักรวาลที่ยุงเรียกว่า “archetypes” พวกมันอยู่ใน model terms การแก้สมการที่อธิบายความเป็นจริงใหม่จะใส่เอาไว้ใน symbolic term (เป็นสัญญลักษณ์) เช่นเดียวกับการแก้สมการทางคณิตศาสตร์ ที่จะถูกเขียนไว้ในรูปฟอร์มของสัญญลักษณ์แทนไอเดียของพวกเราเกี่ยวกับความเป็นจริงทางกายภาพ</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
กระชับให้สั้นๆ ก็คือขณะที่ฟรอยด์เชื่อว่าการหลับเป็นเหตุและความฝันเป็นผลอันจำเป็นที่ยอมให้การหลับสืบต่อไป ยุงเชื่อว่าความฝันเป็นปฐมและการหลับเป็นการแปรเปลี่ยนที่มีนัยยะสำคัญของจิตวิญญาณที่ทำให้ความฝันอุบัติขึ้น</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
คาร์ล กุสตาฟ ยุง เกิดในสวิตเซอร์แลนด์ ปี 1875 ตั้งแต่วัยเยาว์จนกระทั่งยุงตายในปี 1961 เขาเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับเรื่องจิตวิญญาณหรือด้านที่เป็นความลี้ลับของจิตมนุษย์ ทำงานวิจัยเรื่อง symbolism (สัญญลักษณ์ ในฝัน, ในพิธีกรรม), parapsychology (ปรจิตวิทยา ซึ่งคงจะแปลอีกทีว่าจิตวิทยาเกี่ยวกับญาณ), modern physics, และศาสนา โดยเฉพาะศาสนาคริสต์ Christianity (ซึ่งมีบทบาทอย่างมีนัยยะสำคัญในทฤษฎีทางจิตวิทยาของเขา) เค้าจะให้ความหมายของจำนวนพอๆ กับคุณค่าของมัน เรียกได้ว่ายุงนั้นคล้ายจะเป็นจอมขมังเวทย์แบบโบราณและเป็นพวกถือหลักพิธากอรัสไปในตัวด้วย (ancient Cabalists and Pythagoreans)</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ยุงเห็นว่ามีการส่งอิทธิพลถึงกันระหว่างจิตไร้สำนึกกับจิตสำนึก อย่างสืบเนื่องอยู่ตลอดเวลา เป็นสองลักษณะแห่งจิต ในทางตรงกันข้าม ฟรอยด์กลับรู้สึกว่าอยู่ “ภายใต้สภาวะสงคราม” ของ conscious mind ซึ่งพยายามที่จะส่งความไม่พึงปรารถนาของมันเข้ามาสู่ความหม่นมัวแห่งปัจเจกภาพ</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ฟรอยด์มองว่า จิตไร้สำนึกก็เป็นส่วนที่อยู่ภายใต้สงครามของจิตสำนึกซึ่งส่งทุกข์เวทนามาให้เกิดความหม่นหมองในปัจเจกภาพเสมอ.. โห.. อ่านประโยคสุดท้ายนี้แล้วขนลุก.. ยอมรับว่าไม่ศรัทธาฟรอยด์ (ทั้งที่ก็ไม่ได้รู้จักเค้าสักเท่าไหร่เนี่ยนะ ) แต่ต้องยอมรับเลยว่าความคิดเค้ามันส่งอิทธิพลต่อโลก และต่อตัวเราเองด้วยจริงๆ...</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แต่ทั้งสองก็เห็นตรงกันว่า จิตไร้สำนึก (unconscious mind) พูดกับเราโดยผ่านความฝัน ยุงเชื่อว่าฝันเป็นธรรมชาติและเป็นส่วนสำคัญของความเป็นองค์รวมทั้งหมดของเรา ความฝันใช้จินตภาพบอกเราเกี่ยวกับความเป็นตัวของเราเอง แต่ฝันจะบอกอะไรในสิ่งที่เรายังไม่รู้บ้างล่ะ? มันจะบอกถึงสิ่งเหล่านั้นในชีวิตที่เราเคยละเลย หรือเก็บงำไว้ หรือสิ่งธรรมดาเรียบง่ายซึ่งยังไม่ได้ถูกเอามาใช้ ความฝันไม่มีอันตรายและไม่ได้บ้าบอ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปอธิษฐานให้บรรลุผลอะไร ทั้งฝันยังไม่ได้พูดด้วยภาษาอันซ่อนเร้น แต่มันเป็นข้อความจากตัวเราเองที่่ส่งถึงตัวเอง ขณะที่ฟรอยด์เชื่อว่า โดยพื้นฐานที่สุดความฝันนั้น “ปกปิด” บางอย่างเอาไว้ แต่ยุงเชื่อว่าเป็นการ “เผยออก”</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ยุงรู้สึกว่าฝันเกี่ยวพันกับ Origins เป็นจุดที่ new ideas ถูกสร้างสรรขึ้นมา ทั้งไม่ได้เป็นเหตุผลอะไรที่จะมาอธิบายพฤติกรรมของเราในอดีต แต่มักจะมาบอกเราถึงบางอย่างอันเกี่ยวเนื่องกับพฤติกรรมของเราในอนาคตมากกว่า</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แล้วยุงอธิบายถึงการปรากฏอันแปลกประหลาดและความไม่ปกติของจินตภาพในฝันไว้อย่างไร? มันเป็นจุดที่ยุงดูเหมือนจะไปไกลพ้นขอบของวิทยาศาสตร์ ยุงวางสมมุติฐานการปรากฏของจิตไร้สำนึกแห่งจักรวาลไว้อย่างพ้นไปจากจินตภาพอันแน่ชัดซึ่งปรากฏอย่างเป็นปกติกับคนทั้งหลาย ถึงตอนนี้มันก็ไม่ใช่จินตภาพหรอกที่สำคัญ แต่มันเป็นความโน้มเอียงของจินตภาพ -แก่นแท้ซึ่งมาขีดเส้นใต้จินตภาพ -ที่มันอยู่ความสามัญของคนทั้งหลาย ยุงเรียกแก่นนี้ว่า archetype (ต้นแบบ)</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ผลที่สุดก็คือ ถ้าเราละเลยบางส่วนซึ่งสำคัญของตัวเราเอง ฝันของเราก็จะสร้างภาพอันสะท้อนออกของ archetype นี้ จินตภาพที่ปรากฏจะแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม แต่ความหมายของ archetype จะเหมือนกัน .. พ่อมดควอนตัมบอกว่าเค้าจะพยายามผูกโยง archetype เข้ากับฟังก์ชั่นคลื่น (wave function) ของควอนตัมฟิสิกส์ ซึ่งสะท้อนความโน้มเอียงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกาลอวกาศและบ่งชี้ว่าแม่แบบนั้นเป็น signs ของการอ้างอิงตัวตนในระดับสูง (archetypes are signs of a higher level of self-reference) .. ตรงนี้อ่านยุงไป กว่าจะเข้าใจคำว่า archetype นี่ก็ไม่ง่าย แต่ตอนนี้เกิดนึกสนุก คิดไปว่า ต้นแบบนี่น่าจะเป็นประมาณเทพ ในแต่ละสังคมมีเทพที่ต่างกัน ซึ่งในความหมายแล้วก็ไม่ต่างกัน เป็นอะไรที่เหนือมนุษย์ อยู่สูงกว่า เราจินตนาการว่าสมบูรณ์กว่า เหมือนกันแต่ก็มีความเข้มข้นของ self สูง ในเชิงลักษณะเฉพาะ .. มั๊ง?!? .. โอ้..คุรุเทพ!!!</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
.. แล้วนี่ก็จะนำเราไปสู่การค้นหาความหมายของจินตภาพ มากกว่าจะมัวแต่พิจารณาว่าเป็นบางอย่างที่เราเก็บงำซ่อนเร้นไว้จากตัวของเราเอง .. แล้วทำไมเราถึงฝันเป็นภาพล่ะ? มันดูเหมือนว่าเราฝันเป็นภาพ ไม่ได้เป็นภาษาหรือคำพูดก็เพราะว่าภาพมันเป็นเบสิกหรือบางทีมันคงเป็นหนทางดั้งเดิมของการที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกข้างนอก พ่อมดยังตั้งข้อสังเกตว่าจินตภาพมีความเข้มข้นในการเชื่อมโยงกับความรู้สึกของเรา แล้วความรู้สึกก็มาสร้างสรรอารมณ์ และอารมณ์ก็เป็นชีวิตชีวา (แรง? พลัง?) ของความทรงจำทั้งหลาย หรือพูดได้ว่า เราจะไม่จดจำอะไรที่เราไม่มีความรู้สึกเกี่ยวข้องด้วย we do not remember anything that we have no feelings about.</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ตอนนี้ก็มาพิจารณาเรื่องความรู้สึกคืออะไร? อย่างเป็นระเบียบหน่อย เค้าจะชวนเราไปดูว่ายุง จัดสรรพวกมันอย่างไร? และเพื่อที่จะทำอย่างนั้น ขั้นแรกเราจำเป็นต้องพิจารณาถึงความสำคัญของโครงสร้างทฤษฎี Jung’s model of the psyche. ซึ่งมันมีหลายอย่างแตกต่างจากของฟรอยด์</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
วันนี้หาญกล้าหยิบ On the Nature of the Psyche ของยุงไป นั่งอ่านแบบเปิดใจ คือปล่อยให้สมองว่าง วางใจไปรับรู้สัมผัสสายน้ำที่ไหลผ่านจากเท้าจรดเข่า ลมที่พัดมาตามลำธารก็ปล่อยให้แทรกผ่านร่างกายทั้งหมดไป .. รู้สึกดีมาก อ่านไปได้สองส่วนคือ Energism and Dynamism กับ Conscious and Unconscious .. ได้รู้ว่ายุงให้นิยมของคำว่า Psyche = Consciousness แล้วก็ได้พบการขยายความของคำที่ยุงใช้ อย่างเช่น Progression & Regression, Extraversion & Introversion กับ The Canalization of Libido ... : ซึ่งล้วนแต่เป็นคำที่เฟรด อลัน วูล์ฟ อ้างอิงถึงใน Jung’s model of the psyche.. แต่หากถามว่า..พอที่จะถ่ายทอดออกมาได้รึยัง? ก็ขอตอบตามตรงว่า ตอนนั่งอ่านริมธารน้ำได้ความรู้สึกที่ดี แต่พอกลับมา จะเขียน ก็ยังเขียนอะไรไม่ได้ .. รู้ตัวว่า ยังไม่เข้าใจมากพอที่จะทำอย่างนั้น มันเหมือนยังจับออกมาเป็นส่วนๆ ไม่ได้ ยุงพูดเหมือนสายธารน้ำตก จะอยู่ตรงชั้นไหน แอ่งไหน มันก็ไม่ได้อยู่เฉพาะตรงนั้น มันไหลมา ไหลไป ถ้าบอกแค่ว่า มันใช่แล้ว หมายความว่าอย่างนี้ (แบบเปิดพจนานุกรมเอา) มันก็ไม่ใช่อีก..</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เลยตัดสินใจกลับไปต่อ Jungian Individuation : Self from Nonself ของพ่อมดควอนตัมก่อน </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
Individuation แปลว่า the quality of being individual คุณภาพของความเป็นปัจเจก .. ปัจเจกภาพ?</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ข้อแรก เป็นแนวคิดสำคัญมากในโมเดลของยุงก็คือกระบวนการคุณภาพแห่งปัจเจก (process of individuation) ซึ่งเป็นการพัฒนาส่วนบุคคล (personal development) ในการเชื่อมต่อระหว่างศูนย์กลางของสำนึกรู้ อันมีลักษณะสองประการของจิตคือทั้งสำนึกและไร้สำนึก - ปรากฏ อีโก้ เป็นศูนย์กลางในส่วนของจิตสำนึก ยุงจะบอกว่าอีโก้เชื่อมโยงกับ self (ตัวตน)</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ข้อสอง แนวคิดหลักรวมไว้กับ attitudes ซึ่งเป็นคุณลักษณะของพฤติกรรม ยุงเรียกพวกมันว่า introversion and extroversion (บุคคลิกภาพเก็บตัว กับบุคคลิกภาพเปิดเผย) พวกเก็บตัวก็เข้าข้างใน โฟกัสแต่กับเรื่องตัวเอง ส่วนพวกเปิดเผยก็จะออกข้างนอกโฟกัสแต่เรื่องข้างนอก แต่เค้าก็บอกว่ามันไม่มีใครเป็น pure attitudinal behavior (คือเป็นพวกเข้าข้างใน หรือออกข้างนอก ล้วนๆ) -บางทีคุณอาจรู้สึกว่าตัวเองโง่ แต่บางทีคุณก็ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น เราแต่ละคน มีความโน้มเอียงทีจะไปข้างใดข้างหนึ่งมากกว่าอีกข้าง</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ทั้งกระบวนการเก็บตัวและเผยออกเป็นวงจรที่สมบูรณ์ ในช่วงที่เข้าข้างใน บุคคลก็จะอยู่กับความคิดของตัวเอง ขณะเดียวกันตอนที่ออกข้างนอกก็จะอยู่กับความคิดและประสบการณ์ของคนอื่น </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ด้านเก็บตัว จะเชื่อในความคิดของตัวเอง ส่วนด้านเผยออกจะขึ้นอยู่กับความคิดจากภายนอก ยุงจัดสรรกระบวนการเหล่านี้ในเทอมของ libido (ความต้องการที่ถูกกระตุ้นมาจากจิตไร้สำนึก โดยเกี่ยวข้องกับเรื่องตัณหา ราคะ ความใคร่) ซึ่งยุงกำหนดให้เป็นกระบวนการของพลังงาน (energic process) หรือเป็นการไหลเลื่อนของพลังงาน -the flow of energy</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ข้อสาม ยุงจัดเป็น functions, ฟังก์ชั่นของยุงคือความคิด (thinking), ความรู้สึก (feeling), สัมผัส (sensing) และญาณทัศนะ (intuiting) แต่ละอย่างก็มีความพิเศษเชื่อมโยงกับความหมายปกติที่เราใช้กันอยู่ แต่ก็มีความเฉพาะที่แตกต่างออกไปด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าเราบอกใครบางคนว่าเขาไม่มีความสามารถในการคิด หรือความคิดมันอยู่ในฟังก์ชั่นที่อ่อนด้อยสำหรับเขา พ่อมดบอกเห็นภาพเลยว่าคงโดนหมัดซัดตรงเข้าจมูก หากคนๆ นั้นมีฟังก์ชั่นสัมผัส sensing function ที่เข้มแข็ง </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ฟังก์ชั่นเหล่านี้อาจถูกมองเป็น มิติทางจิต (psychic dimensions) หรือเป็นสิ่งที่ควบคุมจิต (psychic operators) แต่ที่น่าทึ่งก็คือพวกมันคล้ายกับการที่กลไกควอนตัมแสดงออกให้ผู้ควบคุมสังเกตเห็น ความคิดกับความรู้สึกเสริมเติมกัน (thinking and feeling are complementary) ในทำนองเดียวกับที่ตำแหน่งกับแรงในการเคลื่อนที่เสริมเติมกันในการสังเกตทางโลกกายภาพ </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ในความใกล้เคียงกัน คนที่ใช้ฟังก์ชั่นความคิด thinking function (เกือบจะตลอดเวลา) กับเหตุการณ์ในชีวิตของเธอ เธอจะพบว่าชีวิตเกี่ยวข้องกับ “ความจริง” ตัดสินอะไรต่ออะไรอย่างไม่ใช้ความเป็นส่วนตัว (impersonal) ถือตรรกะเป็นเกณฑ์ในการเข้าสู่สถานการณ์, มีเหตุผลเป็นนามธรรม, และมั่นคงในข้อตกลง ซึ่งแน่นอนว่าเธอจะต้องเป็นนักวางแผนที่ดี</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ขณะที่ในอีกด้านนึง ถ้าเธอใช้ feeling function (เกือบจะตลอดเวลา) เธอจะจัดสรรเหตุการณ์โดยตัดสินเรื่องราวต่างๆ อย่างเป็นส่วนตัว ความจริงเพียงเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เธอจะรู้จักว่า “อันนี้ใช่” แต่ไม่ได้คิดว่ามันจะต้องถูก อารมณ์ในการพิจารณาจะมีน้ำหนักมากว่าตรรกะเหตุผลเสมอ ดี, เลว, หรืออะไรอื่น เธอจะใช้ประสบการณ์ทางอารมณ์อันเข้มข้น ใช้ประสบการณ์ทางสติปัญญาเพียงเบาบาง</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
โดยสรุปก็คือ นักคิดจะใช้คำพูด และนักรู้สึก จะใช้อารมณ์เป็นจุดในการข้ามผ่าน</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ถ้าอ้างถึงยุง, บุคคลไม่สามารถพัฒนาทั้งสองด้านอย่างเท่าเทียมกันได้ (ทั้งด้านคิดกับรู้สึก) ด้านนึงจะเด่นกว่าอีกด้าน หรือด้อยกว่าอีกด้านเสมอ.. พ่อมดเล่าว่าเค้ารู้สึกช็อกไปเลยเมื่อ Dr.Marie-Louise von Franz (นักเขียนและนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียง: a protege of Jung’s) บอกกับเขาว่าฟังก์ชั่นความรู้สึกของเธอนั้นอยู่ในระดับอ่อนด้อย</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ด้วยเหตุนี้ ความคิดกับความรู้สึกจะถูกผู้ควบคุมเอามาใช้ในการประเมินตัวเลือก และการตัดสินใจ บุคคลไม่สามารถจะประเมินเหตุการณ์ในขณะที่มีอารมณ์รุนแรงหรือใช้เหตุผลอย่างสุดๆ ได้ในเวลาเดียวกัน ..หลังเหตุการณ์ปัญหาผ่านไปแล้วอาจจะมีความเป็นไปได้ แต่ในขณะที่กำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ เธอจะพบว่าสามารถใช้ตัวควบคุมเพียงตัวเดียวในการเคลียร์</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
อย่างไรก็ตาม ความคิดกับความรู้สึก เป็นฟังก์ชั่นประเมินค่า นั่นคือบุคคลได้ให้ค่ากับความคิดหรือความรู้สึก สัมผัสกับญาณทัศนะไม่ได้ถูกเอามาใช้ Sensation ใช้เกี่ยวโยงเพื่อโฟกัสบนประสบการณ์ตรง, รูปธรรมความจริง, ใช้หลักฐานการทดลองมากกว่าทฤษฎี, และนั่นเป็นสิ่งที่มองเห็นได้, รู้สึกได้, ชิมได้, สัมผัสได้ หรือฟังเสียงได้ นักสัมผัส (sensationists) จะต้องการสัมผัสกับประสบการณ์มากกว่าการวิเคราะห์ พวกเขาจัดการมันด้วย ผัสสะของเขา</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
พ่อมดบอกว่าพวก sensation นี้จะจัดการสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใดได้ดีมาก พลังงานเชื่อมโยงกับความคล่องตัวสูง ทั้งยังใช้เยียวยาร่างกายที่บาดเจ็บ คนประเภทนี้จะจัดการกับเครื่องไม้เครื่องมือได้เป็นอย่างดีอีกด้วย </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ส่วนเสริมเติมกันของ sensation คือ intuitives คนเหล่านี้จะจัดสรรเวลาอย่างไม่เป็นเส้นตรง พวกเขาจัดกระบวนการข้อมูลบนฐานประสบการณ์จากอดีต, ปัจจุบัน และความเป็นไปได้ในอนาคต โดยอนาคตจะมีความสำคัญกับคนประเภทใช้ญาณทัศนะนี้มากกว่าอดีตกับปัจจุบัน พวกเค้าสามารถร่วมรักและถักทอเรื่องราว ป่าวประกาศเกี่ยวกับชีวิตต่างดาว, หยั่งรู้จักรวาล และเปรียบเปรยการหลั่ง (อสุจิ) กับการสร้างสรรค์ของจักรวาล เช่นการแผ่รังสีของสสารอย่างเป็นไปเองย้อนเวลานอกหลุมดำ</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
บ่อยครั้งที่เค้าพัฒนาญาณทัศนะอย่างรุนแรงด้วยการเพิ่มความสัมพันธ์และความหมายให้กับประสบการณ์อย่างรวดเร็วจนคนรอบๆ ตัวรู้สึกเหมือนถูกกระชากลมหายใจไป เป็นคนที่ปล่อยความเข้มข้นออกมาสูง พวกเขามีความสามารถในการมองจักรวาลอย่างเป็นองค์รวมและใช้ในการเปลี่ยนแปลงกฏเกณฑ์ที่ยึดถือกันโดยทั่วไปได้อย่างกระทันหัน คนพวกนี้มีไอเดียที่ดีมากแต่ก็มักจะเป็นทุกข์จากความรู้สึกในการปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีประสบการณ์กับโลกของญาณทัศนะกับโลก sensation ไปในเวลาเดียวกัน เพราะฟังก์ชั่นเหล่านี้เป็นส่วนเสริมเติมกันเช่นเดียวกับความคิดกับความรู้สึก อย่างไรก็ตามมันมีความเป็นไปได้ที่จะมีทั้งคู่ ญาณทัศนะกับความคิดและความรู้สึกที่เป็นสุดยอด หรือพูดอีกอย่างก็คือบุคคลสามารถพัฒนาฟังก์ชั่นเป็นนักคิดที่มีญาณทัศนะหรือนักรู้สึกที่มีญาณทัศนะได้อย่างเท่าเทียม</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
หรือบางทีบุคคลอาจจะมีความรู้สึกกับ sensation เป็นสุดยอดของฟังก์ชั่น เธออาจจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากกับคณิตศาสตร์แต่เป็นนักเต้นรำที่ดี เป็นประเภท intuitive-feeling superiority ซึ่งอาจจะเป็นนักการตลาดที่ดีแต่ขาดความชำนาญในการวางแผน หากเข้ากับคนได้หลากหลายประเภท หรืออาจจะเป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนาบุคคลิกภาพหรือเป็นเชียร์ลีดเดอร์</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แล้วพ่อมดก็อธิบายภาพประกอบที่ยุงนำเสนอ functional typology graphically </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ช่างเป็นแบบแผนที่สมจริงสมจัง เรียบง่าย แล้วก็น่าทึงมากเลยทีเดียว..</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
สี่ภาพ สี่ประเภท ลักษณะเด่นด้อยตามแผนภาพฟังก์ชั่นที่ยุงนำเสนอ</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ฟอร์มของแต่ละภาพก็คือแบ่งสี่เหลี่ยมจัตุรัสครึ่งนึงด้วยเส้นขอบฟ้าจิต (horizon of consciousness) ส่วนบนเป็นสำนึกรู้ (conscious) ส่วนล่างเป็นไร้สำนึก (unconscious) และมีเส้นทะแยงสองเส้นที่ตัดกันตรงจุดกึ่งกลางกับเส้นขอบฟ้าจิต</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ภาพแรก เส้นทะแยงจากซ้ายไปขวา ปลายบนในส่วนสำนึกรู้เป็น intuition ปลายล่างส่วนไร้สำนึกเป็น sensation ตัดกับเส้นทะแยงจากขวาไปซ้าย ปลายบนในส่วนสำนึกรู้เป็น feeling และปลายล่างส่วนไร้สำนึกเป็น thinking </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ภาพแรกนี้เส้นทะแยง (intuition-sensation) จะยาวกว่าเส้นทะแยง (feeling-thinking) มากทีเดียว</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
เป็นการแสดงถึงบุคคลประเภทที่มีพัฒนาการด้าน intuition สูง และมีพัฒนาการด้าน feeling ด้วย (แต่น้อยกว่าญาณทัศนะ) คนประเภทนี้จะมี thinking ซึ่งดูเหมือนจะด้อย (อยู่ในไร้สำนึก) ส่วน sensation ก็อยู่ลึกในระดับไร้สำนึก คนเหล่านี้จะเดินไปมาเหมือนหัวสมองถูกปกคลุมไปด้วยเมฆ เห็นโลกภายนอกเพียงน้อยนิด แล้วก็จะคอยเป็นห่วงว่าพฤติกรรมของตัวเองไปส่งผลกระทบกับคนอื่นยังไงบ้าง อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาในอดีตเค้าก็ทำได้ค่อนข้างดี และเค้าจะสามารถสร้างสรรหรือเปลี่ยนแปลงอนาคต กับสร้างความสัมพันธ์อันมั่นคงแน่นอนกับใครสักคนได้ยังไง</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ภาพที่สอง เส้นทะแยงทั้งสอง (เส้น thinking-feeling กับเส้น intuition-sensation) ความยาวเท่ากัน ตัดกันตรงจุดกึ่งกลางเส้นขอบฟ้าแห่งจิตพอดี มีปลายด้าน thinking และ intuition อยู่ในส่วนสำนึกรู้ กับ sensation และ feeling อยู่ในส่วนไร้สำนึก</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ในภาพที่สองนี้ เค้าบอกว่าคนประเภทนี้จะเป็นปัจเจกที่มีสมดุลมากขึ้น (เป็นพวกนักคิดที่มีญาณทัศนะ หากมีสัมผัสและความรู้สึกอยู่ในระดับไร้สำนึก) เหมาะแก่การจะเป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีที่ดี แต่ก็จะไม่เข้าใจว่าทำไมความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนการคุมกำเนิดในเพศชายจะต้องถูกต่อต้านด้วย ฮ่าๆๆๆ (พ่อมดควอนตัมนี่ตลกจริงๆ)</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ภาพที่สาม ก็สมดุลเช่นภาพที่สอง หากส่วนบนระดับสำนึกรู้ เป็นด้าน sensation และ thinking แล้วส่วนล่าง ไร้สำนึกเป็น feeling กับ intuition เค้าว่าคนพวกนี้เหมาะจะเป็น experimental scientist (นักวิจัยทดลองทางวิทยาศาสตร์) เป็นประเภทที่อยู่กับ here & now มีความสุขในการต่อจิกซอร์เพื่อแก้ปัญหา ชอบคณิตศาสตร์ และไม่ค่อยใช้จินตนาการเท่าไหร่ ถ้าคนประเภทนี้ไปเป็นนักพูดหรือนักเขียนงานของเค้าจะเป็นงานที่ต้องใช้ความชำนาญสูง นิยมความเป็นจริงระดับ fact แล้วจะอ้างอิงทฤษฎีอย่างแฝงความฉนงด้วย</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ภาพสุดท้าย ภาพที่สี่ feeling กับ sensation อยู่ในระดับสำนึกรู้ ส่วน intuition กับ thinking อยู่ส่วนไร้สำนึก ก็จะเป็นคนประเภทตรงข้ามกับภาพที่สอง คือเป็นพวกใช้ความรู้สึก สัมผัส เป็นนักเต้น นักแสดง ศิลปิน พอมดบอกว่าประเภทนี้จะดึงดูดใจพวกนักฟิสิกส์ทฤษฎี (เช่นตัวเค้า) ได้เป็นอย่างดี ฮ่าๆๆๆ</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
หากการแปรเปลี่ยนรูปฟอร์มไม่เกิดขึ้น มันจะดูเหมือนว่า แรงกระตุ้นจากภายใน (libido) ถูกทำให้หายวับไป .. ในเรื่องขำขันของริชาร์ด ฟายน์แมน (นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล) “Dennis the Menace” เดนิสตัวร้าย ได้รับอิฐบล็อก 28 ก้อนจากแม่ของเค้า วันแรก แม่ปล่อยเค้าเอาไว้ในห้องกับอิฐทั้งหมดแล้วจากไป พอหมดวันแม่กลับมาพบเดนิสอยู่กับอิฐ 26 ก้อน แม่ค่อยๆ มองหาอิฐ ด้วยการมองออกไปนอกหน้าต่าง ก็ไปเห็นอิฐสองก้อนคู่กันอยู่ใต้พุ่มไม้ .. วันถัดมา เธอก็ต้องช็อกเมื่อพบว่าเค้าอยู่กับอิฐ 30 ก้อน แต่แล้วปริศนาก็คลี่คลายความกระจ่าง เมื่อรู้ว่าบรูซ เด็กข้างบ้านมาเยี่ยมและทิ้งอิฐสองก้อนของเค้าเอาไว้ เธอเอาไปคืนแล้วบอกแม่ของบรูซว่าอย่าให้เค้าเข้ามาอีก และเธอก็ปิดหน้าต่าง จากไป.. กลับเข้ามาใหม่ คราวนี้พบเดนิสอยู่กับอิฐ 25 ก้อน แต่อย่างไรก็ตาม มันมีกล่องของเล่นวางอยู่ในห้องด้วย เธอจะเดินไปเปิดกล่อง แต่เดนนิสก็ร้องเสียงหลง “อย่าเปิดนะ ห้ามเปิดเด็ดขาด” ด้วยความฉลาดเธอรู้ว่าอิฐหนักก้อนละ 3 ออนส์ กล่องเปล่าหนัก 16 ออนส์ เธอช่างน้ำหนัก (โดยไม่เปิด) พบว่ามันหนัก 25 ออนส์ เธอจึงได้สูตร conservation-of-blocks formula (มีภาพสมการให้ดู แต่คิดว่าไม่จำเป็นต้องบรรยาย สูตรไม่ได้ยากอะไร)</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
วันรุ่งขึ้น เซอร์ไพสใหม่ๆ รอเธออยู่ เธอเห็นว่าน้ำสกปรกในอ่างอาบน้ำเปลี่ยนระดับ เด็กเอาอิฐไปใส่ในน้ำ แต่เพราะน้ำนั้นขุ่นเธอเลยไม่เห็นก้อนอิฐ แต่เธอก็หาได้ว่าเค้าใส่อิฐลงไปกี่ก้อนจากการเพิ่มเทอมใหม่ๆ ลงไปในสูตรของเธอ (เดิมน้ำสูงอยู่ที่ระดับหกนิ้ว การใส่อิฐลงไปก้อนนึงจะทำให้น้ำสูงเพิ่มขึ้นหนึ่งนิ้ว .. ตามสูตรของเธอ..</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ทุกครั้งที่เดนิสเล่นซ่อนอิฐใส่ความซับซ้อนลงไป โลกของเธอก็ยุ่งยากมากขึ้น หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก เธอก็ได้ซีรี่ย์ของสูตร conservation-of-blocks formula กับเด็กมหัศจรรย์เดนิสและงานของเค้า บางทีเค้าก็อาจจะค้นพบวิธี “ทำลาย” หรือบดอิฐ แต่แม่ก็ยังมองหาฝุ่นตามซอกมุม หรือเขม่าบนเพดานได้อยู่ดี</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
แล้วในแต่ละครั้งที่เธอมองไม่เห็นอิฐ เธอก็จะรู้ว่ามันถูกเอาไปซ่อนหรือถูกแปรเปลี่ยน อิฐบล็อกเหล่านี้อุปมาได้กับความคิดเรื่องพลังงาน ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อเมื่อมันถูกสงวนเอาไว้ ถ้าเราสามารถอธิบายถึงมันเมื่อมันไม่อยู่ในสภาพที่ชัดเจน ในทางกายภาพ, อย่างไรก็ตาม มันไม่มีอิฐบล็อกที่จะให้เริ่มตั้งต้น ที่เรามีอยู่ทั้งหมดก็คือสูตรที่แสดงให้เห็นว่าพลังงานก่อฟอร์ม แต่ไม่ได้บอกเลยว่า มันคืออะไร!!</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ถึงตอนนี้พ่อมดจะบอกว่าทำไมเค้าถึงพูดเรื่อง energy diversion (การผันแปรของพลังงาน) .. พลังงานเป็นพื้นฐานหรือเป็นแนวคิดปฐม แรกเริ่ม.. ซึ่งเค้าจะเรียกมันว่า archetype (ต้นแบบ..เอาแล้วไงล่ะ.. ฮ่าๆๆ) เหมือนต้นแบบที่ปรากฏในฝัน รูปของพลังงานที่เราเห็นแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าสังคมของเราใช้มันอย่างไร? แล้วเค้าก็อยากจะตั้งเป็นข้อสังเกตไว้ว่าแนวคิดเรื่องพลังงานเกิดขึ้นมาเป็นส่วนประกอบหนึ่งของ collective unconscious ..ว้าวว.. มันคือปัญญาของจักรวาลที่ก่อรูปฟอร์มขึ้นมา การค้นหาพลังงานจะหาจากระบบภายนอก “out there” โลกกายภาพ อันอุปมาได้กับการสืบค้นหาความหมายในฝันของยุง “in here” ในโลกแห่งความฝันของเรา</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
มันคือเหตุผลว่าสมมุติฐานของยุงซึ่งว่าด้วยพลังงานเป็นจักรวาลจัดสรรสู่ฟังก์ชั่นจิตอาจจะถูกต้องเช่นเดียวกับจักรวาลทางกายภาพ แล้วยุงก็ยังอธิบายว่าพลังมี 2 คุณลักษณะคือ intensity and extensity (หดเข้า-ขยายออก/เข้มข้นหนาแน่-แผ่กระจาย) การแผ่ขยายออกของพลังงานจะไม่เปลี่ยนรูปจากโครงสร้างหนึ่งไปเป็นอย่างอื่นถ้าหากมันไม่เปลี่ยนโครงสร้าง เป็นการหดเข้า โดยการขยายออก ยุงอ้างอิงถึงคุณภาพของพลังงาน หรือพูดอีกอย่างก็คือเค้าชี้ไปตรงที่ว่ามันมี “บางอย่าง” ซึ่งเดินทางผ่านจากแห่งหนึ่งไปที่อื่น เมื่อพลังงานมีการแปรเปลี่ยนเกิดขึ้น</div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
ตัวอย่างเช่น บอลถูกตีตรงขึ้นไปจะมีการแปรเปลี่ยนของพลังงานไปพร้อมกันด้วย มันมีพลังงานจลน์กับพลังงานศักย์ (gravitational potential energy) ปริมาณของพลังงานจลน์จะเคลื่อนไปสู่พลังงานศักย์เมื่อบอลพุ่งขึ้นไป พุ่งขึ้นไปจะไม่มีพลังงานจลน์เลยแต่จะเต็มไปด้วย potential energy การประเมินปริมาณของพลังงานคือความเข้มข้น แต่ลักษณะของการเคลื่อนไหวและศักยะเป็นการขยายออก (extensive) บอลจะไม่สามารถย้ายลักษณะจากการเคลื่อนไหวไปสู่ลักษณะของศักยะได้โดยไม่เปลี่ยนฟอร์มของมันโดยการแตกออกเป็นชิ้นๆ </div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
คล้ายคลึงกับในปัจจัยการขยายออกของจิต ซึ่งไม่มีการเคลื่อนย้ายถ่ายโอน ความคิดของยุงในเรื่องการขยายออกและหดเข้านี้นำทางไปสู่ David Bohm’s concept of implicate and explicate order.. ว้าวว.. แล้วพวกมันก็ยังนำทางไปสู่การแบ่งโลกออกเป็น object กับ action of objects : subjects กับ verbs พวกมันประกอบการเสริมเติมกัน เป็น 2 (dual way) ในการจัดสรรประสบการณ์ เป็นนัยยะ อันนำไปสู่การแบ่งระหว่าง จิตกับสสาร, กายภาพกับจิต, คำกับภาพ</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjOs0XMO-Vz3yv4CxHVBQZz24T2HclE-v9CQQ5mXGLNv9jkSkc5VsfEGqTnkzXqcz4ieRfVA9S_OhOUKDm8kyE_5KP2ZUJOboYFKTcsSEatvADIKQW_jtrodh-4mj-APm9TkqLOkFOaOeXD/s1600/p2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjOs0XMO-Vz3yv4CxHVBQZz24T2HclE-v9CQQ5mXGLNv9jkSkc5VsfEGqTnkzXqcz4ieRfVA9S_OhOUKDm8kyE_5KP2ZUJOboYFKTcsSEatvADIKQW_jtrodh-4mj-APm9TkqLOkFOaOeXD/s1600/p2.jpg" height="320" width="301" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHpvnvFhCbqL6pfLHcmDyyWtAayABjrIlrLLci3j4t1e4LRlz6jiDTKs2uP7AJp_7iFebHBN5UnrLdZl6W6mf3rIr6TUJtCiFDuNfuBoGluIf619FJsubI1_lPwppPdUJPgfAp5uiYtanA/s1600/p3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHpvnvFhCbqL6pfLHcmDyyWtAayABjrIlrLLci3j4t1e4LRlz6jiDTKs2uP7AJp_7iFebHBN5UnrLdZl6W6mf3rIr6TUJtCiFDuNfuBoGluIf619FJsubI1_lPwppPdUJPgfAp5uiYtanA/s1600/p3.jpg" height="320" width="315" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiemwKYFLM9PmnyqVognaFmbKl_fokTiSW6KKNr4cGeRKS9Qy6au4OBvenVeuGJPyw-C7PROkMFuxBF9npplJoVaT_N5vFGy4BPmhav2_VAFdUDYHGEAPQQs8MDQrI7f9Mv1eiAbQWXny2x/s1600/p4.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiemwKYFLM9PmnyqVognaFmbKl_fokTiSW6KKNr4cGeRKS9Qy6au4OBvenVeuGJPyw-C7PROkMFuxBF9npplJoVaT_N5vFGy4BPmhav2_VAFdUDYHGEAPQQs8MDQrI7f9Mv1eiAbQWXny2x/s1600/p4.jpg" height="320" width="306" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi0-4QuhfH4P-0dKobvfQupSGid6xKJQrryc_osaW65U6gmX-3jtOSD76rl016iPsY-8Puxrka-adTMGq85D1LPND37lu446Gf1cepYZ3Si7wW7Tn6eApgL5rTLtKk34JmAUMn3J0-bGBAD/s1600/p1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi0-4QuhfH4P-0dKobvfQupSGid6xKJQrryc_osaW65U6gmX-3jtOSD76rl016iPsY-8Puxrka-adTMGq85D1LPND37lu446Gf1cepYZ3Si7wW7Tn6eApgL5rTLtKk34JmAUMn3J0-bGBAD/s1600/p1.jpg" height="320" width="315" /></a></div>
</div>
เมธาวี เลิศรัตนาhttp://www.blogger.com/profile/08911828304642179150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4480254480839686156.post-66688173229278367002014-03-20T19:19:00.003-07:002014-03-21T20:08:58.050-07:00ฟังนาซิม 2<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>ด้วยกลไกอันเรียบง่ายของสมการคณิตศาสตร์ ที่พิสูจน์ว่าอะตอมคือ mini black hole (หลุมดำน้อยๆ) ซึ่งนาซิมก็แค่ไม่ทำเหมือนคนอื่นที่เมินความหนาแน่นของ vacuum เขาก็แค่ไม่ยอมมองผ่านพลังงานมหาศาลซึ่งอาจจะเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง อย่างที่ใครๆ ทำกันในวงการฟิสิกส์ นั่นก็คือมองไปที่ความว่างภายในของโปรตอน (อะตอมธรรมดาของไฮโดรเจน) </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>อันโปรตอนเป็นเหมือนนิวเคลียร์ของอะตอมเพราะตรงกลางมันแน่นมาก เขาหาว่ามันมี volume (ค่ารวมของพื้นที่ภายใน) อยู่เท่าไหร่ ก็ได้มาว่าเป็น 10 ยกกำลัง -39 ลูกบากศ์เซ็นติเมตร (เล็กมากๆ) แล้วก็มาคำนวนต่อว่ามันมี vacuum อยู่ในโปรตอนที่แสนจะเล็กกระจิดริดนี้อยู่เท่าไหร่ ปรากฏว่าได้ผลออกมาเป็น 10 ยกกำลัง 55 ต่อค่ารวมของพื้นที่ภายในทั้งหมด คุ้นๆ กับจำนวนตัวเลยนี้มั๊ย!! มันคือค่าของปริมาตรสสารของทั้งจักรวาลรวมกัน (เมื่อถูกบีบอัดลงมาไว้ในลูกบากศ์เซ็นติเมตร แล้วถ้าเรายังจำสมมุติฐานเรื่องความว่างเชื่อมโยงทุกสรรพสิ่งได้ นั่นก็คือมันมีโปรตอนทุกตัวที่อยู่ในจักรวาลดำรงอยู่ในโปรตอนแต่ละตัว!! (จากสมการที่ได้) และนั่นคือวิถีที่สสารปรากฏออกมา เท่ห์มั๊ยล่ะ? นี่คือหลักฐานทางคณิตศาสตร์ ที่บอกว่าทุกสรรพสิ่งคือหนึ่งเดียวกัน </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b></b><br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>ซึ่งตอนนี้มันไม่ได้เป็นแค่แนวคิด หรือหลักฐานที่ไม่มีข้อพิสูจน์อีกต่อไป แต่มันเป็นหลักฐานทางคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นรูปธรรม แต่อย่างไรก็ตาม นาซิมไม่ได้พูดเรื่อง “ความเป็นหนึ่งเดียวกัน” ในที่ประชุมหรอก หากเขาพูดว่า จำนวนนี้ตามสมการมันแสดงว่า โปรตอนทั้งหลายมัน entangle (ความพัวพันอันไม่อาจแบ่งแยกซึ่งเชื่อมโยงถึงกันหมด) นาซิมบอกว่า ต้องใช้ภาษาของนักฟิสิกส์ พวกเค้าถึงจะฟัง!! </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>ตัวเลขมันออกมางดงามมาก คือ 10 ยกกำลัง 55 ซึ่งก็ชัดเจนว่าเพียงพอแล้วที่จะเป็น universal black hole และนอกจากนั้นยังเท่ากับว่ามันเป็นมวลของโปรตอนทั้งหมดรวมกันด้วย มันไม่มีอะไรต้องสงสัยเลย อะตอมก็คือหลุมดำ!! (ก็ขนาดของมันแค่10 ยกกำลัง -39 ซึ่งเล็กจิ๋วมาก เมื่อเทียบกับ 10 ยกกำลัง 55) โปรตอนกลายเป็นหลุมดำแน่นอน หรือทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เราอาจจะบอกได้ว่า vacuum feeding all atoms (ความว่างหล่อเลี้ยงอะตอมทั้งหลายเอาไว้) โลกสสารทั้งหมดวางฐานอยู่บนจำนวน 10 ยกกำลัง -39 ของพลังงานของ vacuum ซึ่งโคตรจะขี้ประติ๋วมากสำหรับ vacuum </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>และบนความขี้ปะติ๋วนี่แหละที่สร้างโลกแห่งสสารวัตถุของเราขึ้นมา </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br />
<b></b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>ทีนี้ลองจินตนาการว่าถ้าเราเอาพลังงานที่มีอยู่ในทุกหนแห่งนี้ออกมาใช้ได้ หรือเอามาไม่ต้องถึงขนาดใกล้เคียงกับ10 ยกกำลัง -39 หรอก เอาแค่ coherent พลังงานนั้นได้สักกะจิ๊ดเดียว แค่นั้นก็เหลือจะพอสำหรับโลกทั้งใบใช้ไปได้เป็นพันๆ ปีแล้ว แล้วเรายังจะมีพลังงานเพียงพอที่จะสร้างสนามแรงดึงดูด เพียงพอทีจะเดินทางข้ามระบบสุริยะ ข้ามกาแลคซี่ หรือแม้กระทั่งข้ามจักรวาลนี้ไปจักรวาลอื่น </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>เราจะได้ปลดปล่อยสังคมของเรา อารยธรรมของเราจากการให้ติดแหง็กอยู่แค่ผิวโลกใบนี้ ซึ่งมันไม่ใช่ที่ๆ น่าอยู่เลย ผิวโลกใบนี้ไม่เคยเสถียร (highly unstable) เปลือกโลกไม่ได้คงอยู่ได้เพราะมีคนอยู่ ความเบาบางของบรรยากาศก็เทียบได้กับการทาน้ำยาเคลือบผิวบนลูกบิลเลียด (นั่นคือความหนาของชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก) ขนาดของโลกเมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์ก็เหมือนเม็ดทราย ถ้าเพียงชิ้นส่วนเล็กๆ ของดวงอาทิตย์หลุดมา ผ่านชั้นบรรยากาศอันบอบบาง ก็เรียบร้อย ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณเคยรู้จักหายวับไปหมด</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>ไม่ต้องสนใจความรู้ทฤษฎี ดาราศาสตร์อะไรมากมาย ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ก็แค่ขึ้นอยู่กับ เวลาของคอสมอสซึ่งให้อารยธรรมของเราคิดค้นว่าจะออกจากหิน (ก้อนที่เกาะอยู่นี้) นี้อย่างไร? ถ้าทำได้ไม่ทันเวลาล่ะก็..อาจต้องรอรอบหน้า.. นี่คือพื้นฐานการย่างก้าวของอารยธรรมที่ต้องทำให้สำเร็จ และเราก็ได้มาถึงจุดนั้นแล้ว เรามาอยู่ ณ จุดที่วิวัฒนาการของเรา ได้นำเรามาสู่ความเข้าใจพื้นฐานของจักรวาล นั่นรวมถึงปรัชญาจักรวาล จิตจักรวาล เข้าใจว่าอะไรเชื่อมโยงเราเข้าด้วยกันและมันทำงานอย่างไร เพื่อเราจะได้ประยุกต์เทคโนโลยีตามนี้ให้เป็นจริงอย่างเป็นพิธีกรรมอันงดงามด้วย </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b></b><br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>กรณีที่อาจมีข้อกังขาว่า ถ้าใช้มวล 10 ยกกำลัง -39% ของ vacuum ให้เป็นหลุมดำน้อยๆ อะตอมของนาซิมก็จะต้องหนักกว่าอะตอมปกติในห้องแลป พวกกระแสหลักก็จะไม่มีความสุขกับเรื่องนี้ (คงพอจินตนาการได้) ความจริงก็คืออะตอมของนาซิมจะใหญ่กว่ามาตรฐานโปรตอนไป คุณก็อาจจะคิดว่ามันผิดใช่ไหม? นาซิมบอกว่าถ้ามันผิดจริง มันก็ไม่น่าจะเวอร์กกับมาตรวัด scale เขาก็เลยสร้างสเกลขึ้นมาระหว่างมวลกับการแผ่รังสี บนสเกลที่เรียงตัวกันก็เริ่มจาก Plank Distant, กาแลคซี่, เควซ่า, ดวงอาทิตย์, โลก, พอลซ่า, และ black hole proton เรียงตัวกันสวยงามบนสเกล ขณะที่โปรตอนมาตรฐานกลับหลุดจากการเรียงตัวบนสเกลไป ซึ่งนาซิมบอกว่านี่มันชัดเจนว่าโปรตอนมาตรฐานนั้นอยู่ผิดที่ผิดทาง ซึ่งนั่นก็คงเป็นเพราะในทางฟิสิกส์ มวลไม่เคยถูกอธิบายให้กระจ่างชัดว่ามันมาจากไหน แล้วการจะทำให้โปรตอนแตกตัวก็ต้องยิงอนุภาคเข้าใส่มัน พอมันหลุดออกไปก็ถูกตรวจวัด โดยเรามีเพียงสมมุติฐานว่าโปรตอนจะมีมวลเท่าเดิม (ก่อนจะถูกทำให้แตกตัว) ก็แน่ล่ะเมื่อคุณเข้าไปแทรกแซงระบบ คุณก็จะไม่ได้ข้อมูลที่ถูกต้องเที่ยงตรง </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b><br /></b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>มันเกิดขึ้นแบบเดียวกันนี้ในทางชีววิทยาด้วย คุณรู้มั๊ยเวลาจะเรียนรู้เกี่ยวกับเซลเราทำกันยังไง? เราแช่แข็งมันด้วยไนโตรเจนเหลว แล้วก็เฉือนเปิดมันออก นั่นก็แปลว่ามันไม่มีชีวิตอีกต่อไปแล้ว จากนั้นก็ส่องดูมันจากอิเลคตรอนไมโครสโคป และอุทาน โอ้ว้าว!! dna ดีเอ็นเอเป็นมวลหลัก (เป็นส่วนใหญ่) อยู่ในนั้น ..เราอาจจะไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องก็เป็นได้!! </b><br />
<b></b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b></b><br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>ตอนนี้เรากำลังคำนวนหาแรงดึงดูดระหว่าง Schwarzschild Protons สองตัว จากตำแหน่งโดยระยะห่างจากจุดศูนย์กลางของกันและกัน</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b></b><br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>Schwarzschild: คือหลุมดำชนิดที่เป็นผลมาจากการล้มสนามแรงดึงดูดโดยสมบูรณ์ มีความเป็นกลางและไม่หมุน เป็นจุดซิกูลาลิตี้ซึ่งทำให้กาลอวกาศโค้งงออย่างเป็นอนันต์ ขอบเขตของมันก็คือขอบเขตของหลุมดำ</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>Origin named after Karl Schwarzschild (1873-1916), German astronomer.</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b></b><br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>เหตุที่ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น (ทำไมถึงได้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง!!) นั่นก็เพราะการเข้าถึงมวล เป็นสิ่งที่พวกกระแสหลักไม่เข้าใจ ก็ตอนที่พวกเขาเจอโปรตอนสองตัว เขาพบว่าพวกมันเป็นชาร์ต+ ซึ่งมันก็น่าจะผลักกัน (เหมือนแม่เหล็กผลักขั้วเดียวกัน) ตอนนั้นก็ไปเข้าใจว่าแรงดึงดูดจะต้องดูดมันอย่างรุนแรงมาก (ต้านแรงผลัก) ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ มันคงจะเป็นแรงตัวใหม่ (ที่ไม่เคยรู้จัก) !!! แล้วสิ่งที่พวกเขาทำเมื่อสองร้อยกว่าปีมาแล้วก็คือ บอกว่าพบแรงชนิดใหม่ที่เรียกว่า “strong force” (นิวเคลียร์แข็ง) นาซิมประชดว่าช่างสะดวกง่ายดายซะนี่กระไร? </b></div>
<div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>เสร็จแล้วพวกเขาก็ใส่มันลงไปว่าเป็นสิ่งที่ string จำเป็นต้องทำ (ต้องรวมโปรตอนเข้าด้วยกัน) ผมเลยเรียกฟิสิกส์ทำนองนี้ว่า ฟิสิกส์ตามใจมรึง.. (เสียงฮาครืน!!) </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>พวกเขาทำแบบเดียวกันกับจักรวาลด้วย เมื่อพบสมการที่บอกว่ามีสสารอยู่ 4% แทนที่จะทำงานกับสมการต่อ กลับไปบอกว่า เสร็จแล้ว!! ที่เหลืออีก 96% ก็ใส่ dark matter ลงไป โอ้..ดูสิ สมการใช้ได้แล้ว มันต้องมีอยู่จริงแน่ๆ!! ฟิสิกส์ตามใจมรึงไงล่ะ!! (นาซิมประชด)</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b></b><br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>แล้วดูสิ!! เมื่อใส่แรงนิวเคลียร์แข็งลงไป ผลที่ตามก็คือมันไม่สามารถจะรวมกับแรงดึงดูดได้ ตอนนี้ก็เลยสร้างเรื่องสร้างราวกันใหญ่ พยายามจะใส่มิติ (dimensions) กันเข้าไปเพื่อจะทำให้มันใช้การได้ ทั้งที่ยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะ strong force มันไม่มีอยู่!! </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b></b><br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>สิ่งที่นาซิมคิดออกมาแล้วน่าจะเป็นไปได้จริงก็คือ มันเป็นการกระทำในระดับอะตอมของแรงดึงดูดซึ่งกระทำต่อโปรตอน ต่อหลุมดำน้อยๆ นั่นถึงทำให้อิเลคตอนมันหมุนเร็วที่ความเร็วแสง </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>ดังนั้นเมื่อคุณมาดูโปรตอนสองตัว จะพบแรงดึงระหว่างกันที่แรงมาก แล้วก็มาคำนวนการที่มัน rotate each other หมุนรอบกัน ด้วยความเร็วที่สูงมาก (นาซิมอธิบายสมการ) …</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>แล้วก็รวมอัตราเร่งเหล่านี้เข้าด้วยกันสืบเนื่องมาจากอัตราความเร็วสัมพัทธ </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>ซึ่งเมื่อถอดสมการทั้งหมดออกมาจะได้ 2.9x10 ยกกำลัง10 เซนติเมตรต่อวินาที ยังจำจำนวนตัวเลยนี้กันได้มั๊ย? ใช่แล้ว มันคือความเร็วแสง!! V=C ซึ่งก็คือ The Speed of Light </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>ตอนนี้ก็ชัดแล้วว่า โปรตอน ณ จุดศูนย์กลางของมันไม่เพียง infinite dance แต่มันยังหมุนในระดับความเร็วแสงด้วย เป็นการหมุนที่มีอัตราความเร็วสูงมาก </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b></b><br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>แล้วตอนนี้คุณเริ่มสัมผัสสสาร (รวมถึงตัวเราเอง) ได้รึยังว่ามันเป็นแสง “เราคือแสง” มันหมายความว่าอย่างนั้น!! คุณเห็นภาพตัวเองรึเปล่า? สัมผัสตัวคุณเองได้รึเปล่า? ทุกๆ อะตอมที่ก่อประกอบตัวเราเป็นหลุมดำที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วแสง นั่นแหละคือพลวัตของตัวคุณ นี่คือความเป็นพลังงานในตัวของคุณ เป็นสิ่งอัศจรรย์มาก ที่คุณ transform information แล้วส่งให้จักรวาลและส่งกลับมาด้วยความเร็วแสง คุณกระพริบ วับๆๆๆ เร็วมาก to the vacuum/back out/to the vacuum/back out</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b></b><br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>ดังนั้น..คุณคือใคร? เมื่อยู่ใน vacuum คุณเคยสำรวจ vacuum ของคุณรึยัง? (ตรงนี้มีสัปดนกันเล็กน้อย ฮ่าฮ่า) </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b></b><br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>คุณ inform the vacuum และกระพริบเข้าๆ ออกๆ ทุกหนทุกแห่ง มันเป็นอย่างนั้น (ลูกชายวัยสี่ขวบก็คุยกับนาซิมเรื่องนี้ด้วย) มันจึงสำคัญมากที่เราจะต้องตื่นรู้ในการกระทำซึ่งรับรู้สัมผัสนี้ แล้วเมื่อมันเกิดขึ้น คุณจะเริ่มรู้ว่าในการเคลื่อนไหวของคุณมันอาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่คุณคิดว่ามันเป็น นาซิมหมายความว่า ถ้าเราอยู่ใน fractal universe ซึ่งแบ่งๆ ไปได้ไม่สิ้นสุดจากความเป็นอนันต์อันยิ่งใหญ่จนถึงความเป็นอนันต์อันเล็กจิ๋ว นั้นการเคลื่อนที่จากจุด A ไป B ก็จะมีความแตกต่างจากสมมุติฐานของเราแน่นอน </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b></b><br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>คุณอาจจะเริ่มจากการยกมือขึ้นแล้วโบก (เคลื่อนมือ) จากจุดเอไปบี โดยนาซิมจะคำนวนความเร็วในการเคลื่อนของมือนั้น ซึ่งคุณก็รู้ว่ามันมีความเป็นอนันต์ด้วย ขณะที่มือเคลื่อน โลกก็หมุนรอบตัวมันเองไป เขาจะบวกความเร็วนั้นเข้าไปด้วย ขณะเดียวกัน โลกก็หมุนรอบดวงอาทิตย์ แล้วดวงอาทิตย์ก็หมุนรอบกาแลคซี่ นาซิมก็จะบวกอัตราความเร็วเหล่านี้เข้าไปด้วย </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>ถึงตอนนี้คุณก็พบว่ามือของคุณเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเป็นล้านไมล์ต่อวินาที แล้วความเร็วก็ยังถูกบวกเข้าไปได้อีกเรื่อยๆ เพราะกาแลคซี่ก็หมุนเคลื่อนข้ามยูนิเวอร์ส มัลติเวอร์ส ซุปเปอร์ครอส ฯลฯ แล้วถัดมาคุณก็จะรู้ว่ามือคุณเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสง </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b></b><br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>คุณจะอธิบายเรื่องการเคลื่อนที่อย่างไร? เมื่อคุณเข้าใจแล้วว่ามือคุณมันไม่ได้เคลื่อนไปจากแค่จุดเอไปจุดบีตามที่คุณคิด มือของคุณ (ขณะกำลังเคลื่อน) มันจะปรากฏขึ้นแล้วหายไป แล้วปรากฏขึ้นอีกแล้วหายไป appearing disappearing ..undoing/redoing itself ทุกครั้งมันจะเข้าสู่อนันต์แล้วกลับมา คล้ายๆ กับการฉายหนัง จากแผ่นฟิล์ม ที่เป็นเฟรมภาพนิ่ง แต่เมื่อเราหมุนมันด้วยความเร็วเพียงพอ เราก็จะเห็นเหมือนมันเคลื่อนอย่างสืบเนื่อง และถ้าคุณเข้าใจแล้วว่าคุณ interact กับ vacuum ตามนี้ และถ้าคุณ manipulate vacuum หรือที่ผมจะเรียกว่า vacuum engineer (วิศวกรความว่าง) ระดับมาสเตอร์ คุณก็จะสามารถทำให้มือหายวับจากจุด A แล้วไปปรากฏที่จุด B ได้เลย ข้ามจุดต่างๆ ที่อยู่ระหว่างทางไปได้ (นาซิมกล่าวติดตลกว่า ถ้าคุณทำอย่างนั้นก็อย่าลืมเอาตัวเคลื่อนไปด้วยล่ะกัน ไม่งั้นมือข้างที่เคลื่อนไปจะลำบากเพราะขาดร่างกายส่วนที่เหลือ..ฮ่าฮ่า) </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b></b><br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>และความเข้าใจเหล่านี้จะนำเราไปสู่ประสิทธิภาพในการ interact กับ vacuum ในตัวเราเอง </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>แต่ในห้องแลบ ความเข้าใจเรื่องนี้ได้นำไปสู่องค์ความรู้ซึ่งจะเปิดหูเปิดตาพวกเราซะที ไม่ใช่แค่จะนำเราไปสู่พลังงานอันอเนกอนันต์ไม่สิ้นสุดเท่านั้น แต่ยังจะทำให้สามารถเคลื่อนย้ายสสารข้ามกาแลคซี่ได้ โดยไม่ต้องหยุดตามจุดระหว่างทาง นาซิมบอกว่าเขาจะแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีนี้มันยังอยู่ในอนาคตไกลโพ้น หรืออยู่แค่หัวมุมตึกนี่เท่านั้น </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b></b><br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>ตอนที่นาซิมทำวิจัยเรื่องอะตอมนี้ เขาได้ศึกษาอารยธรรมโบราณมากมายด้วย เขาเข้าใจว่าถ้าโครงสร้างของ vacuum มีอยู่ มันคงไม่ใช่แค่แรนดอมไป (มั่วสะเปะสะปะ) แต่มันจะต้องมีโครงสร้างอันเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง ซึ่งต้องมีโครงสร้างพื้นฐานเป็นเรขาคณิต แล้วเราก็จะต้องเข้าใจให้ได้ว่าโครงสร้างนั้นมันเป็นอย่างไร นาซิมก็เลยศึกษาอารยธรรมโบราณ ซึ่งถือเป็นแหล่งกำเนิดของการสร้างสรรค์ </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>และแล้วก็ได้พบในอารยธรรมโบราณเกือบทั้งหมดบนโลกใบนี้ สิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้น ล้วนเป็นรูปทรงเรขาคณิตซึ่งมีลักษณะเฉพาะอันสำคัญ เขาใช้เวลาหลายต่อหลายปีค้นคว้าจนกระทั่งพบรหัสที่ทิ้งไว้จากอารยธรรมโบราณอันหลากหลาย มันมีทั้งที่เป็นคณิตศาสตร์ทั้งหมด หรือสมการทั้งหมด ซึ่งถอดไว้แล้วด้วย มีกระทั่งเทคโนโลยีเพื่อใช้สร้างห้องแลบ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเขาก็จะไม่ไปคิดว่าคนโบราณฝันเอา หรือจู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้เองรึเปล่า? ไม่มีทาง เขาไม่คิดอย่างนั้นแน่ ..มันมีหลักฐานมากมายที่สนับสนุนว่ามีอารยธรรมล้ำยุคสมัยอยู่ที่นี่ และต้องการจะมอบความรู้เหล่านี้ให้กับเรา (นาซิมแสดงภาพหัวกระโหลกซึ่งเป็นทรงรียาวๆ) คนเหล่านี้แหละ!! </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>จากนั้นนาซิมก็แสดงภาพลวดลายโบราณต่างๆ จากอิยิป จีน ฯลฯ ซึ่งเป็นรูปทรงพื้นฐานทางเรขาคณิตที่สามารถปรับแปลงให้เป็นทุกๆ รูปทรงของสรรพสิ่งที่เราเคยพบเจอในจักรวาล และในองค์กรชีวิตด้วย </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<br />
<br /></div>
</div>
</div>
เมธาวี เลิศรัตนาhttp://www.blogger.com/profile/08911828304642179150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4480254480839686156.post-58262491346741293282014-03-20T19:13:00.002-07:002014-03-21T20:06:13.487-07:00ฟังนาซิม ตอนที่ 1<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>นาซิมเล่าว่า เขาไม่เคยชอบโรงเรียนและไม่เคยทำอะไรได้ดีที่โรงเรียนเลย แต่ก็ต้องไปโรงเรียนตามประสา (ตอนนั้นอายุเก้าขวบ) วันหนึ่งครูบอกว่าจะสอนเรื่องเรขาคณิต เรื่องมิติ เขาตื่นเต้นสุด โอ้โห..เรื่องมิติ!! ..แต่แล้วก็กลับต้องผิดหวังมาก เพราะครูเดินไปเอาชล็อกเขียนจุดๆ นึง บนกระดานแล้วบอกว่านี่คือมิติ 0 ซึ่งไม่ปรากฏอยู่ คำพูดและการกระทำของครูทำให้นาซิมงงมาก มันจะไม่ปรากฏอยู่ได้อย่างไร? ในเมื่อเขามองเห็นจุดๆ นั้นอยู่โต้งๆ จากจุดที่เขานั่งอยู่ เสร็จแล้วครูก็ยังจุดๆ ต่อกันเป็นเส้นตรง แล้วก็บอกว่า นี่คือ 1 มิติ ซึ่งก็ไม่ปรากฏอยู่เหมือนกัน แล้วครูก็เอาเส้นตรงๆ มาต่อกัน เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม บอกว่านี่คือ 2 มิติ ก็ไม่ปรากฏอยู่อีก เสร็จแล้วก็วาดรูปกล่อง ต่อเส้นตรงไปอีกหกเส้นบอกว่านี่แหละที่ปรากฏอยู่ มันคือ 3 มิติ </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>ลองนึกหน้าเด็กเก้าขวบที่กำลังงงงัน สับสนสุดๆ ดู ทั้งขำทั้งเอ็นดูเลยทีเดียว นาซิมคิดว่า..มันจะเกิดปรากฏรูปกล่องขึ้นมาได้ยังไง ถ้าจุดไม่มีอยู่ เส้นตรงก็ไม่มีอยู่ รูปสี่เหลี่ยมก็ไม่มีอยู่ (ครูพูดบ้าอะไรของครูว่ะเนี่ย!!)</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>เขาคิดกับมัน ตั้งคำถาม แต่ก็ไม่มีใครตอบได้ ..ก็ถ้าพื้นฐานที่เรียนตั้งแต่เด็กมันไม่ได้รับการปรับปรุงขนาดนี้ เมื่อโตขึ้น ได้ยินได้ฟังเรื่องทฤษฎีสรรพสิ่ง ที่พูดกันไปถึง 248 มิติ สมการซับซ้อน พัวพันกันมากมาย ใครเล่าจะเข้าใจได้..</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>และเมื่อไม่เข้าใจอะไร ก็ถูกเตะกลับบ้าน นาซิมนั่งคิดเรื่องมิติบนรถเมล์ที่แน่นขนัด คนเบียดเสียด บรรยากาศร้อนอบอ้าว..ตอนนี้เองที่ ดช.นาซิม เกิดจินตภาพ เกิดมุมมองที่หลุดออกจากตัวเอง จากรถเมล์ จากเมืองลอยขึ้นไปๆ หลุดจากโลก จากระบบสุริยะ จากกาแลคซี่ ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อมองไกลจากมุมที่สูงขึ้นไป ขึ้นไปจะเห็น เป็นจุดๆ เล็กๆ เป็นล้านๆๆ ที่เต็มจักรวาลไปหมด และจุดๆ นั้นก็คืออะตอม .. มีแต่จุดๆ อะตอมๆ เต็มไปหมด และเมื่อเขาหันกลับมามองคนบนรถก็เห็นว่าร่างกายของทุกคนล้วนถูกก่อประกอบขึ้นจากจุดๆ มองไปที่ผ่ามือตัวเองก็เห็นว่ามีแต่จุดๆ อะตอมๆ พร่างราวเช่นเดียวกับดวงดาวในจักรวาล</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>เมื่อกลับถึงบ้านแล้วได้รับประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นขนาดนั้น แน่นอนว่าดช.นาซิม อยากเล่าให้ใครสักคนฟัง คนๆ นั้นก็คือ แม่ แม่ก็ตื่นเต้นที่จะได้ฟังเพราะคิดว่าลูกชายคงมีความสุขในการเรียนหนังสือขึ้นบ้างแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นครั้งแรกในชีวิตของลูกชายของเธอ แต่นาซิมกลับบอกว่า “แม่ วันนี้ผมเรียนเรื่องมิติที่โรงเรียน แล้วผมก็พบว่ามันผิด..” เท่านั้นหน้าแม่ก็กลายเป็นลูกโป่งสีแดง เมื่อนาซิมเริ่มเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับจุดอันอเนกอนันต์ของเขา แม่บอกว่า ..ลูกก็รู้นี่ แม่ต้องทำงานวันละแปดชั่วโมง แม่เหนื่อยมาก แล้วก็ไม่เป็นอนันต์ด้วย .. </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>นาซิมบอกว่า ปัญหาที่แม่เขากล่าวนี้มันจริง ฟิสิกส์ไม่เคยเชื่อมโยงสิ่งใหญ่ๆ กับสิ่งเล็กๆ เข้าด้วยกันได้เลย จักรวาลสัมพัทธภาพของไอน์สไตล์กับทฤษฎีควอนตัมก็รวมกันไม่สำเร็จ เมื่อเราเห็นว่าสิ่งใหญ่ๆ สร้างขึ้นจากสิ่งเล็กๆ แต่สมการมันไม่ลงตัว?!? ความเป็นอนันต์อันไร้ขอบเขตกับขอบเขตจำกัด มีอยู่ทุกหนแห่ง</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>สายจิตวิญญาณจะพูดถึงความเป็นอนันต์ ขณะที่นักวิทยาศาสตร์จะพูดถึงขอบเขตอันจำกัด แล้วก็ตกลงกันไม่ได้ เหมือนผู้หญิงกับผู้ชาย..</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>สายจิตวิญญาณจะพูดถึงความเป็นอนันต์ ขณะที่สายวิทยาศาสตร์จะพูดถึงขอบเขตอันจำกัด ระบบปิด แล้วก็ตกลงกันไม่ได้ เหมือนผู้หญิงกับผู้ชาย..ผู้หญิงมักจะคิดอย่างสืบเนื่อง อนันต์ ขณะที่ผู้ชายคิดถึงจุดสิ้นสุด ขอบเขต และลงท้ายด้วยการหย่าร้าง </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>นาซิมคิดเชื่อมโยงระบบอนันต์กับขอบเขตจำกัดนี้สืบเนื่องมาจนตั้งแต่เก้าขวบ จนกระทั่งอายุสิบเอ็ดปี เขาเล่าว่าตัวเองนั้นไม่ค่อยเข้ากับสังคมเท่าไหร่ ไม่ค่อยมีความสุข จะมีก็เพียงเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่ง แก่กว่านิดหน่อย อายุประมาณสิบสี่สิบห้าปี สอนให้นาซิมทำสมาธิ ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่าคนเราสามารถดึงเอาสัมผัสที่มักส่งไปออกข้างนอก กลับเข้ามาด้านในได้ และเมื่อเข้าถึงศูนย์กลางได้ ก็พบกับโลกทั้งใบอยู่ในนั้น นั่นก็คือการค้นพบหนทางแก้ปัญหาเรื่องอนันต์กับขอบเขต ด้วยการเข้าๆ-ออกๆ ได้ไม่สิ้นสุดอย่างเป็นอนันต์ ผ่านตัวเราซึ่งมีขอบเขตจำกัด </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b></b><br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>แล้วหลังจากนั้นนาซิมก็พบว่ารูปทรงเรขาคณิตอันเรียบง่าย แสดงถึงความเป็นอนันต์ภายใต้ขอบเขตอันจำกัด เขาเริ่มจากสร้างรูปทรงกลม (แน่นอนว่ามีขอบเขตจำกัดที่เขาขีดมันขึ้น) และสร้างสามเหลี่ยมด้านเท่าขึ้นในวงกลม ให้ปลายของมุมทั้งสามด้านจรดเส้นรอบวงกลม แล้วก็สร้างสามเหลี่ยมด้านเท่ากลับหัวขึ้นมาซ้อนทับรูปเดิม ซึ่งแทนการหมุน (อันเป็นสัญญลักษณ์ของดาวเดวิด) ก็จะเกิดรูปสามเหลี่ยมด้านเท่าขนาดเล็กลงไปขึ้นอีกหกรูป แล้วก็สร้างวงกลมขึ้นครอบสามเหลี่ยมทั้งหกนั้น ก็จะได้รูปทรงที่เหมือนเดิมทุกประการ หากในแต่รูปเกิดจากมุมและด้านที่เกิดต่างกันออกไป (ถือเป็นลักษณะเฉพาะของมัน) ซึ่งก็กล่าวได้ว่ามันเกิดขึ้นบนความสืบเนื่องของกันและกัน และเมื่อเราทำซ้ำไปเรื่อยๆ หรือให้คอมพิวเตอร์รัน ก็จะรันไปได้ไม่สิ้นสุด รูปเล็กลงหากแต่ละรูปไม่มีศูนย์กลางที่ซ้ำกันเลย ทั้งที่ไม่เคยออกไปนอกขอบเขตเดิม (วงกลมแรก) ซึ่งสร้างเอาไว้ ในตอนแรก</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>นั่นคือความเป็นอนันต์อันอยู่ภายใต้ขอบเขตจำกัด (fractal) ที่สามารถแสดงเป็นสมการคณิตศาสตร์และรูปทรงเรขาคณิตได้ ..ไม่เช่นนั้น เรื่องที่เสมือนไม่มีจุดเชื่อมต่อนี้ ก็จะเป็นแค่เพียงแนวคิด เชิงจิตวิทยา ปรัชญา หรือไม่ก็เป็นหลักเกณฑ์ความเชื่อที่ไร้ข้อพิสูจน์เท่านั้น </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>ดังนั้น ภายใต้ขอบเขตอันจำกัด ย่อมมีข้อมูลอันไม่จำกัดอยู่ภายในได้ และมีการแบ่งส่วนอันไม่สิ้นสุดขึ้นภายในได้ด้วย แล้วถ้ารูปทรงนี้เป็นจริง สมการที่ได้มันจริง นั่นก็แปลว่าเมื่อเราสัมผัสขอบเขตของอะตอมของเรา หรือเซลของเรา แล้วแบ่งมันไปเรื่อยๆ ก็จะได้ข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดสิ้นสุด นั่นก็แสดงว่าเราได้กลศาสตร์และระบบคณิตศาสตร์ที่จะทำให้เราเข้าถึงธรรมชาติอันเป็นอนันต์ซึ่งก่อปรากฏตัวเราขึ้นมาแล้ว </b></div>
<div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>นาซิมบอกว่า นี่มันมีความหมายกับจิตวิญญาณและปรัชญามาก แต่มันมีความหมายอะไรกับฟิสิกส์ล่ะ? เขากล่าวติดตลกว่ามันน่าจะมีความหมายมากทีเดียว เพราะพวกนักฟิสิกส์จะได้เลิกหาอนุภาคพื้นฐานที่เล็กที่สุดซะทีนึง ก็เมื่อศตวรรษที่แล้วเราค้นพบเซล ว่ามันเล็กมาก เราก็ตื่นเต้น และคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เล็กที่สุดซึ่งจักรวาลสร้างขึ้นแล้ว แต่จากนั้นไม่นาน เราก็พบว่าในเซลมีอะตอมเป็นพันๆ ล้าน เราก็ตื่นเต้นกับอะตอมอีก และ sub อะตอมอีก เล็กลง เล็กลงเรื่อยๆ พวกนั้นจะได้รู้ว่ามันไม่มีจุดสิ้นสุด แล้วก็จะได้เลิกสร้างเครื่องเร่งอนุภาคที่ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น เพื่อที่จะให้เร่งความเร็วได้มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญมันแพงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย(จนเครื่องล่าสุดนี้น่าจะมีความยาวถึง 17 ไมล์ ใช้งบประมาณการสร้างเป็นหมื่นล้านเหรียญ เท่ากับงบการเงินของประเทศห้าประเทศรวมกันแล้ว) แล้วในที่สุดก็จะมีคนฉลาดกว่ามาพบว่ามันจะต้องมีสิ่งที่เล็กลงไปกว่านั้นอีก ..เล็ก จิ๋ว จนกระทั่งเราไม่มีปัญญาจะสร้างเครื่องมือตรวจจับขึ้นมาแล้ว นาซิมสรุปใน part 2 นี้ว่า แทนที่เราจะมองหาอนุภาคพื้นฐานที่เล็กที่สุด เรามามองหา “แบบแผนพื้นฐานของธรรมชาติ” กันไม่ดีกว่าหรือ? เพราะถ้าเราเข้าใจแบบแผน เราก็จะเข้าใจว่าจักรวาลสร้างสรรค์อย่างไร? เราจะได้กุญแจสำคัญของการแบ่งแยก space เพื่อสร้าง reality ของเราขึ้นมา เราจะได้กุญแจของการสร้างสรรค์ (อันเอนกอนันต์ไม่สิ้นสุด) นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่ “มีประโยชน์” </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>แล้วจากนั้น นาซิมก็เกิดคำถามขึ้นมาอีกว่า ถ้าจะบ่งชี้ไปที่บางสิ่งซึ่งเชื่อมโยงกับทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ เราจะนึกถึงอะไรล่ะ? เราได้ยินได้ฟังกันมามากว่า ทุกสิ่งทุกอย่างคือหนึ่งเดียวกัน เชื่อมโยงถึงกันหมด ..แต่มันยังไงล่ะ? ถ้าตอบไม่ได้ มันก็เป็นแค่แนวคิด เป็นแค่ด็อกม่า อีกแล้ว!!! ถ้าคุณตอบว่า consciousness (จิต) ก็เท่ากับคุณไม่ได้ตอบอะไร เพราะคนในห้องนี้ก็มีจิต ที่แตกต่างกันหมด คำตอบของนาซิมก็คือ..space ..พื้นที่ว่าง ความว่าง..</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>ความว่างซึ่งอยู่ระหว่างทุกสิ่งทุกอย่าง ระหว่างจักรวาล ระหว่างกาแลคซี่ ดวงดาว และในระดับอะตอม space -ความว่างก็ิมีอยู่ในอัตราส่วนโครงสร้างถึง 99.99999…% สิ่งที่คุณว่ามันแข็งตันในความเป็นจริงของคุณนั้นเกือบทั้งหมดมันคือความว่าง มันคือ space แล้วคุณรู้มั๊ยว่าคุณไม่เคยได้สัมผัสอะไรอย่างแท้จริงเลย อะตอมของโมเลกุล หากเทียบขนาด (เมื่อมันมาอยู่ชิดกันแล้ว) ก็ห่างอย่างน้อยประมาณสองสนามฟุตบอล นอกจากจะมีช่องว่างระหว่างมันแล้วก็ยังมีที่ว่างภายในอีกมากมายมหาศาลดังว่า ดังนั้น เราก็น่าจะมาใส่ใจกับสิ่งที่มีอยู่มากมายในเปอร์เซนต์สูง มากกว่าส่วนที่เป็นสสารอันน้อยนิด เราใช้เวลาใส่ใจกับสสารที่มีอยู่ .00000..1% กันมานานพอแล้ว </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>ก็แทนที่สสารจะอธิบายความว่าง บางทีความว่างอาจจะอธิบายสสารก็เป็นได้ นาซิมบอกว่าเขาเข้าใจว่าเรื่องนี้จะเปลี่ยนแปลงในระดับจิตอันเป็นฐานความคิดความเข้าใจกันเลยทีเดียว คุณจะเดินออกไปพร้อมกับรู้ว่าตัวเองนั้นประกอบไปด้วยความว่าง ความว่างอธิบายความเป็นตัวคุณ มากกว่าที่คุณจะอธิบายถึงความว่าง </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>part 3</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>นาซิมเล่าว่า เขาศึกษาฟิสิกส์ 15 ปี แบบแยกออกมาจากกระแสหลัก เพราะไม่ต้องการตอบคำถามใครถึงวิธีคิดของเขา และไม่ต้องการตอบว่าเขาอยากจะคิดอะไร? แน่นอนว่าเมื่ออยากได้อิสรภาพขนาดนั้นก็เลยใช้ชีวิตอยู่ในรถแวนเป็นเวลาห้าปี เพราะมันไม่เสียค่าเช่าบ้าน ไม่ต้องหาเงินมาก ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเรียนๆๆ แล้วก็คิดอย่างที่อยากจะคิด ทดสอบทดลองแบบที่อยากทำ ขณะที่คนชอบฟิสิกส์ส่วนใหญ่ในยุค 70-80 จะชอบเรื่องทฤษฎี แต่มันก็ไม่ใช่ง่ายเลยที่จะไปให้ถึงระดับนั้น..แล้วหลังจากนั้นห้าปี นาซิมก็มีสปอนเซอร์ (มาช่วยดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย ทำให้เขาออกจากรถแวนมาได้) แต่ก็มีข้อเสนอว่าเขาจะต้องไปเข้าร่วมประชุมทางฟิสิกส์ ซึ่งก็ไม่น่าจะใช่เรื่องที่เขาอยากทำ (แบบไปเสนอหน้า!!) แต่ก็ถูกพาไปจนได้ ..นาซิมเข้าไปประชุมร่วมพร้อมหนังสือใหญ่เล่มหนึ่ง “gravitation” ซึ่งเป็นเหมือนไบเบิล เขียนโดยยักษ์ใหญ่ของวงการฟิสิกส์ วีเลอร์ ทอน กับแมดเนอร์ (เล่มใหญ่มาก) นาซิมกล่าวติดตลกว่า พอยกหนังสือขึ้นก็จะเข้าใจเรื่องแรงดึงดูดได้เลย (เพราะมันหนักมาก) </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>ในการประชุมนาซิมตั้งคำถามแบบที่ถูกมองว่าเป็นคำถามก่อกวน เหตุที่ถือเป็นเรื่องก่อกวนก็เพราะการประชุมเป็นระดับก้าวหน้า (advance) แล้วไม่มีใครที่จะคำถามในเรื่องพื้นฐานกัน ทุกคนที่มานั้นดูเหมือนยอมรับโดยปราศจากข้อกังขาในรากฐานทางฟิสิกส์แล้ว คุยกันเรื่องสิบเอ็ดมิติ ทฤษฎีสติงค์ฯลฯ คำถาม</b><b>น่าจะดูซับซ้อน แต่เขากลับไปถามคำถามเบสิก อย่างจากหนังสือหน้า 719 ..เป็นที่เข้าใจว่าเรายอมรับสมการจักรวาลกำลังขยายตัว ซึ่งการอธิบายเรื่องนี้จะใช้ภาพคนเป่าลูกโป่ง -บนพื้นผิวของลูกโป่งมีเหรียญเพนนีติดอยู่ทั่ว เป็นสัญลักษณ์แทนกาแลคซี่ เมื่อลูกโป่งพองลมขึ้น เหรียญเพนนีก็จะห่างออกจากกัน ซึ่งก็คือกาแลคซี่จะมีระยะห่างจากกันมากขึ้นเมื่อเอกภพขยายตัว ..ทุกคนก็พยักหน้าว่าเข้าใจ ใช่แล้ว ยังไงล่ะ?.. นาซิมถามต่อทำนองว่า ผมไม่เข้าใจอ่ะ ผมพยายามศึกษามาก คิดกับมันมาก แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่า... “ไอ่คนที่กำลังเป่าลูกโป่งนี่มันใครอ่ะ” (เสียงหัวเราะดังยาว) หากนาซิมอมยิ้ม พลางกล่าวว่า ที่นั่นผมได้รับการตอนสนองที่ไม่เหมือนกับตรงนี้นะ ในการประชุมนั้นทั้งห้องเงียบกริบ (บางท่านก็ถึงกับสำลักกาแฟ) ผู้อำนวยการก็เริ่มเหงื่อแตก กลัวนาซิมจะเอ่ยคำว่า “God” ในที่ประชุมฟิสิกส์ พวกเขาคงกำลังภาวนาว่า ได้โปรดอย่าพูดนะ อย่าพูดอย่างนั้นกับนักเรียนของเรา!! นาซิมเลยบอกว่าเอาล่ะ ผมจะขอวาดภาพคนเป่าลูกโป่งนี้ต่อ คือวาดท่อต่อลงมาจากปากที่เป่าถึงปอด แล้วบอกว่า เมื่อลูกโป่งพอง ปอดก็จะต้องแฟ่บ ทุกอย่างจะต้องมีปฏิกริยาตรงกันข้ามที่เท่าเทียมกันอยู่ ซึ่งไม่ค่อยได้รับความสนใจในวงการฟิสิกส์ ฟิสิกส์วันนี้จึงเป็นวันของการขยายออก ระเบิดออก ผู้ชายกำลังระเบิดใส่จักรวาล (มีความหมายแฝงแน่ หน้าตาเธออมยิ้ม) แอดวานซ์เทคโนโลยี แอดวานซ์เอนจิเนีย คนที่เราเคารพนับถือกันในวงการส่วนใหญ่ก็เป็นพวกนักสร้างทางวัตถุ ยานอวกาศ แคปซูล สร้างเสร็จแล้วก็ไปตามหาอาสาสมัครมาใส่แคปซูล (นั่งภาวนาอยู่ข้างในขอให้รอดตายด้วยเถอะ) แล้วจุดไฟ (เขาทำท่าล้อเลียนยานอวกาศที่พุ่งขึ้นไปช้าๆ ได้ไม่กี่ไมล็ แล้วปล่อยทิ้งถังเชื้อเพลิง ปุ๊บ!! แล้วพุ่งออกไป) อย่างในรถยนต์เราสร้างสนาม พลังงานอัดๆ จุดระเบิด </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>แล้วการระเบิดออกของ creation การสร้างสรรค์เล่าเป็นอย่างไร? มันจะเป็นไปได้ยังไงถ้าไม่มีการเข้าๆ ออกๆ จากศูนย์กลาง อย่างเป็นพลวัต ต้องมีการอัดพลังงานเข้าไปในสนาม ถ้าจักรวาลระเบิดออกจากจุดๆ หนึ่ง มันก็ย่อมต้องมีกระบวนการอัด บรรจุ พลังงาน ซึ่งน่าจะเป็นแบบแผนเดียวกันกับที่ระเบิดออกมาเข้าไปในศูนย์กลางนั้นก่อน ทุกกริยาจะต้องมีกริยาตรงกันข้ามที่เท่าเทียม (เป็นปฏิกริยา) นั่นคือพื้นฐานฟิสิกส์ </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b></b><br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>นั่นอาจจะเป็น space ที่เก็บข้อมูลทุกอย่างเอาไว้ อาจจะเป็น space ที่เก็บรังสีเอาไว้ แล้วถ้ามันจริง มันก็คือ space เชื่อมโยงทุกอย่างตั้งแต่ใหญ่สุดกับเล็กสุดเอาไว้ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น space ก็ต้องมี infinite dance (การเต้นรำอันสืบเนื่อง สั่นไหว อย่างไม่สิ้นสุดหรือเป็นอนันต์) มันจริงรึเปล่าล่ะ? หลังจากนั้นนาซิมก็ศึกษาเพิ่มเติมอีก จนความคืบหน้าในวันนี้ก็ดีขึ้นกว่าวันนั้น การประชุมครั้งนั้นอันนาซิมบอกว่า บางอย่างเป็นดราม่าติกมากซะจนพรมเปียกไปหมด..</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>เมื่อเราศึกษาควอนตัม เราพบว่า ความว่างในอะตอมไม่ได้เป็นความว่างที่ว่างเปล่า แต่เต็มเป็นด้วยความสั่นไหว ที่รุนแรง เต็มไปด้วยพลังงานมหาศาล และเมื่อพยายามจะเข้าไปคำนวนหาว่ามันมีเท่าไหร่ ก็พบว่า..</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>…present-day quantum field theory “gets rid by a renormalization process” of an energy density in the vacuum that would formally be infinite if no removed by this renormalization.</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b></b><br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>นาซิมพูดปนเสียงหัวเราะกลั้วในลำคอว่า นั่นคือสิ่งที่พวกเขาพยายามจะทำกับผมในโรงเรียน “renormalization” (ทำให้กลับเป็นปกติ) .. แล้วก็อ่านซ้ำตรงคำว่า ..an energy density in the vacuum that would formally be infinite..</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>นั่นคือสมการโดยตัวของมันเองแสดงว่า ภายในพื้นที่ว่างของอะตอม โมเลกุลนั้นเต็มไปด้วย infinite dance มันแปลว่าที่ว่าง อวกาศ ไม่ได้ว่างเปล่าแต่มันมีการสั่นไหวอันไม่สิ้นสุด และเพราะว่ามันสั่นไหวตลอดเวลาทุกสิ่งทุกอย่างเลยเชื่อมโยงกัน แต่สำหรับเรามันกลับดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งนั่นก็แปลว่าเราล่องลอยอยู่ในนั้น (ไปกับกระแสของกาลอวกาศ) และแปลว่ามันมีพลังงานมหาศาลอยู่ นั่นคือสิ่งที่นาซิมเคยคาดเดาเอาไว้จากพื้นฐาน จากระดับเบสิก</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>ขณะที่ผู้คนบนโลกใบนี้มานั่งคิดว่าอาจจะมีพลังงานไม่พอใช้ เราจะทำยังไงกันดี ..เราก็ต้องมาทำงานกันใช่</b><b>?!?.. </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>เมื่อสมการมันออกมาเป็นอนันต์อย่างนั้น ทางฟิสิกส์ก็ไม่อาจจะยอมรับได้ ก็ถึงจะต้องมาทำ renormalize (คือทำให้กลับเป็นปกติ) เพื่อให้ได้จำนวนจำกัด ได้ขอบเขตที่แน่นอน</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b> ในทางควอนตัม ก็ได้ Planck Distance คือค่ารวมที่ต่ำที่สุด (เล็กจิ๋วที่สุด) ที่จักรวาลสามารถสร้างช่วงคลื่น ออกมาได้ 1.616 x 10 ยกกำลัง -33 cm โดยใช้ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าและทฤษฎีแรงดึงดูดมาคำนวน</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>เป็นช่วงคลื่นที่เล็กจิ๋วมากๆ เกือบจะเรียกได้ว่าเล็กที่สุด คือเติมศูนย์ข้างหน้าไปสามสิบสามตัว เล็กกว่าอะตอมเป็นพันล้านเท่าตามสมการ ถ้าถามว่านาซิมเชื่อรึเปล่าว่านี่คือเล็กที่สุดแล้ว เขาก็ไม่เชื่อ! แต่เขาเชื่อว่านี่เป็นขอบเขตพื้นฐานที่เราพบว่ามันเป็นฐานราก ซึ่งเชื่อมโยงโลกของเรากับจักรวาล จากสเกลของเราแล้ว นี่เป็นมาตรวัดที่เล็กที่สุดที่เราได้เจอ (หรือมีประสบการณ์ร่วม) แล้วก็คิดกันต่อว่า จะใส่ความสั่นไหวอันเล็กจิ๋วนี้เข้าไปในสี่เหลี่ยมลูกบากศ์เซ็นติเมตร นั่นคือเรากำลังจะหาจำนวนจำกัดของความหนาแน่น หรือมวลต่อหน่วยของที่ว่าง เราจึงบรรจุช่วงคลื่นที่เล็กจิ๋วนี้เข้าไปในลูกบากศ์เซ็นต์ เป็นกระบวนการ(renormalized vacuum density)แล้วก็ได้พบว่าในที่ว่างลูกบากศ์เซ็นติเมตรนี้มีพลังงานบรรจุอยู่ถึง 10 ยกกำลัง 93 กรัมต่อลูกบากศ์เซนติเมตร นั่นแปลว่ามีศูนย์ต่อท้ายเก้าสิบสามตัว (พลังงานมหาศาลมาก) ลองนึกถึงการฝากธนาคารด้วยความว่าง vacuum แบบนี้เมื่อเทียบกับการฝากเงินปกติซึ่งเพิ่มวงเงินฝากไปเรื่อยๆ ได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดูก็แล้วกัน </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>ลองนึกภาพว่าคุณมีศูนย์ต่อท้ายไปห้าสิบตัวแล้วคุณก็ยังใส่เข้าไปอีก มันมีการเต้นไหวของผลรวม อยู่ในความอัดแน่นมากขนาดนั้น แล้วถ้าเปรียบกับการบีบอัดจักรวาล ดวงดาว กาแลคซี่เป็นพันๆ ล้าน บีบอัดเข้าบรรจุไว้ในลูกบากศ์เซนติเมตรล่ะ? เราจะจินตนาการถึงแดนซ์ภายใน การสั่นไหวภายใจ พลังงานที่ถูกอัดไว้ภายในได้มั๊ย? จะมีความหนาแน่น 10 ยกกำลัง 55 ต่อลูกบากศ์เซ็นติเมตร ถ้าคำนวณความหนาแน่นจากการบีบัดจักรวาลนั้นแล้ว เรายังต้องเติมศูนย์เข้าไปอีก 39 ตัว เมื่อเทียบกับความหนาแน่นของความว่าง vacuum ที่คำนวนไว้ข้างบน!! (10 ยกกำลัง 93) และคุณคิดว่าเมื่อนักฟิสิกส์ค้นพบเรื่องนี้แล้วพวกเขาทำยังไง? คุณคงคิดว่าพวกเขาน่าจะตื่นเต้นและเริ่มใคร่ครวญอย่างจริงจัง แต่เปล่าเลย!! พวกเขามองไปที่ตัวเลขมหาศาลแล้วกุมขมับ.. โอ้มายก๊อด นี่หรือความว่าง บรรลัยล่ะ!! (vacuum catastrophe) ห๊า..เราทำไงกันดีวะเนี่ย โอเค ก็แค่เมินมันซะ (เสียงหัวเราะดังครืน) ซุกไว้ใต้พรมแล้วบอกว่าจำนวนมหาศาลนี้ no physical meaning ไม่มีความหมายที่สำคัญทางกายภาพ ห๊ะ!! นาซิมอุทาน.. นี่มันเป็นพลังงานมหาศาลที่สุดเท่าที่ได้พบเจอะเจอแต่คุณกลับบอกว่ามัน "ไม่มีความหมายสำคัญทางกายภาพ?!?" ทั้งที่มันน่าเป็นแหล่งกำเนิดของความหมายทั้งหมดทางกายภาพมากกว่า ถึงตอนนี้คุณอาจจะเริ่มคิดว่านักฟิสิกส์พวกนั้นเสียสติไปแล้ว แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วทำไมผมถึงคิดว่าสมการนี้มันไม่ใช่สมการบ้าบอก็เพราะ Casimir Effect (ทดลองโดยการตั้ง plates สองอันที่ให้ใกล้กันพอสมควร เมื่อบีบเข้าหากันก็ได้คลื่น ช่วงความถี่ยาวออกมาจากด้านหลังเพลททั้งสอง ที่เป็นความว่าง vacuum อยู่ ขณะที่ตรงกลางระหว่างสองเพลทจะมีคลื่นช่วงสั้นอยู่ นั่นแสดงว่ามันมีพลังงานอยู่ข้างนอก (หลัง plate) มากกว่าพลังงานที่อยู่ข้างใน (เมื่อเราบีบอัด) ศ.ดร.คาสิเมียร์ นำเสนอแนวคิดนี้ในปี 1947 ตอนที่พบนั้นเขาคำนวนว่าต้องมีการบีบอัดจากเพลทที่ระดับหน่วยไมครอน ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครทำได้ ไม่มีใครสร้างเพลทที่บางขนาดนั้นได้ และไม่มีทางทำให้เพลทบีบอัดเข้าหากันใกล้ขนาดนั้นได้ แต่วันนี้เราทำได้แล้ว เราก็พบว่ามันตรงกับผลการคำนวนของคาสิเมียร์ ซึ่งเป็น vacuum density ที่คำนวณไว้ตั้งแต่ปี 1947 มันอยู่ตรงนั้นแล้ว และตอนนี้วงการฟิสิกส์ก็ค่อยๆ ยอมรับความจริงที่ว่า จักรวาลไม่เพียงแต่ขยายออก หากมันขยายในอัตราเร่งด้วย มันแสดงว่า vacuum ความว่างที่ระดับจักรวาลนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้จักรวาลขยายออก (แต่ผู้ฟังก็อาจจะเคยได้ยินการนำเสนอเรื่องจักรวาลไม่ได้ขยายออกมาแล้ว) นาซิมบอกว่า เวลาเขาพูดว่าจักรวาลขยายออก มันหมายถึงการถอยห่างจากกันของกาแลคซี่ แล้วการถอยห่างนั้นทำให้นาซิมคิดว่าจักรวาลกำลังขยายออกหรือเปล่า..เขาตอบว่าไม่! เขาไม่ได้คิดว่ามันขยายออก ที่เขาคิดก็คือมันอาจจะเคลื่อนออกจากศูนย์กลางที่ระดับศูนย์สูตร แล้วเคลื่อนกลับไปยังศูนย์กลาง ณ ขั้วเหนือ-ใต้ (คล้ายกับการเคลื่อนของขั้วโลกเหนือใต้ อันเรายังไม่รู้) หากเราลองมาดูพลวัตที่สร้างภาพ หรือมุมมองนั้นขึ้นมากันดีกว่า เรามาดูพลวัตของธรรมชาติ ซึ่งมีความซับซ้อนขึ้นมาหน่อย ด้วยมันไม่ได้เป็นเพียงแค่วงกลม แล้วถ้าที่พูดมานี้มันจริง ก็แปลว่าเราอยู่ใน vacuum ซึ่งมี space ระหว่างคุณกับผม เชื่อมโยงเราไว้ด้วยกัน นั่นเป็น information ที่อยู่ใน space ซึ่งถูกแบ่งเป็นระดับเฉพาะต่างๆ ตามสเกล และสเกลนั้นสร้างความเป็นจริงทั้งหมดของเราขึ้นมา เราเป็นส่วนหนึ่งในสเกล ..แทนที่สสารจะผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า ยังไง? จากไหนก็ไม่รู้? กลายเป็นว่า สสารเป็นเพียงแค่ผลของการแบ่งโครงสร้างของ space โดยตัวของมันเอง และคุณ interact ปฎิสัมพันธ์กับโครงสร้างนั้นตลอดเวลา ทุกวินาที ทุกเสี้ยวของพันล้านวินาที คุณรู้มั๊ยว่าอิเลคตรอน และโปรสิตอน ทั้งหมดในอะตอมของคุณมันปรากฏแล้วก็หายไป แล้วก็ปรากฏขึ้นมาใหม่แล้วก็หายไปอีก ปรากฏ-หายไป ปรากฏ-หายไป ใน vacuum อยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่อิเลคตรอนปรากฏขึ้น มันเรียนรู้ (มีประสบการณ์) แล้วส่งกับไปใน vacuum แล้วปรากฏเพื่อเรียนอีก กลับเข้าไปอีก เข้าๆ ออกๆ อย่างนั้น ..คุณ informing (ส่งข้อมูลให้) จักรวาลตลอดเวลาจากมุมมองเฉพาะของคุณ ที่มีต่อทุกสิ่งทุกอย่าง และผมสามารถอธิบายมันเป็นสมการทางคณิตศาสตร์ได้ นั่นทำให้คนในสายจิตวิญญาณบอกว่า “คุณสร้างความเป็นจริงของคุณขึ้นมาเอง” แต่ส่วนที่ขาดไปคือส่วนของวงจรสะท้อนกลับ (feedback loops) นั่นก็คือ ความเป็นจริงก็สร้างคุณขึ้นมาด้วย vacuum is defining your existence ..ความว่างคือความหมายของการปรากฏขึ้นของคุณ นั่นเพราะว่า หากเราต่างก็สร้างความเป็นจริงของตัวเองขึ้นมา อย่างอิสระจากกัน เราจะไม่มีทางประสบพบเจอกัน มันคงเป็นอะไรที่ห่วยแตกมาก เราต่างก็เดียวดายอยู่ใน</b><b>จักรวาลที่เราสร้างขึ้น คนมันหายไปไหนกันหมดวะ!! (เสียงฮาครืน) มันคงน่าเบื่อมาก ที่เราสร้างทุกอย่างที่เราต้องการขึ้นมาได้ ตลอดเวลา น่าเบื่อสุดๆ แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น นั่นเพราะเมื่อคุณส่งข้อมูลกับเข้าสู่ vacuum / vacuum เชื่อมโยงเราถึงกัน มันมีข้อมูลของทุกคนอยู่ในนั้น แล้วมันก็ส่งกลับให้คุณเป็นประสบการณ์ซึ่ง coordination กับทุกสิ่งทุกอย่าง และนั่นก็คือ consensual reality (ความเป็นจริงอันปฏิสัมพันธ์) นั่นคือคนหนึ่งใดก็สามารถจะเป็นทั้งหมดของสเกลได้ แต่นั่นมันไม่ได้แปลว่าเมื่อใครคนใดคนหนึ่งบอกว่า โอ้วันนี้ร้อนจัง ทำให้ดวงอาทิตย์เย็นลงหน่อยดีกว่า และทำให้คนที่น่าสงสารในอลาสก้าหนาวสั่นจะตาย นั่นคือสเกลของความสัมพันธ์ อย่างแนวคิดเรื่อง butterfly effect เป็นอุปมัยอุปมา ผีเสื้อในอัฟริกาขยับปีก แล้วทำให้เกิดเฮอร์ริเคนในฟอริด้า มันพบในสเกลอันซับซ้อนของทฤษฎีเคออส แนวความคิดนั้นจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อคุณใส่เข้าไปในสเกล ความเป็นไปได้ที่ผีเสื้อตัวหนึ่งขยับปีกแล้วจะก่อพายุเฮอร์ริเคนนั้นมันต่ำสุดๆ หรือแทบไม่ปรากฏได้เลย ทำไม?!! เพราะว่ามันห่วยแตก!! เหมือนส่งคนจากฟอริด้าไปเอาปืนจี้ผีเสื้อตัวนั้น แต่ถ้าคุณมีผีเสื้อเป็นล้าน แล้วทุกตัวขยับปีกของมันพร้อมๆ กัน ทีนี้แหละเกิดบางอย่างขึ้นแน่ นั่นคือถ้าเราอยากเคลื่อนไปข้างหน้า เราก็ต้องใส่แรงเข้าไปในระบบ มันถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลง นั่นคือเหตุผลที่ทำไมผมต้องมาพูดคุยกับผู้คน!! เราต้องเคลื่อนไปด้วยกันเพราะมันเป็นความเป็นจริงอันปฏิสัมพันธ์ แล้วมันก็สำคัญมาก ที่คนเราจะต้องเข้าใจว่า ก่อนอื่นคุณต้อง “รับผิดชอบ” กับสิ่งที่คุณใส่เข้าไปใน vacuum แล้วคุณก็ต้องรู้ว่ามันจะไม่เป็นไปตามที่คุณต้องหรอกแป๊ะๆ ทั้งหมดหรอก เพราะว่าคุณส่งข้อมูลเข้าไปในสนามความสัมพันธ์อันหลากหลาย แล้วคุณก็มีปฏิสัมพันธ์กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไปในนั้นด้วย ฉะนั้น ขอให้มีความเมตตากรุณากับตัวเองเยอะๆ </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b></b><br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>และสเกลนี้ ..(ถ้ามันจริง) ผมคุยเรื่องนี้กับดร.เลาเชอร์ นักฟิสิกส์คนเดียวที่ทำงานกับผม เพราะเธอไม่มีอะไรจะเสีย (เธอลาออกจากทุกตำแหน่งแล้ว) เธอบอกว่า..ฉันคิดว่าคุณบ้า แต่ถ้าคุณถูก เราก็ควรจะเขียนสเกลนี้ออกมา เพราะดูเหมือนว่า vacuum จะแบ่งสเกลเป็นลักษณะเฉพาะของมัน (แสดงภาพสเกลที่แกนนอนแสดงระดับสสาร แกนตั้งเป็นระดับพลังงาน) แล้วก็วางสัญญลักษณ์แทนสสารในจักรวาล จากใหญ่สุดไปถึงเล็กสุด โดยเริ่มจากขนาดของจักรวาล (คือ 10 ยกกำลัง 55) แล้วจักรวาลก็เกิดมีหลุมดำด้วย หลุมดำซึ่งมีสสารหนาแน่นมากซะจนแสงผ่านออกมาไม่ได้ เรารู้จากไอน์สไตน์ว่าแสงโค้งเพราะสนามกราวิตี้ อย่างดวงดาวที่อยู่ข้างๆ ดวงอาทิตย์ แล้วที่เราเห็นว่ามันอยู่ข้างๆ ดวงอาทิตย์ก็เพราะลำแสงโค้ง ถ้าคุณส่งแสงเลเซอร์ตรงขึ้นไปบนฟ้า ลำแสงจะถูกทำให้โค้งโดยแสงจากดวงอาทิตย์เล็กน้อย และดาวดวงอื่นๆ ๆๆ อีกเล็กน้อยๆ จนมันโค้งอีก แสงตรงทะลุตรงออกไปไม่ได้.. “เราอยู่ในหลุมดำ” ?!?..ทำไมมันเป็นอย่างนั้น ก็เพราะการแบ่งมันเป็นอนันต์ และแบ่งไปเท่าไหร่ๆ ก็จะพบสสารในทุกๆ ช่วงการแบ่ง สสารที่เล็กลงเรื่อยๆ ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงเป็นซิงกูราลิตี้น้อยๆ ของ infinite dance แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องเป็นหลุมดำน้อยๆ ด้วย ทุกๆ อะตอมที่สร้างคุณขึ้นมา ผมคำนวนขึ้นมาแล้วก็มีความสุขมากที่พบว่าทุกอย่างมันสอดคล้องต้องกันหมด สสารในจักรวาลกับความหนาแน่นของหลุมดำ แล้วผมก็มาดูที่ เควซ่าของกาแลคติกเซ็นเตอร์ ตามสเกลของพลังงานและการแผ่รังสี ก็ปรากฏว่าเส้นกราฟมันพุ่งขึ้น บวกวัตถุเข้าไปมันก็ยังเรียงตัวกันอยู่ แล้วก็ใส่อะตอมเข้าไปอีก (กระโดดก้าวใหญ่จากดวงอาทิตย์ไปสู่อะตอม) และปลายเส้นกราฟก็เป็น Plank Distance ทุกอย่างเรียงตัวกันอยู่บนเส้นกราฟนี้หมด </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>ทุกอย่างเรียงตัวกันอย่างสวยงาม แล้วเมื่อมาดูชั้นของชีววิทยา ก็พบว่าไมโครทุบุล ซึ่งโครงสร้างเล็กจิ๋วของมัน สร้างขอบเขตของเซลขึ้นมา isolate ที่ 10-11ถึง 10-14 เฮิซท์ และเมื่อรวมขนาดเข้าไปมันจะแบ่งเป็นสองส่วนที่มาเรียงตัวพอดี (ระหว่างจุดบรรจบของแกนตั้งกับแกนนอน) จากขนาดของจักรวาลจนถึงขนาดซึ่งเล็กกว่าจักรวาลเป็นพันล้านเท่าอย่างอะตอม ทุกสิ่งทุกอย่างเรียงตัวกันอย่างสวยงาม รวมถึงระดับชีววิทยาด้วย ซึ่งก็คือตัวคุณ คุณอยู่ในระบบกลไกนี้ด้วย คุณคือส่วนหนึ่งข้อมูลอันอเนกอนันต์ของ vacuum ซึ่งไหลจากระดับจักรวาล (อันเป็นอนันต์) สู่ระดับอะตอม (อันเป็นอนันต์) ผ่านตัวคุณ </b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>แล้วเมื่อมันผ่านคุณ มันจะเก็บเอาการแปลความหมายของจักรวาล จากมุมมองเฉพาะเจาะจงของคุณ แล้วส่งเข้าสู่ความเป็นอนันต์ของสรรพสิ่ง นั่นคือจักรวาลในความหมายของคุณได้ถูกนับรวมเข้าไปด้วย</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b></b><br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>คุณเริ่มจะได้สัมผัสถึงความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ของตัวเองรึยัง!!</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b></b><br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>เราเริ่มจะรู้แล้วว่ามันมีความเชื่อมโยงในทุกระดับของสเกล ..แต่ทำยังไงเราถึงจะรู้สึกได้ ทำยังไงถึงจะสัมผัสความเชื่อมโยงนั้นได้ล่ะ?</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>มันไม่น่าจะใช่ความพยายามไปเชื่อมต่อกับความยิ่งใหญ่อันเป็นอเนกอนันต์ของจักรวาล ซึ่งคนทั่วไปมักจะบอกว่าไม่สามารถสร้างภาพได้ มันยิ่งใหญ่เกินจินตนาการไป นั่นอาจเป็นเพราะเรามีสัมผัสอันจำกัด แต่อย่าลืมว่าเรามีความเล็กจิ๋วอันเป็นอนันต์อยู่ในตัวด้วย แล้วถ้าผ่านหนทางนั้น ก็ย่อมจะสามารถสัมผัสกับความเป็นอนันต์ได้ นั่นคงเป็นเหตุให้ครูทางจิตวิญญาณของโลกใบนี้ส่วนใหญ่แนะนำว่าให้เข้าสู่ภายใน ด้านใน อาณาจักรแห่งสรวงสวรรค์อยู่ด้านใน พุทธะอยู่ภายใน บินดุอยู่ภายในทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นจะทำให้คุณเชื่อมต่อกับข้อมูลความรู้ทั้งหมด ทั้งมวล (ซึ่งนาซิมคิดว่ามันไม่น่าจะมีรูปแบบภายนอกอย่างเฉพาะเจาะจง) ไม่ว่าจะนั่ง ยืน เดิน ..เราทุกคนต่างมีคุณสมบัติที่จะเข้าถึงความเป็นอนันต์จากสิ่งเล็กๆ ในตัวเราได้</b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b></b><br /></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<b>แล้วนาซิมก็เล่าว่าตอนที่เขาเขียนสมการนี้มันมีประเด็นน่าสนใจ หนึ่งในนั้นก็คือ เมื่อทุกอย่างมันเป็นสเกลต่างระดับของหลุมดำ (black hole) ซึ่งถ้าเขาไปพูดแบบนั้นกับนักฟิสิกส์ คงต้องถูกเตะโด่งออกจากการประชุมทางฟิสิกส์แน่!! ก็มันมีอะตอมอยู่ตรงนั้น (บนสเกล) แล้วเขาก็บอกว่า มันคือหลุมดำ.. อะตอมคือหลุมดำจริงๆ รึเปล่า? นั่นอยู่งานเขียนของเขา.. </b><b>งานเขียนนั้นเป็นการสลับขั้วความคิดเกี่ยวกับโปรตอน ชนิดระเบิดเถิดเทิง </b><br />
<b><br /></b>
<b><br /></b></div>
<div style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 20px;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.youtube.com/embed/mFTMiVs4VhY?feature=player_embedded' frameborder='0'></iframe></div>
<b> </b></div>
</div>
</div>
เมธาวี เลิศรัตนาhttp://www.blogger.com/profile/08911828304642179150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4480254480839686156.post-40621534395744708752014-03-20T18:52:00.003-07:002014-03-20T18:52:31.843-07:00แสงแห่งชีวิต Biophotons 2<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23791619:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23791619:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0.$end:0:$0:0">คุณพบมัน (มะเร็ง) ได้ ถ้ามันอยู่ตรงนั้น แม้มันจะยังไม่เป็นกายภาพ แต่จะสัมผัสได้ว่ามันมีความบกพร่องไม่เป็นปกติอยู่ ถ้าระบบหนึ่งมันผิด ระบบอื่นๆ ก็จะตามไป แล้วกลายเป็นหลุดออกจากสมดุล อย่างคนจะวินิจฉัยไทรอยด์ต่ำ ไทรอยด์สูง ฟังก์ชั่นไม่สมดุล ไม่เคยอยู่ในสภ</span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23791619:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23791619:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23791619:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0.$end:0:$0:0">าวะไม่ต่ำ ไม่สูง แต่ก็ไม่ผิดปกติอะไร ไทรอยด์อาจได้รับอิทธิพลจาก ต่อมไพเนียล, ปรสิต, หรือพิษต่างๆ อะไรก็ตาม อย่างไทรอยด์ต่ำ เรียก Thyroxine แต่เก้าในสิบแล้วไทรอยด์มันไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเลย มันมีเพียงสิ่งที่อยู่เบื้องหลังไทรอยด์ ผมจะเป็นคนที่มองหาแต่สาเหตุที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ดูอาการ อาการเป็น sign ชี้ทางให้เราว่าจะมองไปทางไหน แต่อย่าไปยืนอยู่บนอาการตลอดเวลา แสงมากกว่า 100,000 ถูกกักและแผ่ออกมาจากทุกเซล และอีกมากกว่า 100,000 ปฏิกริยาทางเคมี ในทุกๆ วินาที จากทุกๆ เซล แล้วก็รู้กันมานานแล้วว่าก่อนจะเกิดปฏิกริยาทางเคมีมันจะต้องมีสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า แต่พวกเค้าไม่เคยรู้ว่ามันจากไหน? รู้แต่ว่าเป็นแสงที่มาควบคุมปฏิกริยาทางเคมี ไบโอโฟตอนเป็นเพกเกจข้อมูลที่บรรจุข้อมูลของร่างกายคุณทั้งหมดเอาไว้ จากมิติทั้งหมด 15 มิติ และทั้ง 100% ของดีเอ็นเอ ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในไบโอโฟตอน พวกไบโอโฟตอนจะแผ่รังสี หรือเปล่งปล่อยพลังงานจากตัวของมันเอง ซึ่งการจะค้นพบการเปล่งแสงแผ่รังสีจากทุกเซลได้จะต้องมีเทคนิคในการขยาย amplifier ที่ขยายได้อย่างเต็มกำลังแรงมาก แผ่ขยายได้ไกลในระยะห่างถึง 17 ไมล์ แล้วก็จับพลังแสง light (life) force ได้จากทุกๆ เซล ซึ่งในเซลมันก็มีดีเอ็นเอ เขาจึงเชื่อมั่นว่า ดีเอ็นเอจะต้องเป็นแหล่งกำเนิดเแสง</span></span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23791620:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23791620:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0.$end:0:$0:0">ณะเดียวกันผมก็มีข้อสรุปที่ต่างออกไป คือผมว่า clear light แสงใสกระจ่างมัน coherence มากๆ เหมือนแสงเลเซอร์ แล้วมันโชว์ในระบบของเราอย่างเป็นเส้นตรง ถ้ามันจะบิดไปในแบบใดก็ตามแสงที่ coherence อยู่มันจะต้องเกิด chaotic (ความไร้ระเบียบ) เหมือ</span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23791620:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23791620:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23791620:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0.$end:0:$0:0">นหลอดไฟ ที่มี slow chaotic light ซึ่งมันแปลว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นกับแสงถ้าไปตรวจจับ อันมันจะเป็นกายภาพรึเปล่าไม่สำคัญ มันมีการบิดเบี้ยวขึ้นแล้ว และการบิดนี้จะต้องหายไป นี่เป็น Siren และนั่นเป็นระบบแสงดาว ระบบแสงไซเรน (Siren) จะพัฒนาอย่างสม่ำเสมอมากกว่า มันติดต่อสื่อสารกับร่างกายคุณ ไม่ใช่กับคุณ คุณไม่มีอิทธิพลกับสิ่งที่ร่างกายคุณกำลังจะพูด จะบอก คนส่วนใหญ่จะเซอร์ไพรส์ เพราะทุกอย่างที่ร่างกายแสดงออกมันบอกว่า คุณอาจไม่มีความรู้เลยว่าปัญหาหลักของคุณ ไม่ได้เป็นเหตุก่อเกิดของอาการที่กำลังเป็นอยู่โดยตัวของมันเอง แต่มันเป็นเหตุให้ระบบอื่นหลุดออกจากระเบียบ แล้วเหตุอื่นนั้นก็ไปเป็นเหตุให้เกิดปัญหาหลักของคุณ อย่างเช่นถ้าคุณเกิดการติดเชื้อ (Cro decease) เหตุผลหลักของมันจะเป็น appendicitis (ไส้ติ่ง) เสมอ แล้ว 70% ของคนบนโลกนี้ก็เดินไปมาพร้อมกันกับ clonic appendix (บีบหดตัวของไส้ติ่ง) แล้วก็เพราะว่ามันหดตัว หมอก็เลยไม่เห็นอะไรในเลือด แล้วบ่อยครั้งที่เนื้อเยื่อไส้ติ่งมันตายไปแล้ว แล้วถ้าชิ้นส่วนชีวิตเล็กๆ (เชื้อ) ที่ถูกทิ้งไว้ในไส้ติ่งถูกพบ มันก็จะรักษาได้ เมื่อเชื้อมันตายหมดแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องไปตัดไส้ติ่ง แต่หมอทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะไม่เห็นอะไรในเลือด ..คุณต้องแก้ที่เหตุของปัญหา ถ้าคุณไม่แก้เหตุหลัก คุณก็ไม่ได้แก้ไขอะไร ซึ่งแน่นอนว่าวงการแพทย์ไม่ได้มีตาไว้สำหรับแก้ที่สาเหตุ ผมเซอร์ไพรสที่ได้เห็นการถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ของที่นี่ ทุกสิ่งที่ใส่เข้ามาเป็นเรื่องการแพทย์ตลอดเวลา ..แล้วเหตุของปัญหาก็อยู่ในโลกแห่งพลัง Energetic World ซึ่งยังไม่สามารถเป็นโลกกายภาพ Physical World แม้กระทั่งหากคุณได้รับพิษจากสารตะกั่ว ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นกายภาพมาก แต่คุณจะได้รับพิษจากตะกั่วจริงๆ ก็ต่อเมื่อเลือดของคุณ resonated กับสารตะกั่ว</span></span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23822630:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23822630:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0.$end:0:$0:0">นั่นคือเราทุกคนสร้างเหตุการณ์ สร้างปัญหาของตัวเองขึ้นมา ยังไงก็ตามแต่มันอาจจะเป็นแหล่งกำเนิด entire source ต้นเหตุแห่งปัญหาก็คือคุณ และดังนั้นคุณจึงมีปัญหาอื่นๆ ตามมาด้วย แต่คุณต้องกลับไปยังต้นกำเนิดของมันเพราะมันคือความทรงจำทั้งหมด และทุกๆ เหตุการณ์ที</span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23822630:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23822630:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23822630:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0.$end:0:$0:0">่อุบัติขึ้นในชีวิตของคุณ ครอบครัวคุณ ทั้งหมดถูกเก็บไว้ใน life wave (คลื่นชีวิต) หรือในไบโอโฟตอน บางเหตุการณ์อาจเกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว หากเซลของคุณยังเก็บความทรงจำเอาไว้อยู่ มันเก็บอยู่ในเพจเกจข้อมูลไบโอโฟตอนซึ่งเป็นการเก็บสะสมชั่วขณะ depth moment ซึ่งเคยแผ่ขยายออกมา และอาจจะห่างออกไปถึงยี่สิบปีแสง แต่ความทรงจำเหล่านั้นคุณก็สามารถเรียกมันกลับมาได้ ทันทีไม่ว่ามันจะอยู่ไกลสักแค่ไหน เพราะเวลาไม่ปรากฏอยู่จริง dose not exist ใช่เราเคลื่อนไปในเวลา มีอดีตมีอนาคต แต่ทั้งหมดมันเป็นหนึ่งเดียวกันในขณะนี้ now! เวลาคือ static “สถิต” spiral “พลวัต” อย่างเราอยู่ตรงนี้ (บนสไปรัล) และในอนาคตก็มาอยู่ตรงนี้ (บนสไปรัลอีกชั้นหนึ่ง) แล้วก็มีอดีตอยู่ชั้นล่างนั่น แต่สไปรัลมัน stand เป็น standing wave อยู่เสมอ ดังนั้นถ้าคุณออกไปจากร่าง ร่างกายคุณก็ไม่ได้แตกหักเสียหายอะไร มันทำไม่ได้ ร่างกายถูกกระทบอย่างแรง ล้มนอนอยู่ แล้วร่างกายก็ผลิตเอ็นดรอฟิน endorphins หรือมอร์ฟีน ซึ่งมันจะผลิตต่อเมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะถูกกระทบอย่างแรง (slash) อย่างใน ME myalgic encephalomyelitis, chronic fatigue syndrome จะมีเอ็นดรอฟินส์มากมาย คุณมองอะไรไม่เห็น ทำอะไรไม่ได้ต้องลดเอ็นดรอฟินส์ลงก่อน ร่างกายถึงจะกลับมา แต่ในช่วงผลิตเอ็นดรอฟินส์คุณไม่เห็นอะไร หรือคนเป็นเอดส์ คุณก็ไม่เห็นอะไรด้วย มันมีเอ็นดรอฟินส์เต็มไปหมด ดังนั้นเขาจึงบอกกันว่าเอดส์สามารถจะ Decades before Manifest ขึ้นอยู่กับว่าร่างกายเตรียมสำหรับการสกัดกั้นได้นานแค่ไหน อาจผ่านไปหลายปีถึงมีอาการ ซึ่งก็คือร่างกายหยุดสกัดกั้นแล้ว ร่างกายปล่อยให้ทุกอย่างออกมา แล้วถ้าตอนนั้นคุณบำบัด การรักษาจะเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก เพราะคุณกับร่างกายคุณทำงานร่วมกัน มันมีหมายเสมอนั่นแหละในการที่จะให้ร่างกายร่วมมือด้วย แต่เก้าในสิบมันไม่เกิดขึ้น มันจะเป็นการที่คุณอยากรักษาให้หาย คุณกินยา แต่สำหรับร่างกายแล้ว ร่างกายคิดว่าสำหรับฉันมันไม่มีอะไรผิดปกติ ฉันไม่ได้อยากร่วมมือกับคุณ คุณจะต้องทำให้เค้าร่วมมือให้ได้ เพราะคุณไม่ได้เป็นร่างกายของคุณ คุณแค่อาศัยอยู่ในร่างกาย มันต่างกัน แต่ถ้ามีอาการผิดปกติ อย่างเกิดความเจ็บป่วย โรคภัยขึ้นในร่างกายคุณเมื่อไหร่ก็ตาม นั่นแปลว่าร่างกายของคุณกับวิญญาณ soul ไม่ได้เชื่อมโยงกัน แล้วสิ่งที่ต้องการการเยียวยาก็คือวิญญาณ ซึ่งก็รู้กันอยู่ เราทุกคนสามารถรักษาตัวของเขาหรือเธอเองได้ แต่มันไม่ใช่แค่ตัวเขาหรือวิญญาณเธอ ที่จะทำอย่างนั้น แต่จะทำได้ผลจริงก็ต่อเมื่อ วิญญาณมีสติปัญญา? capable to do!! ดังนั้นเราจึงต้องมองไปที่ทุกสิ่งทุกอย่างตลอดเวลา ต้องมองที่เงื่อนไขสิ่งแวดล้อม สถานที่ทำงาน Idiopathic? ช่วงวัยของชีวิต สารเคมีในอากาศ ฯลฯ</span></span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23822633:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23822633:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0.$end:0:$0:0">ต้องมองทุกอย่าง และมันก็ไม่มีอะไรเป็นความจริงเดี่ยวๆ ด้วย (ประมาณเป็นเหตุเพียงประการเดียว) ความจริงหลายด้าน (44?) อย่างไรก็ตามข้อมูลมันมีเยอะ ผมก็เลยเอาลูกบาศก์มาเป็นสัญญลักษณ์ของความเป็นจริง ก็ถ้าด้านนี้มันสี คนที่ยืนตรงนี้ก็จะบอกว่าลู</span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23822633:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23822633:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23822633:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0.$end:0:$0:0">กบาศก์นี้สีเหลือง คนยืนตรงโน้นก็จะบอก ไม่ใช่อ่ะ นี่มันสีน้ำเงิน นี่ก็แดง นั่นก็เขียว แต่ถ้าคนที่ยืนนี่ขยับจุดยืนไปนิดนึง ก็จะได้เห็นความเป็นจริงมากขึ้น เขาก็จะเห็นสองด้าน และด้วยการเคลื่อนที่ คุณได้ขยาย (ข้าม?) ขอบเขตจิตสำนึกของคุณ ไม่ว่าคุณจะขยับไปด้านไหน แล้วทั้งหมดมันจะนำพาไปสู่ด้านบน ซึ่งข้างบนมันเป็นสีขาว แต่สิ่งหนึ่งที่คุณไม่มีทางเห็นเลยก็คือด้านที่อยู่ข้างล่าง (ถูกปิดทับไว้) มันดำมืด และเป็นที่ซึ่งข้อมูลทั้งหมดออกมา ถ้าคุณนำสัญญลักษณ์ลูกบากศ์นี้เข้ามาในโลกกายภาพ ซึ่งมันมีรอยแตกอยู่ มันจะเป็น foundation เสมอ (ฐานราก) ซึ่งมันก็คือ force คือพลัง ถ้าคุณมีรอยแตกแยกที่ฐานราก คุณจะมีรอยแยกที่โครงสร้างทางกายภาพ และ physical foundation ที่พูดถึงนี้มัน invisible (ไม่สามารถมองเห็นได้) แต่ไม่ใช่ unmeasurable ดังนั้นคุณก็ต้อง shift you position ยกเคลื่อนตำแหน่งที่คุณอยู่ เพื่อจะข้ามขอบจิตวิญญาณของคุณ ถ้าคุณไปที่สูง จิตวิญญาณคุณก็สูงขึ้น แต่หากจะเข้าหารากฐานแล้วล่ะก็ คุณจะต้องลงลึก แล้วถ้าคุณลึกถึงแกน...</span></span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23832124:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23832124:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0.$end:0:$0:0">ดังนั้น เคล็ดลับก็คือการสืบค้นเรื่องแสงอยู่นั่นเอง เกิดอะไรผิดพลาดขึ้นกับแสง บางทีคนเรามีปัญหากับเพื่อนบ้านแล้วทำให้ป่วย เรื่องนั้นเรื่องนี้ อาจจะโยงไปถึงแม่ของคุณหรือเพื่อนบ้าน หรือใครต่อใคร คุณจะสามารถเกี่ยวโยงถึงได้ เพราะว่าคุณได้สร้างการเ</span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23832124:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23832124:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23832124:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0.$end:0:$0:0">ชื่อมต่อเอาไว้ ถ้าร่างกาย (กายภาพ) ได้สร้าง connection แล้ว ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับสิ่งที่คุณเชื่อมต่ออยู่ก็จะกระทบถึงคุณทันที อย่างเช่น เราอยู่ด้วยกันในห้องนี้ แล้วมีคนตอกตะปูอยู่ตรงข้างฝา (นอกห้อง) มันจะไม่ทำให้ผมได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อไหร่ก็ตามผมไปเชื่อมต่อกับฝาผนังด้านนั้น (เอามือไปทาบ) make a connection ตะปูที่ตอกก็อาจจะทะลุเข้ามาถึงฝ่ามือผมได้ วิธีที่ปลอดภัยคือดึงมือคุณกลับออกมาซะ ตัดการเชื่อมต่อนั่น cut the connection แล้วการเชื่อมต่อนี้ก็มีหลายระดับ ที่พูดมานี่เป็นประเภทของการเชื่อมต่อที่คุณไม่ต้องการ แต่อย่างไรก็ตามบางครั้งเราถูกโปรแกรมให้ตัดการเชื่อมต่อ disconnect มีเรื่องเล่าพื้นบ้าน ความเชื่อมากมาย ว่าเราถูกโปรแกรมให้ทำตาม แล้วเรื่องเหล่านี้ก็ทำให้เราป่วย โดยการถูกกระทำ (อย่างการสาปแช่ง โดนของ?) เรื่องพวกนี้ถูกเก็บอยู่ในชีวิตคุณ เหมือนระเบิดที่ซุกซ่อนอยู่รอวันส่งผลกระทบต่อคุณ ดังนั้น ตัดมันไปซะ มันจะได้ไม่ส่งผลต่อคุณ คุณจะได้เปล่งแสง สว่างกระจ่างขึ้น เพราะวิญญาณของคุณถูกกระทำโดยสิ่งเหล่านี้ ทีนี้เมื่อระบบของคุณฟังก์ชั่นเหมาะสมแล้ว ร่างกายของคุณก็จะเห็นโดยอัตโนมัติว่าปัญหาอยู่ตรงไหน มันเป็นระบบแยกแยะ วินิจฉัย แต่เราทั้งหลายก็ถูกครอบงำโดยรัฐบาล ว่าเราไม่สามารถจะวินิจฉัยด้วยตัวเองได้ เราก็เลยไม่ทำ แต่ต้องทำ!! ร่างกายของคุณจะต้องบอกคุณว่าอะไรถูก อะไรผิด ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าแยกแยะไม่ได้ก็กลายเป็นก่อการร้าย แล้วเราก็ก่อการร้ายไปทุกเรื่อง ในเรื่องที่เรารู้ว่ามันไม่ดีกับเรา บางทีร่างกายก็หลงลืมไป บางทีก็ไม่ยอมสร้างทดแทนใหม่อีกแล้ว (regenerate</span></span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23832134:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23832134:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0.$end:0:$0:0">เซลทุกเซลไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากแสง ไม่ได้เป็นอะไรอื่นนอกจากดวงดาว มันเป็นดวงดาวจริงๆ กระบวนการในเซลทั้งหมดเกี่ยวโยงกับแสง บ่งชัดว่าเป็นดวงดาว แล้วเราทั้งหลายก็รู้ว่าดวงดาวนั้น regenerate ทุกอย่าง แต่ร่างกายเราไม่ได้ทำอย่างนั้น เซลก็ไม่ทำ </span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23832134:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23832134:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23832134:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0.$end:0:$0:0">พวกมันหยุดไปเฉยๆ บางทีผมก็คิดนะว่า เราต้องตายเพียงเพราะว่าเราอยากตาย (expect to die) นั่นก็เป็นรูปแบบของพลังอีกแล้ว เพราะตั้งแต่เราเชื่อมต่อโยงใยผ่องถ่ายพลังกันไปหมดทั้งจักรวาล แล้วเราก็ต้องรู้จักพอ ต้องหยุดที่จะ input เพราะพลังงานมันมากเกินไปแล้ว และเพื่อจะทำการ regenerate หรือสร้างขึ้นมาใหม่ด้วย ต้นฉบับบอกไบโอโฟตอนแผ่รังสีโดยดีเอ็นเอ แต่ในครอสการเรียนในมหาวิทยาลัย มันมีคำถามว่าไบโอโฟตอนมาจากไหน ก็บอกว่าใช่ดีเอ็นเอ originate ขึ้นมาโดยการ emission แต่ผมไม่ค่อยพอใจกับคำตอบนี้เท่าไหร่ ผมอ่านมามากกว่า 25000 หน้ากระดาษ เป็นเรื่องโรคเรื้อรัง (chronicle illness) หรือพวกโรคร้ายแรงต่างๆ ผู้ป่วยหายอย่างเป็นปาฏิหารย์ 95% เป็นประสบการณ์อันน่าอัศจรรย์ แล้วพวกเขามักบอกว่าพระเจ้าอำนวยพร ผมก็เลยโอเคงั้นพระเจ้าก็จะอยู่กับผมต่อไป บางทีนะครับ แค่บางที มันอาจจะไม่ใช่การแผ่รังสี emission แต่เป็นการสะท้อน reflection ของแสง ของ soul กับเซล เพราะว่าในการสะท้อนมันมีเพียงหนึ่งเดียว เพราะตอนที่เค้าเห็นว่าแสงออกมาจากเซล แต่แสงอาจจะมาจากแห่งกำเนิดอื่นก็ได้ภายนอกเซลนั่น แล้วมาส่องสว่างอยู่บนเซล แล้วก็สะท้อน ผมคิดกับมันอยู่ เรามีการสะท้อน เรามีปาฏิหารย์ แล้วก็วิญญาณซึ่งเป็นส่วนประกอบของพระเจ้า มองย้อนไปนานนับปีที่ผมมีบทสรุปว่า มันจะต้องเป็นแสงของวิญญาณ the light of the soul ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็จะทำให้มันใสกระจ่างได้เสมอ!! </span></span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24037580:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24037580:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0.$end:0:$0:0">แต่ไม่ใช่ผมไปรักษาคุณนะ คุณต้องรักษาตัวคุณเอง แต่จะช่วยให้คุณสามารถทำอย่างนั้นได้ แล้วผมก็จะเริ่มดูแลระบบฮอร์โมนก่อนเสมอ เพราะว่าการฟังก์ชั่นทั้งหมด ทุกจุด ควบคุมโดยฮอร์โมน และเมื่อผมทำอย่างนั้นแล้ว ในทันทีทันใดผมก็จะได้รับความร่วมมือจากร่างก</span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24037580:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24037580:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24037580:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0.$end:0:$0:0">าย พอระบบฮอร์โมนคลีนแล้วความร่วมมือจะเกิด แต่ก็ไม่ได้เกิดการยอมรับทั้งหมด จะติดขัดตรงจุดที่ร่างกายไม่เชื่อมต่อกับวิญญาณ อันนี้เป็นอีกปัญหาที่เกิดอยู่ ซึ่งทำให้ผมคิดว่าคนหลายคนบนโลกใบนี้ ยังไม่เป็นคนซะทีเดียว ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะทำยังไง แสงก็ไม่ส่งผลอะไรกับพวกเขา สิ่งสำคัญอันดับแรกสุดที่จะเข้าสู่ร่างกาย สู่กายภาพคือ Pituitary Gland (ต่อมใต้สมอง) ในทาง MD Science ถือเป็นหัวหน้าใหญ่ของร่างกาย chief of body เป็นศูนย์กลางของ discommendation (การไม่ส่งข้อมูล) ถ้าคุณอยากให้ร่างกายรักษาตัวเอง ตรงนี้เป็นจุดแรกที่ต้องทำให้ถูกต้อง จุดที่สองคือ Pineal Gland (ต่อมเหนือสมอง) แต่ต่อมใต้สมองมันสำคัญมากๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับต่อใต้สมองของพวกเราล่ะ มันพิการไปเพราะผลกระทบจากโปลิโอ ซึ่งทำให้มันพิการไปได้ในทุกกรณี มันทำให้เป็นอัมพาต (paralyze) แล้วในขณะที่เป็นอัมพาตก็ไม่ส่งไม่สื่อสารอะไร อันทำให้ร่างกายคุณเข้าสู่สภาวะเสื่อมถอย (degenerate) ทั้งที่มันควรจะสร้างเสริม (regenerate) อย่างบางทีตรงลำคอ ระบบป้องกันการติดเชื้อ มันทำให้ระบบเมตาบอลิซึ่ม (Metabolism) ทั้งหมดกลายเป็นอัมพาต มันบิดเบี้ยว บกพร่อง ซึ่งถ้าระบบเมตาบอลิซึ่มของคุณมันไม่ฟังก์ชั่นทำงานตามหน้าที่ ก็อาจจะเป็นโรคกระดูกลีบ(osteoporosis) ข้อต่ออักเสบ(arthritis) นิ่วในถุงน้ำดี(gall stone) นิ่วในไต(kidney stone) ทั้งหมดมันเกิดจากเหตุของความไม่เชื่อมโยงของกายกับจิต affectionate แต่นั่นเป็นเพียงระดับกายภาพ มีการอาการมากกว่า 100 ประเภท ที่อยู่ทั้งสองด้านคือทางกายภาพ กับทางอารมณ์ spiritual ดังนั้นทุกคนจะมี remedies ที่จำเป็นเฉพาะของแต่ละคนในการที่จะใช้คลีนระบบฮอร์โมน แต่ไม่มีใครทำการตรวจวินิจฉัยอย่างนี้อีกแล้ว เมื่อพบว่าร่างกายยังมีพิษต่อเนื่อง เพราะว่าทุกสสารมันเป็นพิษทั้งนั้นถ้ามันไม่ใช่ส่วนของร่างกายเอง เศษขนมปัง ผัก ก็เป็นพิษ มันจะไม่เป็นพิษก็ต่อเมื่อมันเข้าสู่กระบวนการเมตาบอลิซึ่ม เพราะมันเป็นกระบวนการย่อยสลาย เพื่อเปลี่ยนมันให้เป็นสิ่งที่ร่างกายเอามาใช้ประโยชน์ได้ แล้วอะไรที่ร่างกายใช้ไม่ได้ก็จะถูกเลือกออกไป ร่างกายจะไม่ดูดซึม แล้วเราก็ไม่ได้มีกระบวนเมตาบอลิซึ่มนี้เฉพาะแต่ในทางกายภาพ แต่มีกระบวนการนี้ในทางอารมณ์ด้วย มันต้องมีการย่อยสิ่งต่างๆ ทั้งระดับกายภาคและไม่ใช่กายภาค หากคุณอนุญาติให้ผ่านเข้ามาโดยไม่ผ่านกระบวนการก็เรียกได้ว่าคุณกำลังวางยาพิษร่างกายตัวเอง</span></span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24037583:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24037583:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0.$end:0:$0:0">ซึ่งปัญหาหลักจริงๆ ของโรคเอดส์ เพราะว่าใครเป็นกลุ่มเสี่ยงโรคเอดส์ พวกรักร่วมเพศ พวกเขาฟังก์ชั่นผิด มันไม่ผ่านกระบวนการ หรือคุณจะดูที่ IV หรืออะไรก็ตาม คุณเป็นพิษ เพราะมันไม่ผ่านกระบวนการเมตาบอลิซึ่ม แล้วเอดส์ก็โอเว่อร์โหลดจากพิษโปรตีน (flour pro</span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24037583:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24037583:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24037583:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0.$end:0:$0:0">tein) ในร่างกาย ในเลือด ผมศึกษาจากมูลนิธิเอดส์ พวกวัยรุ่นกลุ่มเสี่ยง โสเภณี รักร่วมเพศ สิ่งที่เดียวที่ทำให้พวกเขาโคม่าคือโปรตีนแป้ง หลายปีก่อนผมทำงานที่โคโลราโดกับผู้ป่วยเอดส์คู่หนึ่ง พวกเค้ามาหา ป่วยหนักมาก จะไปทำblood saturation แล้วจะไปทำ IV ผมบอกถ้าคุณทำอย่างนั้นคุณตายภายใน 24 ชั่วโมง เขาไปทำ แล้วตาย แต่ไม่ได้ตายเพราะเอดส์ เขาตายเพราะร่างกายหยุดทำงาน มันมอดไหม้และเต็มไปด้วยพิษ ดังนั้น..อะไรที่มันไม่ belong ในร่างกาย มันก็ไม่ belong สำหรับ energetic body มันคือพิษ แม่คุณอาจจะเป็นพิษสำหรับคุณ ปู่คุณ พ่อคุณ ใครก็ตามเป็นพิษใหญ่โตสำหรับคุณได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะจากครอบครัว หรือจากเพื่อนข้างบ้าน ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นพิษได้หมด คุณจำเป็นต้อง eliminate ขจัดออกไป อย่างถ้าเป็นแม่คุณ ผมเขียนชื่อเธอบนแผ่นกระดาษอย่าง neutralize แล้วผมส่งคืนให้คุณอย่าง opposite vibration (พลังคลื่นตรงกันข้ามกับแม่) ทุกอย่างจะถูกส่งถึงคุณด้วยสัญญาณที่ตรงกันข้าม หากเราต้อง neutralize (กระบวนการที่ทำให้เป็นกลางทางเคมี หรือหักล้างในทางคลื่นพลังงาน)</span></span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24047247:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24047247:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0.$end:0:$0:0">การ neutralize ก็คล้ายกับ exorcises ปราบผี คนไล่ผีปีศาจได้ เมื่อเรียกชื่อมันได้ นี่คือหนทาง ทุกอย่างเหล่านี้มันเป็นปีศาจทั้งนั้น ตราบเท่าที่คุณตั้งชื่อให้มันได้ ก็จะ neutralize ได้ ในท้ายสุดมันก็คือการ ให้ชื่อกับบางสิ่งบางอย่าง อาจเป็นยายคุณหร</span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24047247:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24047247:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24047247:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0.$end:0:$0:0">ือใครบางคน แต่ทุกอย่างล้วนมี energetic signature (ลายเซนต์ทางพันธุกรรม) ทุกอย่างมี information package เครื่องมือพวกนี้ instrument ทำอะไรกับชีวิตบ้าง .. สิ่งที่มันทำก็คือสร้างคลื่นที่ตรงกันข้ามขึ้นมาหักล้าง หักล้างตรงกันข้าม ชนิดพอดิบพอดีเสมอ บางครั้งเรามีกระบวนการ mutation (กลายพันธ์) คุณอาจจะมีแบคทีเรียที่เป็นโฮสให้ไวรัสกลายพันธ์ (Methicillin-resistant Staphylococcus aureusMRSA-อ่านรายละเอียดโดยเช็ค google ได้นะคะ) มันเป็นการกลายพันธ์ มันคือไวรัสกลายพันธ์ อาจจะแค่ภายใน 10 วินาที แล้วด้วยเหตุผลนี้ การไปซ่อมรักษามันไม่มีประโยชน์ เพราะมันต้านผิดตัว แต่นี่มันจะเป็นกระบวนการ mutate back (กลายกลับ) ใน remedies และ signature ใน instrument จะ match กันพอดี เมื่อเข้าไปต้านสองด้านอย่างนี้ ผลสุดท้ายก็จะออกมาเป็นศูนย์ คือไม่มีโรคภัย (disease) ทุกอย่างมันมีลักษณะคลื่นของมัน ความถี่ และข้อมูลของมัน ในฐานข้อมูลเหล่านี้ เป็นจุดที่มีโปรแกรมอยู่ และเป้าหมายของการบำบัดก็คือการ deprogram มันมีโปรแกรมเดียวที่ in order ก็คือ god original program และทุกคนสุดท้ายก็ต้องตายในที่สุด ก็ถ้าคุณมีไวรัสในระบบคอมฯ มันไปสร้างปัญหา สุดท้ายคอมคุณก็พัง หรือคุณตายในที่สุด ถ้าคุณ deprogram กดปุ่ม reset แล้วร่างกายคุณก็จะเริ่มฟังก์ชั่นอีกครั้ง ทุกอย่างกลับมาฟังก์ชั่นใหม่ได้หมด ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไป เคสที่เลวร้ายที่สุดที่ผมเจอเป็นผู้หญิงแมกซิกัน อายุ 35 มีลูกสามคน เหลือเวลามีชีวิตอยู่แค่ 2 สัปดาห์ เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ผมบอกให้เธอมาหาผมทุกวัน เพราะว่าการเอามะเร็งออกไปเป็นเรื่องนึง แต่การให้ร่างกายเธอมีพลังงานในการที่จะบำบัดรักษา ก็เป็นอีกเรื่องนึง มันใกล้จะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่แล้วผมก็สอนให้ลูกๆ ของเธอทั้งสามคน นวดเท้าให้แม่ คนละสามรอบต่อวัน เธอก็จะได้รับการนวดเท้าวันละ 9 รอบทุกวัน และนั่นทำให้เธอได้รับพลังงาน ในการบำบัด ซึ่งก็ทำไปได้มาก เพราะว่ามะเร็งไม่ใช่โรคภัย มันคือระบบป้องกันร่างกาย (โดยตัวของมันเอง) protection organism of the body</span></span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24047252:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24047252:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0.$end:0:$0:0"> และมะเร็งเป็นเรื่อง quality ซึ่งคุณเปลี่ยนแปลงมันได้ จากโมเลกุลสู่โมเลกุล ไม่ทำ bioxydyn , pet (scan) fear นั่นทำลายล้างเลย degenerate มันทำให้ร่างกายคุณแย่ลง เมื่อพยาธิวิทยาเห็นมัน มันก็เสื่อมไปมากแล้ว มันไม่เชื่อมโยงอะไรกับร่างกายคุณแล้ว pep </span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24047252:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24047252:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24047252:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0.$end:0:$0:0">scan fear มันดีถ้ามันพบได้ในทันทีทันใด และอีกครั้งที่คุณจะสำนึกได้ในความคิด ในใจคุณ เมื่อมีบางอย่างเกิดผิดปกติขึ้น ผมมีคนไข้เยอะมาก โดยเฉพาะผู้หญิง เธอมาในที่สุดหลังจากผ่านไปสิบปี สิบห้าปีแล้ว จากการประเมินของผม ผมบอกโอ้ คุณบอกหมอตลอดเวลาเลยเหรอ ผมพบว่าพวกเธอมีความสุขที่สำนึกได้ เพราะเวลาคุณจำได้ คุณจำความรู้สึกได้ คุณรู้สึกยังไงบ้าง ก็มีเพียงแต่คุณเท่านั้นที่รู้ หรือคุณน่าจะต้องรู้!! แต่แล้ว มันก็จะได้รับมาจากการฟัง ฟังเสียง instrument เสียงเครื่องดนตรี มันทำให้เกิดเสียง หรือร่างกายคุณก็ส่งเสียง ไปยัง instrument และเมื่อคุณฟังโทน ฟัง pitch คุณจะเห็น ได้ยินอะไรเยอะมาก แน่นอนเพราะผมทำอย่างนี้มา 25 ปีแล้ว มันอาจง่ายสำหรับผมที่จะพูด แต่สิ่งที่คุณได้ฟังอยู่ตอนนี้มันเป็น knowledge เป็นองค์ความรู้ เป็นความรู้จากความคิด และคุณก็สามารถจะลืมความรู้ไปได้หมด ความรู้มันไร้ประโยชน์ ความรู้ทุกอย่างไร้ประโยชน์ มันจะมีประโยชน์ต่อเมื่อคุณมีประสบการณ์กับมัน มันจะกลายเป็น knowing การรู้ ที่มีประโยชน์มาก จนกว่าจะมีประสบการณ์มันก็แค่ บราๆๆ..ดังนั้นเราถึงบอกว่าจะต้องมีประสบการณ์กับมัน 90% ของนักบำบัดของเราเคยเป็นผู้ป่วยมาก่อน 90% นะ ทั้งในฮอล์แลน นอรเวย์ ญี่ปุ่น จะเคยป่วยมาแล้ว ป่วยเรื้อรัง แล้วดีขึ้นอย่างทันทีทันใด</span></span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24081973:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24081973:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0.$end:0:$2:0">พวกเขาทุกคน (อดีตผู้ป่วยที่กลายมาเป็นนักบำบัด) ทำได้สำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ ผมคิดว่าพวกเค้าเป็นผู้ถูกเลือก เพราะเค้าผ่านการสร้าง(ปัญหา) และแก้ไขไปได้ เขาถึงได้สังเกตเห็นอะไรมากมาย อย่างความตึง และการปลดปล่อย (คุณจะรู้ว่าจุดปล่อยมันอยู่ที่ไหน) ไ</span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24081973:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24081973:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24081973:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0.$end:0:$0:0">ม่สำคัญว่าจะรักษาหรือการวินิจฉัยจะเต็มที่สักแค่ไหน ทั้งหมดมันไม่มีอะไรสำคัญ คุณแค่ต้องรู้ว่าฟังก์ชั่นคืออะไร? ในครอสของเรามี Energetic Antonyms (พลังด้านตรงกันข้าม) Energetic Physiology (พลังแห่งสรีรวิทยา), Energetic Pathology (พลังแห่งพยาธิวิทยา) ซึ่งมันแตกต่างกันทั้งหมด และเป็น law ของสรีรวิทยากับพยาธิวิทยา นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเรื่องราวทั้งหมดมันแพร่ขยายออกไปอย่างไร เป็นปากต่อปาก มีเพียงผู้ป่วยเท่านั้นที่จะต้องรับผิดชอบ คนส่วนใหญ่ถ้าไปถามว่าเป้าหมายในชีวิตของพวกเค้าคืออะไร พวกเค้าจะตอบว่าเพื่อมีชีวิตอยู่รอด (survive) ผมคิดว่าตอบอย่างนี้มันเป็นลบมาก เพราะถ้าคุณยังอยู่ ยังไงคุณก็อยู่รอดอยู่แล้ว ผมว่านั่นมันเป็นเพราะพวกเค้าไม่เคยทำในสิ่งที่ต้องการจะทำจริงๆ ในชีวิต เมื่อเป็นอย่างนั้น ชีวิตก็เลยปฏิเสธการที่จะอยู่รอด นั่นเป็นเพราะว่าเราถูกโปรแกรมมาให้ตกเป็นทาส เซอร์นิโคลัสพูดไว้ในประมาณปี 1700 ว่า Freedom is dangerous (อิสรภาพเป็นอันตราย) เป็นทาสสบายกว่า และคนส่วนใหญ่ก็อยู่กับความเป็นทาส ในระหว่างปีนั้น ประมาณช่วงอีสเตอร์ มันก็เป็นช่วงที่มหาวิทยาลัยกำลังแสวงหานิยามความหมายของ “สุขภาพ” Health คืออะไร? ในช่วงเวลาอันยาวนานที่ปราศจากเสรีภาพ เราก็มาได้ข้อสรุปกันว่า มันคือ “อิสรภาพ” ทั้งหมดมันไร้สติปัญญา... เรามีงานวิชาการตั้งแต่หนึ่งปี หลังจากโปรโมทมหาวิทยาลัย โดยองค์กรมหาวิทยาลัยสากล ในเมืองกราส ออสเตรีย และการสอนที่เราทำกันอยู่ในตอนนี้ก็มีร่วมอยู่ด้วยกับพวกเขา คนต้องการไปนวด (คล้ายเป็นแพทย์พื้นบ้านของทางยุโรป?) แล้วตั้งแต่ปีกลาย เรื่องไบโอโฟตอนได้รับการยอมรับขึ้นมาอย่างทันทีทันใด เราก็เป็นเพียงหนึ่งเดียวที่สอนเรื่องนี้ ผมก็มีประสบการณ์มา 27 ปี</span></span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24081980:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24081980:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0.$end:0:$0:0">ศาสตราจารย์ปอปป์ (Dr. Fritz Albert Popp) เป็นผู้ค้นพบไบโอโฟตอน เขาก็ยังมีสถาบันวิจัยของเค้าอยู่ในเยอรมัน แต่พวกเค้าก็เพียงค้นพบและทำวิจัย ระดับพื้นฐาน แต่ไม่มีใครทำ application ผมเป็นแค่คนเดียวในโลก (คิดว่านะ) ที่เอามาประยุกต์ใช้ แล้วคุณจ</span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24081980:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24081980:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_24081980:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0.$end:0:$0:0">ะเอามันไปประยุกต์กับพื้น สัตว์ ปลา อย่างถ้าคุณเก็บแอปเปิ้ลมาจากต้น ใส่ลงไปในถังน้ำ ชาร์ตกระแสไฟฟ้าลงไปสองนาที แอปเปิ้ลจะ stay wood forever! (ได้ออริจินอลของแอปเปิ้ล?!?) แล้วเราก็มี ข้าวโพดซึ่งได้สายพันแท้ (original) แล้วพวกพันธ์ผสม (hybrid) โปรแกรมมาจาก เมล็ดพันธ์ seed เสมอ คุณจะสามารถได้ต้นแบบของมันเสมอ แต่ถ้าคุณมีข้าวสาลีสักสองรวง เอาไปใส่ในน้ำ แล้วทำเหมือนกัน ข้าวจะไม่กลับคืนมาอีก มันเป็นอะไรที่เฉพาะเจาะจงมาก ถ้าคุณต้องการข้าวสาลี คุณต้องทำหมดทั้งสวน ..เราเริ่มตั้งวิทยาลัยกันที่นี่ในซานตาเฟ่ กันใน ปี 2010 ฤดูใบไม้ร่วง เราสามารถจะเริ่มครอสที่ตอนนี้เริ่มไปได้สองสามสัปดาห์แล้ว แล้วผมก็ได้รับอนุญาติจากมหาวิทยาลัยในกราส โดยกระทรวงศึกษาฯ ของออสเตรีย ให้ทำวิทยาลัยที่นี่ได้ ในอเมริกานี้ ถ้าคุณอยากได้ข้อมูลเพิ่มก็ขอให้ไปดูในเวปไซด์ได้ หรือส่งอีเมล์ถึงผมก็ได้ ผมมีชุดข้อมูลให้สำหรับผู้สนใจ ผมคิดว่าตอนนี้เราอยากทำการสาธิตบ้างแล้ว (มีคนถามว่าทำไมต้องทำที่ซานตาเฟ่) ผมคืนกลับมา ผมเคยอยู่ที่นี่ยี่สิบปีที่แล้ว อีกอย่างคืนผมไม่เคยวางแผน แต่คอยเฝ้าดูว่าอะไรจะเข้ามาหาผม แล้วซานตาเฟ่ (รัฐนิวแมกซิโก) ก็มาหาผม ขออีกคำถามนะ ตอนที่คุณแสดง wave form เห็นคุณหย่อนก้อนหินลงไปในบ่อน้ำ แล้วหินกับน้ำในบ่อก็สร้างรูปแบบคลื่น ดังนั้นรูปแบบคลื่นนี้ก็อาจจะเป็นต้นแบบของธรรมชาติหรือรูปแบบออริจินอลที่เก็บอยู่ในหิน อยากให้อธิบายเรื่อง origin ..ครับมันเป็นการ cancel ทำให้มันเป็นกลาง neutralize ตัวอย่างเช่นถ้ามีไวรัส ประเด็นของมันก็คือการออริจเนต เริ่มต้นขึ้นแล้ว อย่างการโยนก็หินลงไปในบ่อ คลื่นอาจจะเกิดขึ้นแล้วหายไปเองได้ แต่ถ้า original มันยังอยู่ ยังไม่ถูก cancel (คือก้อนหินที่ยังจมอยู่ก้นบึง) มันก็จะกลับมา คุณอาจจะโยนก้อนหินอีกก้อนตามลงไป (หักล้างคลื่นกัน) คราวนี้มันก็จะไม่เหมือนเดิม แล้วถ้าคุณโยนหินก้อนนึงลงไปที่ฝั่งนี้ อีกก้อนไปที่ฝั่งนั้น และถ้ามัน matching กันพอดี คลื่นจะเข้าสอดแทรกกัน resonance กัน แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างนั้น มันจะเคออส<a href="http://www.youtube.com/watch?v=2STCpAJtSRw&feature=related">http://www.youtube.com/watch?v=2STCpAJtSRw&feature=related</a></span></span></span></div>
เมธาวี เลิศรัตนาhttp://www.blogger.com/profile/08911828304642179150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4480254480839686156.post-13957131435147415522014-03-20T18:46:00.000-07:002014-03-20T18:46:22.397-07:00แสงแห่งชีวิต Biophotons<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
Biophotons ไบโอโฟตอน คือโฟตอน (อนุภาคแสง) ซึ่งเปล่งออกมาจากระบบขององค์กรชีวิต แม้จะเป็นแสงที่อ่อนมากแต่ก็สามารถตรวจวัดได้
ทำไมไบโอโฟตอนถึงสำคัญ
ก็เพราะว่าในทุกๆ เซลของเรานั้นมี ปฏิกริยาทางเคมีเกิดขึ้นประมาณ 100,000 ครั้งในหนึ่งวินาที แล้วก็ไม่มีใครจะสามารถบอกคุณได้หรอกว่าทำไมปฏิกริยาทางเคมีเหล่านั้น มันถึงเกิดขึ้นอย่างถูกที่ ถูกตำแหน่ง และตรงเวลาพอดิบพอดี และถ้าผมบอกคุณว่ามันเป็นการทำงานของโฟตอนซึ่งเข้ามาทำให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้น โมเลกุลถูกกระตุ้นโดยโฟตอนจนเกิดปฏิกริยาทางเคมี ดังนั้นก็พูดได้ว่าในทุกๆ เซลเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตผลิตแสงขึ้นมา เราทั้งหลายล้วนแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรแห่งแสง แล้วมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะพบเจอกับความมืดที่มืดสนิทอย่างแท้จริง ทั้งความน่าตื่นเต้นที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้อยู่ตรงความเป็นโฟตอน แต่มันอยู่ตรง "hight degree of coherence" (ความบรรสานสอดคล้องในระดับสูง) ปฏิกริยาทางเคมี 100,000 ชนิดถูกควบคุมอย่างสม่ำเสมอโดยสัญญาโฟตอน ถูกต้อง แม่นยำ เที่ยงตรง และข้อมูลเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นด้วยสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic field) แล้วสนามนี้ก็ได้สร้างแบบแผน "pattern" ซึ่งก็เราก็มี spiral dynamical pattern (เป็นลายหนึ่ง) อยู่ในความบรรสานนั้นด้วย ทั้งใน 100,000 ปฏิกริยาเคมีนี้ก็ต้องความเร็วระดับความเร็วแสง (ซึ่งสำคัญมาก) เพราะโฟตอนใช้เวลาเพียง nano second ในการกระตุ้นเซล 100,000 ปฏิกริยาทางเคมี จึงไม่ต้องใช้โฟตอนแสนตัว แต่ใช้แค่ตัวเดียวก็เพียงพอ
นี่เป็นส่วนหนึงซึ่งสรุปความจากคำให้สัมภาษณ์ของ Dr.Fritz-Albert Popp ผู้ใช้เวลาในการศึกษาวิจัยเรื่องไบโอโฟตอนกว่า 30 ปี … ณ จุดกำเนิดของชีวิต คุณให้คำจำกัดความของคุณอย่างไร เราคือส่วนประกอบของกันและกัน ทั้งเป็นส่วนประกอบของต้นกำเนิด เราแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรแห่งสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้า ในคลื่นความถี่หลากหลาย ซึ่งจะเข้าใจ เข้าถึงได้ก็ด้วยการเชื่อมต่อ connection…
Dr. Fritz Albert Popp, ได้เคยบรรยายที่มหาวิทยาลัย Marburg ในเยอรมัน ว่าเขาสนใจศึกษาพฤติกรรมของเซลและทดลอง โดย แยกเซลสองเซลออกจากกันและขวางกันระหว่างกันไว้ (opaque barrier) พบว่าเซลปลดปล่อยไบโอโฟตอน อย่างไม่เป็นแบบแผนร่วม (uncoordinated patterns) แต่เมื่อเอาตัวขวางกั้นออกไปแล้ว เซลก็ค่อยๆ ปล่อยโฟตอนอย่างสอดคล้องเป็นระบบ synchrony เซลของเรา ติดต่อกันด้วยแสง
Cyril Frank ศาตราจารย์ในภาควิชาศัลยกรรม แห่งมหาวิทยาลัยแพทย์ Calgary’s เชื่อว่า Popp น่าจะถูกต้อง โฟตอนถูกจับแม้กระทั่งในเซลที่เป็นตัวรับ แล้วทำให้มันเปลี่ยนสถานะหรือให้โปรตีนที่แตกต่างออกไปได้ เขาบอกว่า ในการทดลองของเรา เราพยายามมองหาแหล่งที่มาของการแบ่งแยกเพียงเล็กน้อยที่สามารถจะทำอย่างนั้นได้
ส่วนบรรดาพวกนักชีววิทยาสาย orthodox ก็จะเข้าหากายภาพอย่างการไปตรวจวัด ไบโอโฟตอนในอาหาร ผักผลไม้ เนื้อสัตว์ อาหารนานา ที่บริโภคเข้าไป ว่ามีปริมาณโฟตอนเท่าไหร่? หรือหาสารเคมีที่เซลผลิตออกมาเพื่อเพิ่มลดตัวใดตัวหนึ่งอย่างเป็นเส้นตรงเพื่อใช้ในทางการแพทย์
แต่อีกพวกที่เป็นสาย unorthodox บอกว่าการสื่อสารของโฟตอนไม่อาจจะอธิบายได้เพียงในระดับ biological communication แต่เป็นระดับจิตวิญญาณด้วย Scott Hagan นักฟิสิกส์ทฤษฎีจาก British Columbia Institute of Technology บอกว่ามันเกี่ยวข้องกับความลี้ลับของ awareness เขาพูดในฐานะ neurophysiologist “ในทุกๆ กระบวนการ ทุกๆ อะตอม หรือโมเลกุล เป็นไปด้วยตัวของพวกมันเอง” อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถจะบอกว่า unless cells in the brain function simultaneously เป็นส่วนหนึ่งขององค์รวม ไม่มีทางที่ฟิสิกส์คลาสิกจะมาอธิบายอะไรได้ “แต่ในทางควอนตัม มันมีระบบที่จะรู้ถึงองค์รวมของพวกมันได้ ซึ่งเราเรียกว่า “quantum coherent states” ใน state นี้ คลื่นฟังก์ชั่นของอะตอม หรือโมเลกุล blend (combine รวมกัน) เป็นฟอร์มรูปแบบหนึ่ง และเราค้นหา สถานะควอนตัมซึ่งบรรสานสอดคล้องนี้จากระบบประสาทในสมอง มันเหมือนการหาโครงสร้าง (คล้ายโครงกระดูก) ของการทำงานของโมเลกุล ท่อเล็กๆ ที่มาต่อเรียงกัน สลับกัน ระหว่างเส้นสายระบบประสาทอันก่อประกอบความทรงจำขึ้นมา อย่างการศึกษาของ anaesthetics (การศึกษาเรื่องความเจ็บปวด) เป็นไปอย่างมืดบอด เพราะว่า anaesthetic make consciousness evaporate (การศึกษาในเรื่องความเจ็บปวดนั้นทำให้จิตสำนึกเหือดหายไป) Hagan และ Stuart Hameroff ร่วมงานกันที่ center for consciousness studies at the University of Arizona แล้ว Hameroff ก็บอกว่า biophotons อาจจะเป็นตัวควบคุมกระบวนการ collapses ของคลื่นควอนตัมในท่อไมโครทุบุลด้วย
นี่เป็นความรู้เดิมที่เคยเชื่อมโยงไว้ในวงน้ำชา สั้นๆ จากบทสัมภาษณ์ในคลิปวีดีโอ ซึ่งหากท่านใดต้องการลงลึกในเรื่องใด สายไหน? ก็ขอเชิญค้นคว้ากันต่อได้นะคะ ในทางฟิสิกส์ ก็จะเป็นเรื่องรายละเอียดของการแผ่รังสีและการสื่อสารภายในเซลซึ่งเมเก็บเอกสารเรื่อง PHYSICAL BASIS OF BIOPHOTON EMISSION AND INTERCELLULAR COMMUNICATION แปดร้อยกว่าหน้าเอาไว้ (ใครสนใจยินดีส่งต่อให้นะคะ..ไปอ่านเอง) เป็นรายงานทางฟิสิกส์ของโรมาเนีย
เครดิตภาพประกอบ
Schematic illustration of experimental setup that found the human body, especially the face, emits visible light in small quantities that vary during the day. B is one of the test subjects. The other images show the weak emissions of visible light during totally dark conditions. The chart corresponds to the images and shows how the emissions varied during the day. The last image (I) is an infrared image of the subject showing heat emissions. Credit: Kyoto University; Tohoku Institute of Technology; PLoS ONE<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFqcl5q97lRWbMmOnUk_QZs14oYlDDNQmKUIpaC21nJe8MWYQumDcoxDh7r6hPGeWciJicLteZLhbNXC9uimz7rdCYlCfgm8XSLPbkOivVL2VgQ6NqJ3Hin7wiZV5NDOnI_fcAqtMdZtuK/s1600/bio.jpg" imageanchor="1"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFqcl5q97lRWbMmOnUk_QZs14oYlDDNQmKUIpaC21nJe8MWYQumDcoxDh7r6hPGeWciJicLteZLhbNXC9uimz7rdCYlCfgm8XSLPbkOivVL2VgQ6NqJ3Hin7wiZV5NDOnI_fcAqtMdZtuK/s320/bio.jpg" /></a><br />
<span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23760559:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23760559:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0.$end:0:$0:0">จากนี้ต่อไปก็จะต่อด้วยสรุปความเข้าใจจากการฟังAn Introduction to Biophoton Therapy ซึ่งบรรยายโดย Johan Boswinkel นักบำบัดที่ทำการบำบัดมากว่า 25,000 ราย โดยเขาเรียกศาสตร์ประยุกต์ของเขาว่า BIONTOLOGY </span><br data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23760559:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0.$end:0:$1:0" /><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23760559:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.0.$end:0:$2:0">คุณโจฮานบอกว่า Biontology คือการเรียนรู้ความเป็นจริงอ</span></span><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23760559:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23760559:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23760559:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0.$end:0:$0:0">ันไพศาลของธรรมชาติ ซึ่งก็คือ “แสง” และมนุษย์เราก็คือ Light Being (สัตวแห่งแสง) อันเราจะพบได้จากศาสตร์โบราณหลากหลายไม่ว่าจะเป็นอียิปหรือ Book of Death ของทิเบต ก็ล้วนบอกว่าเราคือสัตวแห่งแสง </span><br data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23760559:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0.$end:0:$1:0" /><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23760559:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0.$end:0:$2:0">แล้วเราก็รู้กันว่าคนเราคิดด้วยหัวใจ ไม่ใช่หัวสมอง แล้วไบโอโฟตอนก็เป็นตัวที่รันการทำงานทั้งหมด ของร่างกายเรา ไบโอโฟตอนคือ information packaging ซึ่งไม่ใช่คลื่นความถี่ ไม่ใช่คลื่นแสง แต่เป็นแพคเกจของข้อมูล ซึ่งจะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นความถี่หรือคลื่นแสงก็ได้ถ้าต้องการ อย่างเช่นคุณกับผมดูเหมือนมีระยะห่าง ซึ่งที่จริงมันไม่มี เรารับสัญญาณได้ไกล อย่างพวกสัตว์ก็รับได้ไกลกว่ามนุษย์ ถ้าเราเชื่อมกับจิตของเราได้ เราก็รับแสงได้ เพราะจิตมีการรับที่มหัศจรรย์ ตราบเท่าที่คุณไม่เอาจิตไปไว้ที่สมอง </span><br data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23760559:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0.$end:0:$3:0" /><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23760559:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0.$end:0:$4:0">ความคิดเป็น “psychological decease” (โห..แรง) ปัญหามันมาจากตรงนั้น เพราะหัวมี limited intellectual แต่หัวใจมี unlimited wisdom ดังนั้นขอให้ฟังหัวใจไว้ อย่าไปฟังสมอง เพราะหัวสมองจะ ignore body เพียงแค่คุณเริ่มต้นคิด การเยียวยาก็หยุดลงแล้ว อย่างในการรักษาเซลมะเร็งเนี่ย เราจะทำได้ดีตอนที่ผู้ป่วยตัดสินใจปล่อยวาง แต่จะไม่ก้าวหน้าถ้าเริ่มกลับไปคิดอีก แล้วก็จะดีขึ้นอีกเมื่อมันมี Harmony ..ความบรรสานสอดคล้องของหัวสมองกับหัวใจ ที่ผู้หญิงจะรู้ถึงความขัดแย้งนี้ดี อย่างถ้ามีสองตัวเลือกแล้วไม่รู้จะเลือกอันไหน อย่าเลือกทั้งสองอย่าง เพราะทั้งสอง choice มันไม่ใช่ ถ้ายังไม่เกิดความบรรสานอย่าเลือก เพราะอะไรที่ใช่ คุณจะรู้เอง แต่ถ้าจะต้องเลือกจริงๆ ก็ให้เลือกอย่างอื่นไปเลย </span><br data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23760559:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0.$end:0:$5:0" /><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23760559:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0.$end:0:$6:0">เมื่อรับรู้ ----- รู้สึก ---- แล้วก็ทำอะไรสักอย่าง ความคิดมันไม่ได้อยู่ในขั้นตอนไหนเลย ร่างกายคนเรามันไม่ใช่แค่ “กายภาพ” ความเป็นกายภาพมันอาจมีสักแค่ 2% ที่มันรันอยู่เท่านั้น ส่วนอีก 98% เรา no idea แล้ว 2% ที่ว่ารันอยู่นี้ก็รันในระดับสามมิติ ส่วนที่เหลือพวกนักวิทยาศาสตร์บอกมันเป็น Junk DNA (ดีเอ็นเอ ขยะ?) ทั้งที่มันมีฟังก์ชั่นครบ เราหันกลับมาหาแนวคิดเรื่องตาที่สาม เรื่องญาณทัศนะ แต่เราก็ถูกสอนให้ฟังครู พ่อแม่ รัฐบาล มาตลอดแต่ไม่เคยถูกสอนให้ฟังตัวเอง คือฟังทั้งตัวของตัวเอง ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เรามีข้อจำกัด ที่เราเรียกว่า 6 senses หรือมันอาจจะเป็น 7, 8, 9... หากมันเป็น observer ในทุกอย่างที่ไกลออกไป ไกลก่อนที่จะมาถึงร่างกาย อย่างในปี 1982 มีการเรียนรู้ในอังกฤษ ซึ่งทำให้เราสามารถพบมะเร็งได้ก่อนจะก่อตัว 9 เดือน แต่ถ้าเอามาเปรียบในตอนนี้ ทุกอย่างมันถูกเร่งเร็วขึ้นหมด คิดว่ามันอาจจะไม่ใช่ 9 เดือนอีกแล้ว อาจจะแค่ 3 เดือนก็เป็นได้</span></span></span><br />
<span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23760559:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3" style="background-color: #f6f7f8; color: #4e5665; font-family: Helvetica, Arial, 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 16px;"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23760559:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0"><span data-reactid=".4z.1:3:1:$comment10151057461682266_23760559:0.0.$right.0.$left.0.0.0:$comment-body.0.3.0.$end:0:$6:0"><br /></span></span></span></div>
เมธาวี เลิศรัตนาhttp://www.blogger.com/profile/08911828304642179150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4480254480839686156.post-83860670792550940702009-04-19T05:27:00.000-07:002009-04-19T05:54:20.969-07:00Quantum Consciousness / Orch Or<span style="font-weight:bold;">Orchestrated Objective Reduction of Quantum Coherence</span> in Brain Microtubules: The "Orch OR" Model for Consciousness<br /><br /><br />A New Marriage of Brain and Computer - Why 'The Singularity" Is Bogus<br />ขอเชิญชวนผู้อ่านที่สนใจติดตามบล็อกนี้ดู google talk ไปพลางก่อนนะคะ ไว้เมื่อจักรวาลจัดสรรแล้ว เราจะมาคุยกัน<br /><br /><br /><object width="425" height="344"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/aw9Jo5qNCsQ&hl=en&fs=1"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/aw9Jo5qNCsQ&hl=en&fs=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="262" height="222"></embed></object>เมธาวี เลิศรัตนาhttp://www.blogger.com/profile/08911828304642179150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4480254480839686156.post-3634179848689870072009-04-05T20:11:00.000-07:002009-04-05T22:36:33.847-07:00ความทรงจำ ความฝัน ความคิดคำนึง<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhykskJBNZWUVFaks6hN7KztH51zHdPx3s5ZYxp3tuR72O8YAZ3Pn7PwYl4YvbRjHRy1EBfnakiq6NVoEt3RS01mO92uP373sjhsJjnkai9I0h3Ka4Cth6k3O7scBguoMWa1r1JWvgcgySd/s1600-h/jung.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;width: 194px; height: 276px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhykskJBNZWUVFaks6hN7KztH51zHdPx3s5ZYxp3tuR72O8YAZ3Pn7PwYl4YvbRjHRy1EBfnakiq6NVoEt3RS01mO92uP373sjhsJjnkai9I0h3Ka4Cth6k3O7scBguoMWa1r1JWvgcgySd/s320/jung.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5321441090704165074" /></a><br /><br />มีหนังสือคาร์ล กุสตาฟ ยุง ความทรงจำ ความฝัน ความคิดคำนึง ...(ฉบับแปลโดยพจนา จันทรสันติ) วางอยู่ข้างๆ ...หนังสือเล่มนี้ไม่เคยห่างจากตัวมาได้สามสี่วันคืนแล้ว อ่านต่อจาก surely you're joking Mr. Feynman ..และมันก็น่าแปลกจริงๆ ที่ฟายน์แมน จบหนังสือเล่มสำคัญของเขาด้วยเรื่องราว งานวิจัย rat running ของคาร์ล ยุง<br /><br />ฟายน์แมนเป็นนักฟิสิกส์ทั้งเนื้อทั้งตัว ทั้งหัวใจและจิตวิญญาณ เขาเขียนบทสุดท้ายเล่าถึงการ ไปเยือนอิซาเลน (คล้ายกับอาศรมฯ ต่างๆ) ว่าช่างเป็นสถานที่ๆ มีความงดงามทางธรรมชาติ เขาไปแช่บ่อน้ำร้อนที่อยู่ริมทะเล ร่วมกับหนุ่มๆ แห่งอิซาเลน แล้วจู่ๆ ก็มีหญิงสาวเดินเปลือยกายเข้ามา ชายหนุ่มทุกคนหันไปมองแล้วก็สัมผัสได้ว่าทุกคนคิด ๆๆ ด้วยความปั่นป่วน รุมเร้า ว่าจะเข้าไปหาสาวแสนสวยเซ็กซี่คนนี้ยังไง ฟายน์แมนก็เช่นกัน เขาครุ่นคิด... แต่แล้วก็มีหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า เขามาเรียนนวดอยู่ที่นี่ เสนอนวดตัวให้สาวคนนั้น.. แล้วหญิงสาวก็ตอบ Yes!!! โอ้โห...ฟายน์แมนประทับใจในสุดยอดอภิมหามุก ในการจีบสาวแบบถึงเนื้อถึงตัวภายในไม่มีกี่นาทีของหนุ่มอิซาเลน ขณะเดียวกันก็เก็บความคั่งแค้นไว้ในใจ เมื่อหญิงสาวล้มตัวลงนอนเหยียด ยาวบนเบาะริมบ่อน้ำร้อน ชายหนุ่มเริ่มลูบไล้ สัมผัสจากหัวแม่เท้าของสาวเจ้า แล้วบอกว่า นั่นเป็นจุดที่เชื่อมโยงกับ ต่อมพิทาทูอิ ฟายน์แมนไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เขาโพล่งออกไปว่าประมาณ ..บ้ารึเปล่า ไอ้ต่อมบ้านั่นน่ะอยู่ห่างไกลจากหัวแม่ตีนเยอะเลย อะไรประมาณนี้ ... ได้ผล สองหนุ่มสาวมองกลับมาที่เขาด้วยสายตาปานจะกินเลือดกินเนื้อ เขาจึงจำต้องทำทีเป็นนั่งหลับตาตามลมหายใจ อาบไล้ร่างด้วยสายลมแสงแดดต่อไป ทำใจให้สงบไว้... <br /><br />ฟาย น์แมน บอกว่าอิซาเลนในมุมมองของเขานั้นเป็น "แอร์พอร์ตอันทันสมัยเพรียบพร้อม แต่ขาดอยู่เพียงอย่างเดียวก็คือ เครื่องบินที่จะมาลงที่นี่"<br /><br />เขาเปรียบเปรยว่ามีผู้คนมากมายพยายาม ชักนำความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ ให้เข้ามาหา "ความเชื่อ" ของตัวเอง ของพวกนักจิตนิยมทั้งหลาย และกล่าวยกย่องงานวิจัยเรื่องหนูวิ่งของ คาร์ล กุสตาฟ ยุง ว่าเป็นสุดยอดงานวิจัยที่เป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ยุง มีความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณ อย่างชัดเจนที่สุด แต่เมื่อยุงทำงาน เขามี rat running อยู่ในเนื้อในตัวเสมอ<br /><br />พ่อของยุงเป็นอนุศาสนาจารย์ นิกายโปแตสแตน พ่อจบปริญญาเอกด้านปรัชญาแต่พ่อก็ยุติความทะเยอทะยานในอันที่จะก้าวสู่ความ รุ่งโรจน์ด้วยการแต่งงานกับแม่แล้วมาเทศนาสั่งสอนอยู่ในโบสถ์เล็กๆ ของเมืองเล็กๆ ที่ยุงถือกำเนิด (ปู่ของยุงเป็นลูกนอกสมรสของเกอเธ่ด้วย)<br /><br />ยุง อาจจะเป็นหนึ่งในเด็กพิเศษรึเปล่าก็ไม่รู้นะ วัยเด็กที่ยุงเล่าไว้ ตั้งแต่อายุสักประมาณ 6 เดือน จนถึง 18 ปี ปฐมวัยถึงวัยเรียนนั้น อ่านแล้วเป็นที่สุดแห่ง synchronicity โดยแท้ การเล่นในวัยเยาว์ที่เป็นเสมือนประตูเข้าสู่จิตไร้สำนึก ทั้งยังค้นพบภายหลังด้วยว่ามีสัญญลักษณ์ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพิธีกรรมอัน ศักดิ์จากยุคบรรพกาล<br /><br />เมื่ออ่านเรื่องความสัมพันธ์ของยุงกับฟรอยด์ ก็พบความเหลื่อมซ้อนในความสัมพันธ์ของยุงกับพ่อด้วย<br /><br />ยุง เล่าว่าพ่อของเขานั้นเกิด "วิกฤติศรัทธา" อย่างหนักในช่วงสองปีสุดท้ายก่อนที่จะเสียชีวิต ทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างรุนแรงในแทบจะทุกครั้งที่พบเจอ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึึ้นก็คือ ยุงจะจี้คำถามตรงไปที่ศรัทธาพ่อตลอดเวลา เมื่อพ่อตอบไม่ได้ก็กลายเป็นความรุนแรง เป็นความพยายามที่จะ "ปกป้อง" แม้กระนั้นพ่อก็ยังพร้อมเสมอในอันที่จะ "เสียสละ" ทุกอย่างเพื่อให้ยุงได้ขึ้นไปถึงยอดเขาสูง และในบั้นปลายชีวิตพ่อก็อ่านงานของซิกมุนด์ ฟรอยด์ อีก<br /><br />ในความ สัมพันธ์กับฟรอยด์ ยุงสัมผัสได้ว่าฟรอยด์เองก็ไม่พ้นความพยายามสร้างป้อมปราการเพื่อ "ปกป้อง" ในสิ่งที่ตนไม่รู้ เช่นเดียวกับพ่อของเขา ทั้งที่ฟรอยด์ก็แสดงออกชัดแจ้งว่าต่อต้านศาสนา แต่เขากลับรุนแรง จริงจัง ในอันที่ตั้งเรื่อง "เพศ" เอาไว้เป็นแกนกลางทุกอย่าง จนกระทั่งกลายเป็นความ "ศักดิ์สิทธิ์" (แต่ก็เป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่จะต้องปกป้อง)<br /><br />ยุงเองรู้สึกเสมอมาว่าฟรอยด์พยายามจะสร้างให้เขากลายเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่ง ทั้งสายตาที่มองมาประหนึ่งว่าเขา (ซึ่งตอนนั้นอายุประมาณยี่สิบกว่าปี) เป็นพ่อของฟรอยด์ (ผู้อาวุโสกว่าทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ และประสบการณ์) แต่ในขณะเดียวฟรอยด์ก็หมกมุ่นกับความคิดที่ว่ายุงพยายามทำ "มรณะเจตนา" (การฆ่าทางจิต) เพื่อฆ่าเขา<br /><br />ยุงก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงเกิดเสียงดัง สนั่นขนาดเสียงปืนขึ้นที่บ้านของเขาหลังจากที่พ่อตายไปได้ไม่นาน และแล้วโต๊ะเก่าแก่ที่ทำด้วยไม้แข็งก็แตกร้าว หรือว่ามีดที่ทำจากเหล็กชั้นดีถึงได้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทั้งๆ ที่ไม่มีวัตถุใดไปกระทำ ต่อหน้าต่อตาแม่และยุงที่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว เสียงดังสนั่นนั้นก็มาเกิดขึ้นอีกครั้งบนชั้นหนังสือของฟรอยด์ขณะที่เขาและฟ รอยด์กำลังถกกันอย่างดุเดือด ปรากฏการณ์เสียงนั้นทำให้ฟรอยด์ถึงกับตะลึงงันไป แล้วยุงก็ยังพูดขึ้นว่ามันจะดังขึ้นอีกครั้ง (ทั้งที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นรู้ได้อย่างไรว่ามันจะดังขึ้นอีก) แล้วมันก็ดังขึ้นอีกครั้งจริงๆ .... ผู้อ่านคงจะพอเดาได้ใช่ไหมว่าฟรอยด์รู้สึกอย่างไรกับยุงที่นอกจากจะไม่ยอม เป็นป้อมปราการปกป้องความ "ไม่รู้" ให้แล้ว ยังกลายเป็นความลึกลับน่าหวาดกลัวซึ่งฟรอยด์ไม่อาจจะหยั่งถึงอีกด้วย<br /><br />เมื่อ ยุงตีพิมพ์งานชิ้นสำคัญซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของเขาและฟรอยด์ขาดสะบั้นลง ยุงก็ต้อง "เริ่มต้นใหม่" ด้วยความเคว้งคว้างและอ่อนแอในบท "เผชิญจิตไร้สำนึก" ...เขาให้ผู้ป่วยตีความความฝันด้วยตัวของพวกเขาเอง เพราะยุงเชื่อว่า ความฝันเป็นการสื่อสารจากจิตไร้สำนึกของผู้ฝัน ดังนั้นจิตสำนึกของผู้ป่วยเป็นผู้รับสารตรง จะต้องตีความหมายเอง (เขาพิสูจน์แล้วในตีความความฝันร่วมกันกับฟรอยด์และเขาก็พบว่าเขาหลอกฟรอยด์ ได้จริงๆ) อย่างไรก็ตาม ณ ยุคสมัยของเขานั้น ยุงยกย่องว่าฟรอยด์เป็นผู้บุกเบิก เป็นคนแรกที่เปิดยุคสมัยของจิตวิทยาจิตไร้สำนึก ฟรอยด์นำเอา "จิต" เข้ามาสู่วิถีของการบำบัดรักษา ฟรอยด์รู้จักและเข้าใจผู้ป่วยของเขาอย่างแท้จริงและอย่างที่ไม่เคยมีใครเคย ทำมาก่อน<br /><br />ยุงกลับไป "เริ่มต้นใหม่" ที่ "การเล่น" เมื่อเขาอายุ 11 ขวบ เขาใช้เวลาในช่วงว่างจากงานเล่นสร้างเมืองเล็กๆ จากเศษวัสดุ หิน กิ่งไม้ ฯลฯ และก็ไม่ทิ้งเรื่อง "ความฝัน" และประตูทั้งสองบานนี้เองที่เปิดให้จิตไร้สำนึกสื่อสารแบบหลั่งไหลเข้าหาเขา รวดเร็ว ถั่งถม จนจดบันทึกไว้แทบไม่ทันเลย<br /><br /> เรื่องการเล่นในปฐมวัยน่าสนใจมากจริง เมื่อคืนอ่าน "เผชิญจิตไร้สำนึก" แล้วมึนตึ๊บไปเลย (ก็คงต้องมึน เพราะยุงเองก็มึนหนักจนเกือบจะข้ามเส้นเป็นบ้าหรือบุคคลิกภาพแปรปรวนไปเลย เหมือนกัน เขาต้องคอยย้ำ คอยป้องเทียนเล่มน้อยแห่งจิตสำนึกเอาไว้ บอกตัวเองบ่อยๆ ว่าเรียนจบมหาบัณฑิต เป็นหมอ มีการงานต้องทำ มีคนไข้ต้องดูแล มีภรรยาและลูกๆ กระทั่งถึงกับต้องย้ำเรื่องบ้านเลขที่กันเลยทีเดียว ยิ้มกว้างๆ)<br /><br /><br />ยุง ในช่วงปฐมวัยนั้น เขาเล่าว่าเกิดความทรงจำเป็นห้วงขณะหนึ่งๆ เขาบรรยายถึงสภาวะ ณ ขณะนั้นๆ ได้อย่างนวลเนียน ละมุนละไม อย่างเช่นสีสรรค์ของแสงที่สะท้อนกับหลังคาเปลรถเข็นเด็ก หรือกลิ่นเส้นผมของพี่เลี้ยงที่อุ้มเขาพาดบ่า รสของขนมปังที่จุ่มนมสดกรุ่นๆ ชุดผ้าดำพิมพ์ลายรูปจันทร์เสี้ยวของแม่ ช่วง 6 เดือนแรกจนถึงหกขวบนี้ ยุงหวาดกลัวโบสถ์คาทอลิกที่แม่พาไปชม แต่ยุงก็ชอบบรรยากาศในโบสถ์ของพ่อเฉพาะช่วงคริสต์มาส นอกนั้นน่าเบื่อหน่าย เขาดื่มด่ำกับพิพิธภัณฑ์มากกว่า (ป้าพาไปและอยู่จนถึงเวลาปิดพิพิธภัณฑ์ เด็กน้อยยุงยืนดูสัตว์สตัฟฟ์ โบราณวัตถุ ปฏิมากรรมภาพเปลือย อย่างละเอียดละออ)<br /><br />ในวัยประมาณสามสี่ขวบ ได้เกิดนิมิตครั้งแรก อันเป็นนิมิตที่เปี่ยมความหมายและเขาจำมันได้อย่างแจ่มชัด เขาฝันว่าวิ่งไปในทุ่งหญ้ากว้างและพบหลุมลึกรูปสี่เหลี่ยมอยู่กลางทุ่งนั้น พอเขาเดินลงไปก็พบโถงขนาดใหญ่ในวิหาร กับผ้ากำมะหยี่ปูลาดทางเดินสีแดง ไปสู่บันลังก์ทองซึ่งมีลึงค์ขนาดยักษ์นั่งอยู่บนบันลังก์นั้น (ในวัยสามขวบเขาไม่รู้ว่าเจ้าท่อนไม้ปลายเปิดรับแสงนี้อะไร เขาเกิดความหวาดกลัวเพราะคิดว่ามันคือตัวกินมนุษย์)<br /><br />ยุงเริ่มจำได้ ว่าเล่นอะไรบ้างก็อายุสักประมาณเจ็ดแปดขวบ เขาชอบเล่นก่ออิฐ เอามาสร้างเป็นหอคอยเสร็จแล้วก็ทำลายมันลงด้วย "แผ่นดินไหว" แปดถึงสิบเอ็ดขวบชอบวาดรูปการรบ สงคราม ปิดล้อม ยิงถล่ม ช่วงนี้เป็นช่วงที่พ่อแม่แยกห้องนอนกันและยุงก็เริ่มไปโรงเรียน นิมิตในช่วงนี้ก็จะน่าประหวั่นพรั่นพรึง เหมือนกับสิ่งของหรือสัตว์ที่เขาเห็นในฝันจะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นและกดทับเขา แล้วเขาก็ป่วยด้วยโรคคอตีบเทียม หายใจติดขัด ที่โรงเรียนเขาก็ดีใจที่มีเพื่อนแต่ก็เล่าว่าเวลาอยู่กับเพื่อนเขารู้สึกสูญ เสียความเป็นตัวของตัวเอง ดูเหมือนว่าความแก่นแก้ว ก้าวร้าวจะค่อยๆ แทรกเข้ามาในบุคคลิกภาพของเขา เขาพาเพื่อนไปเล่นก่อไฟ ช่วยกันเก็บไม้ฟืนมาเติมเชื้อไฟให้ลุกโชนและเขาเท่านั้นที่จะเป็นผู้ดูแลไฟ และเมื่อมีโอกาสได้อยู่ตามลำพัง เขาจะนั่งอย่างสงบบนก้อนหินก้อนหนึ่ง ครุ่นคิด จินตนาการไปว่า "ฉันนั่งอยู่บนก้อนหินนี้ และมันอยู่ข้างล่างฉัน" แต่หินก็อาจจะคิดว่า "ฉันอยู่บนเนินนี้และเขามานั่งทับฉัน" แล้วก็เกิดคำถามกับตัวเองว่าตกลงฉันคือคนที่อยู่บนก้อนหินหรือฉันคือหินที่ เขานั่งทับอยู่ ยุงจำได้ว่าเขารู้สึกฉงนจนต้องลุกขึ้นมายืนครุ่นคิดว่าเขาคือใครกันแน่ เขากับก้อนหินมีความสัมพันธ์กันอย่างลี้ลับและเขาสามารถนั่งดื่มด่ำอยู่กับ ปริศนาที่มิอาจไขขานนี้อยู่ได้นานนับชั่วโมง<br /><br />ดูเหมือนช่วงเก้าขวบ พ่อแม่จะกลับมาคืนดีกัน แล้วยุงก็ได้น้องสาวที่อายุห่างกันเก้าปี...<br /><br />ยุง เริ่มเบื่อหน่ายโรงเรียน โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ พีชคณิต ยุงสับสนเรื่องการนับจำนวนตัวเลข และการใช้สัญญลักษณ์เพื่อแทนค่า (แอปเปิ้ล ดอกไม้ ฯลฯ) แล้วนำมาคำนวณตามสูตรคณิตศาสตร์ แต่ที่เขาบอกว่าหงุดหงิดที่สุดก็คือประโยคคณิตศาสตร์ อย่าง a=b และ b=c ดังนั้น a=c เพราะโดยคำจำกัดความ a ก็หมายถึงสิ่งที่ต่างจาก b อยู่แล้ว ดังนั้นจะเอา a กับ b ไปเทียบว่าเท่ากันได้ยังไง การบอกว่า a=b ก็เป็นการโกหกหน้าด้านๆ พอๆ กับที่ครูบอกว่าเส้นขนานสองเส้นจะไปบรรจบกันที่จุดอนันต์<br /><br />แล้วเพื่อน นักเรียนคนอื่นๆ ก็ทำทีเหมือนกับว่า "เข้าใจ" เรื่องเหล่านี้ ส่วนยุง "ไม่มีความสามารถเชิงคณิตศาสตร" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาไม่เข้าใจเลยว่าครูเขียนสัญญลักษณ์ขยุกขยิกบ้าบออะไรลงบนกระดานดำ หนำซ้ำ ในวิชาวาดเขียน ครูพยายามให้เด็กๆ วาดภาพตามแบบ ขณะที่ยุงกำลังสนุกสนานกับภาพในจินตนาการ ความสามารถทางศิลปะก็เลยถูกตัดสินว่าสิ้นไร้ไปด้วยทันทีที่ครูเอาหัวแพะมา ตั้งเป็นแบบให้ยุงวาด เขาสิ้นหวังกับโรงเรียนแล้ว และเมื่อเพื่อนคนหนึ่งมาผลักเขาจนล้มหัวฟาดขอบทางเท้า ในขณะที่หัวกำลังจะกระแทกพื้นนั้น ยุงแวบขึ้นมาว่า คราวนี้จะได้ไม่ต้องไปโรงเรียนอีกแล้ว ทั้งแกล้งนอนสลบอยู่นานกว่าที่ควรจะเป็นเพื่อเป็นการแก้แค้นเพื่อนคนนั้น<br /><br />หลังจากนั้นยุงก็จะสลบทุกครั้งที่ต้องไปโรงเรียน หรือต้องทำการบ้านที่ไม่อยากทำ เขาไปโรงเรียนไม่ได้อีกต่อไป พ่อต้องเที่ยวออกปรึกษาหมอหลายแห่งเพื่อรักษาอาการล้มพับสลบเหมือดของเขา แต่หมอทุกคนก็พากันเกาหัว ช่วงเวลาที่ไม่ต้องไปโรงเรียนนี้ยุงมีความสุขกับธรรมชาติ ลานหิน สายน้ำ ป่ากว้าง สมุดบันทึกของพ่อ หนังสือที่มีอยู่ในบ้านเป็นอันมากขณะที่อีก ส่วนหนึ่งของยุงบอกตัวเองว่า เขาสงสารพ่อแม่ที่ต้องเสียเงินทองไป ขณะที่เขาเอาแต่เพลิดเพลินสนุกสนาน และเมื่อแอบไปได้ยินพ่อคุยกับเพื่อนสนิทว่า พ่อเป็นห่วงอนาคตของเขามากเพียงใด เขาก็เลยบอกว่าตัวเองจะเลิกสลบซะที แล้วจะกลับไปเรียนอีกครั้ง ความพยายามจะเรียนหนังสือในช่วงนี้ก็ยังต้องฝืนกับอาการสลบอยู่เป็นพักๆ แต่ความตั้งใจจริงที่จะเรียน ก็ทำให้อาการสลบค่อยๆ ทิ้งช่วงห่างขึ้นเรื่อยๆ จนหายขาดกลับไปเรียนได้ ยอมรับฟังครู ยอมเข้าใจ เท่าที่เพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ เข้าใจกันได้ ยุงแทบจะกำหนดได้เลยว่าเขาต้องการให้คะแนนสอบในแต่ละวิชาออกมาเป็นที่เท่า ไหร่ของห้องดี<br /><br />และเมื่อเกิดความเบื่อหน่ายการเรียนการสอนในโรงเรียน ขึ้นอีก ยุงก็แกะสลักปลายด้านหนึ่งของไม้บรรทัดเป็นตุ๊กตาไม้ ชายชุดดำ ... เขาใส่ชายชุดดำนี้ไว้ในกล่องดินสอ พร้อมเสื้อผ้า และหินที่ระบายสีครึ่งก้อน เอาซ่อนไว้ในที่ลับใต้เพดาน ซึ่งมีเขาคนเดียวเท่านั้นที่จะรู้<br /><br /><br />สิ่งที่ได้จากการอ่านยุงไปครึ่งเล่มแล้วนี้จริงๆ ก็เป็นเรื่องที่รู้สึกว่าตัวเองจะฝึกอ่อนโยนกับฝันให้มากขึ้น ยุงย้ำว่า ความฝันคือความพยายามในการสื่อสารของจิตไร้สำนึก สู่จิตสำนึก ... จิตไร้สำนึกอันกว้างใหญ่ไพศาลประหนึ่งมหาสมุทร ขณะที่จิตสำนึกนั้นอาจเปรียบได้เพียงน้ำหยดเดียว หากเราใช้ชีวิตจำกัด รับรู้อยู่ในขอบเขตเพียงเท่าที่จิตสำนึกบอกเรา ปิดกั้นเพียงแค่นั้น ชีวิตเราก็คงจะคับแคบ อึดอัดและน่าเวทนานัก เราคงไม่อาจจะตอบคำถามที่มีความหมายอย่างเช่น เกิดมาทำไม หรือในแต่ละขณะ แต่ละสภาวะของของชีวิต ก็ไม่รู้ว่าทำอย่างที่ทำไปทำไม เพื่ออะไร ...<br /><br />การ อ่อนโยนกับความฝันในทางปฏิบัติซึ่งเมบอกเล่าได้ตอนนี้ก็คือการที่จิตสำนึก รับรู้ จดจำความฝันให้ได้ก่อน (จิตไร้สำนึกพยายามสื่อสารตลอดเวลาเพียงแต่เราไม่เปิดรับฟังเท่านั้นเอง) ไม่ว่าจะเป็นฝันกลางวันหรือหลับฝันตอนกลางคืน <br />สอง จำได้แล้วก็อย่าพึ่งไปตัดสินว่าเป็นฝันดีหรือฝันร้าย (การด่วนสรุปตีความเร็วๆ อาจจะทำให้ละเลยรายเอียดที่สำคัญๆ บางประการไป ค่อยๆ อ่านค่อยๆ เคี้ยวให้กระบวนการย่อยฝันเป็นไปอย่างละเมียดละมัย)<br />สาม (อันนี้ส่วนตัว เป็นการบอกตัวเองมากกว่า) การตื่นขึ้นในฝัน ด้วยความหึกเหิม ก้าวร้าวว่า ถือว่าตัวสามารถควบคุมความเป็นไป สิ่งแวดล้อมต่างๆ ในฝันได้ ก็อาจจะไม่ใช่ความอ่อนโยน ไม่เคารพในสารจากจิตไร้สำนึกเพียงพอ การสื่อสารอาจหยุดลงหรือชะลอลงได้<br /><br />ตอนหนึ่งที่ยุงเล่า เขาได้พบกับครูที่มาในความฝัน เขารู้อย่างชัดเจนว่าครูไม่ได้ "เป็น" หรือ "มาจาก" การสร้างแห่งจิตของเขา เขาน้อมให้ครูเพราะ "สำนึก" ว่าครูไม่ใช่เขา (อย่างไรก็ตามขอละไว้ในฐานที่ไม่รู้ว่าครูอาจจะมาจากหรือเชื่อมโยงอย่างแนบ แน่นกับระดับไร้สำนึกหรือไม่?)<br />บุคคลิกภาพของคนไข้จิตเภทที่อยู่ในความ ดูแลของยุงก็สอดแทรกเข้ามา "เป็น" ตัวเขาเป็นครั้งคราว ยุงรู้ว่านั่นไม่ใช่ตัวเขา ไม่ใช่ความคิดและบุคคลิกภาพของเขาเลย แต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธ หรือตอบรับทันทีทันใดได้ ต้องอาศัยเวลาในการที่จะค่อยๆ สอดบรรสาน ประหนึ่งค่อยๆ ถักทอจนเป็นเนื้อเดียวมากกว่าที่ทาบเข้ามาทั้งผืน ... นั่นอาจเป็นเหตุให้การบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการปรากฏของครู กับการสอดแทรกทางบุคลิกภาพของคนไข้นั้นมีความต่างอย่างชัดเจนทีเดียว<br /><br />ความฝันของยุงซึ่งเขาตีความว่า บุคคลิกภาพหมายเลขหนึ่ง (บุคคลิกภาพที่ชัดเจนที่สุดของเขา) เฝ้าประคองเทียนแห่ง "จิตสำนึก" เพราะมีเพียงแสงจากเทียนเล่มน้อยนี้เท่านั้น ที่จะส่องให้เห็นว่าเงาของเราเองไม่ใช่ปีศาจร้ายที่ไหน.....<br /><br />แล้วก็มาถง "หอคอย" ... เป็นข้อเขียนที่งดงามโดยแท้จริง ช่วงชีวิตวัยหลังเกษียรณ ของคาร์ล ยุง<br /><br />เขาสร้างหอคอยหินขึ้นมาท่ามกลางมวลหมู่แมกไม้และสารธาร หอคอยแห่งนี้ไม่มีไฟฟ้า น้ำประปา หรือเครื่องมื่อสื่อสารใดๆ ยุงบอกว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ รบกวนวิญญาณบรรพชน ยุงบรรยายเสมือนหนึ่งว่าเขาได้อัญเชิญจิตวิญญาณบรรพชนทั้งมวลมาหลอมรวมกัน ไว้ หอคอยถูกสร้างขึ้นหลังจากที่แม่เสียชีวิตไปได้สองเดือน ค่อยๆ สร้าง ค่อยๆ ทำ แกะสลักหิน ก่อประกอบ ตัดฟื้น แบกน้ำ หุงหาอาหาร ด้วยมือของเขาเอง<br /><br />ขณะ เดียวกันก็ศึกษา ค้นคว้า เรื่องราวบรรพชน และพบว่าความ"เป็น" เนื้อเป็นตัวของท่านทั้งหลายล้วนถูกสืบสานอยู่ในตัวเขา เขากำลังทำงานที่บรรพชนส่งทอดสืบต่อกันมา ไม่มีอะไรที่เป็นของเขาเด็ดขาด เบ็ดเส็ด อย่างความสามารถในการแกะสลักหิน ก็พบว่ามันอยู่ในเลือดเนื้อของปู่ผู้สร้างตราประจำตระกูลขึ้นมาใหม่ หรือกระทั่งความเป็นแพทย์ก็อยู่ในรุ่นก่อนทวดซึ่งมีชื่อเดียวกับเขา "ดร.คาร์ล ยุง" และอีกคนหนึ่งที่ประวัติสูญหายไป ซิกมุนด์ ยุง ... จนกระทั่งถึงพ่อกับแม่<br /><br />อ่านแล้วทึ่งมาก เป็นสายธารที่สืบเนื่องมา กว่าจะเป็นคาร์ล กุสตาฟ ยุง คนนี้<br /><br />แรก ทีเดียวเขาสร้างหอคอยอยู่กับครอบครัว แต่หลังจากที่ภรรยาเสียชีวิตไป เขาอยู่คนเดียวเป็นส่วนใหญ่ (ลูกสาวยุงบอกว่า พ่ออยู่ที่นั่นได้อย่างไร มีแต่โครงกระดูทั้งนั้น...ยุงบอกว่าลูกสาวคนนี้มีญาณพิเศษ ด้วยเธอไม่เคยรู้เรื่องราวอะไรก่อนหน้า แต่พอขุดลงไปก็พบเจอซากโครงกระดูกของทหารฝรั่งเศสมากมายอยู่ใต้ดินรอบๆ บริเวณแห่งนั้น) และยุงก็ยังบอกด้วยว่าเขาฝากจิตวิญญาณ งานแห่งชีวิต ไว้กับหิน... อื่ม... นึกถึงชื่อ ดร.สโตน ขึ้นมาเลย..<br /><br />ครั้งหนึ่งที่ยุงเล่าเรื่องตอนที่เขาป่วย หัวใจวาย ขาหัก เข้าโรงพยาบาล ขณะที่กำลังจะเข้าสู่ความตาย เขาเกิดนิมิตว่า ไปลอยอยู่นอกโลก แต่ก็ไม่ไกลขนาดที่จะเห็นโลกทั้งใบ เขาเห็นเพียงส่วนโค้งของทรงกลม แล้วบรรยายถึงความงาม แสงสีฟ้าของทะเล สีแดงของทะเลทราย ... งดงาม แจ่มกระจ่าง... แล้วเขาก็เห็นมีก้อนหินขนาดใหญ่ลอยผ่านมา ก้อนหินนั้นมีลักษณะคล้ายอุกาบาต แต่ทว่าเมื่อมองใกล้ๆ กับกลายเป็นประหนึ่งวิหาร มีนักพรตฮินดู ห่มขาว นั่งสมาธิอยู่ภายใน แต่พอเข้าผ่านเข้าไป การผ่านเข้าไปนั้นเป็นประหนึ่งการลอกคราบอันเจ็บปวด ความสัมพันธ์กับโลกทั้งมวลขาดสะบั้นลง .. ภายใน เขาได้พบกับรูปปรากฏของหมอเอช(หมอที่ดูแลอาการป่วยของยุงอยู่) ในภาพกษัตริย์สมมุติเทพ มาบอกให้เขากลับไป เพราะงานของเขามีความสำคัญมาก หมอยอมแลกและพร้อมที่ไปแทนเขา...<br /><br />เมื่อยุงฟื้นคืนกลับมา เขารู้สึกขาดจากโลก ความเจ็บปวดในการลอกคราบตอนละโลก กลายเป็นความสูญเปล่า ยุงต้องกลับมาอีก เขาบอกหมอเอชทันทีที่เจอว่าให้หมอระวังตัว เพราะหมอจะต้องตาย ด้วยจิตไร้สำนึกของหมอได้พบกับเขาแล้ว หากจิตสำนึกของหมอยังไม่อาจเชื่อมโยงหรือรับรู้ในเรื่องดังกล่าว หมอเอชไม่เข้าใจคิดว่าเพ้อเพราะพิษไข้ แล้วหมอก็จากไปจริงอย่างปัจจุบันทันด่วนในวันแรกที่ยุงลุกขึ้นนั่งบนเตียงคน ป่วยได้เอง<br /><br />วันนี้แชร์กับน้องๆ หิ่งห้อยไปหลังจากเล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า จิตสำนึกที่ไม่อาจเชื่อมโยงกับจิตไร้สำนึกนั้นถูกดับได้ในบัดดล ด้วยจิตสำนึก แสงเทียนอันริบหรี่ที่ถูกจุดขึ้นมานั้นก็เพื่อรับรู้ ส่องแสง ให้ "เขา" (จิตไร้สำนึก?) ได้เห็นและรู้ตัวของเขาเอง เขาทรงพลังอำนาจเกินกว่าที่จิตสำนึกอันน้อยนิดจะจินตนาการได้ เขาเป็นเหตุแห่งการเกิด การดำรงอยู่ และสอดแทรกติดต่ออยู่เสมอ ในหลายๆ ครั้งที่ยุงย้ำว่าความขัดแย้งระดับต่างๆ ของจิตสำนึกกับจิตไร้สำนึก ส่งผลให้เขาเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาได้ในบท "การเดินทาง"<br /><br />แล้วก็ถือส่วนของปัจฉิมพินิจชื่อ "หวนคำนึง" ให้ใหญ่ฟังตอนห้าทุ่ม ชอบบทนี้มาก ด้วยยุงเปิดใจอย่างจริงแท้ ทั้งได้ความรู้สึกลึกๆ ของเขา ยุงผู้โดดเดี่ยว ...จบบทนี้แล้วตามด้วยจดหมายของฟรอยด์ถึงยุง ยิ่งซาบซึ้งนัก ฟรอยด์รับยุงเป็นบุตรบุญธรรมและแต่งตั้งให้เขาเป็น "มงกุฎราชกุมารทางความคิด ทางจิตวิญญาณ" แต่ยุงกลับบอกว่า เขาจะไม่ใช้ชีวิตเป็นกำแพงปกป้องความไม่รู้ของใครหรือผู้ใดทั้งนั้น<br /><br />ในหวนคำนึง ยุงยอมรับว่าเขานั้นโดดเดี่ยว "ข้าพเจ้าได้ทำให้ผู้คนขัดเคืองใจเป็นจำนวนไม่น้อย เพราะในทันทีที่พบว่า พวกเขามิได้เข้าใจ ข้าพเจ้าก็จะเลิกใส่ใจทันที ข้าพเจ้าจำเป็นต้องรุดหน้าต่อไป และหาได้มีความอดทนกับผู้คนไม่ นอกจากคนไข้ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจำเป็นจะต้องเคารพกฏเกณฑ์ภายในซึ่งดำรงอยู่และไม่เปิดโอกาสให้มี เสรีภาพที่จะเลือก แม้ว่าจะมิได้เชื่อฟังทุกครั้งก็ตาม เพราะเราจะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความไม่คงเส้นคงวาได้อย่างไรกัน" ... (ยุงเรียกว่า "ความไม่คงเส้นคงวาอันศักดิ์สิทธิ์") ... "สำหรับคนบางคนแล้ว ข้าพเจ้ามักจะอยู่ร่วมด้วยและสนิทสนมใกล้ชิดกับเขานานตราบเท่าที่เขายัง สัมพันธ์กับโลกภายในของข้าพเจ้า แต่แล้วข้าพเจ้าก็อาจมิได้ดำรงอยู่กับเขาอีกต่อไป ด้วยเหตุที่ไม่มีจุดเชื่อมโยงระหว่างเราเหลืออยู่อีก"....<br /><br />ยุงพูด คล้ายกับว่า หากความเชื่อมโยงภายในลึกๆ ระดับไร้สำนึกดำรงอยู่ ความแปลกแยกแตกต่างก็จะเป็นเพียง "บุคคลิกภาพแห่งปัจเจก" แต่หากความเชื่อมโยงภายในระดับไร้สำนึกไม่ดำรงอยู่แล้ว นั่นเป็นการเปิดพื้นที่ให้แก่ "อัตตา"<br /><br />ในวัยเยาว์ ยุงรู้สึกว่าเขาค่อยๆ แบ่งแยกจากบรรดาพืชพรรณ ส่ำสัตว์ เมฆหมอกควัน และวันคืนเพื่อเข้าหาความเป็นตัวเองอย่างช้าๆ ตรงกันข้ามกับวัยชราซึ่งยุงบอกว่า "ยิ่งข้าพเจ้าไม่แน่ใจในตนเองเพียงใด ความรู้สึกสนิทสนมชิดเชื้อกับสรรพสิ่งก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเพียงนั้น อันที่จริงแล้ว ดูเหมือนว่าความแปลกแยกซึ่งกั้นขวางข้าพเจ้าออกจากโลก ได้โยกย้ายแปรเปลี่ยนเข้ามาสู่โลกภายใน และได้เผยให้ข้าพเจ้าเห็นถึงความแปลกแยกกับตนเองอย่างคาดไม่ถึง"......<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKyFhyphenhyphennssCru733fKnYvEQXnSPZv5Wh0LIV4S3pSXILuTQoI8_VcNoZqh3frKS5kJYH5wkypqFq-s3bCJjMQgBl1LXGIOKvlBKaFtLlOz44vpW9dVKDoYONb4ijsTqSKKIDjvJDtf0gsle/s1600-h/Jungmandala.jpg"><img style="cursor:pointer; cursor:hand;width: 198px; height: 200px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKyFhyphenhyphennssCru733fKnYvEQXnSPZv5Wh0LIV4S3pSXILuTQoI8_VcNoZqh3frKS5kJYH5wkypqFq-s3bCJjMQgBl1LXGIOKvlBKaFtLlOz44vpW9dVKDoYONb4ijsTqSKKIDjvJDtf0gsle/s200/Jungmandala.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5321447373074413122" /></a><br />แม่แบบแห่งปัจเจกภาพ .. มณฑลอันศักดิ์สิทธิ์เมธาวี เลิศรัตนาhttp://www.blogger.com/profile/08911828304642179150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4480254480839686156.post-56524992857549317602009-02-03T20:28:00.000-08:002009-02-03T23:55:22.512-08:00sum over historiesผลรวมของอดีต อันรวมศักยภาพความเป็นไปได้ทั้งหมดทั้งมวล The sum over all possibilities and sum over histories: The path integral formulation of quantum theory<br /><br />พื้นฐานความแตกต่างระหว่างฟิสิกส์คลาสิกกับควอนตัมฟิสิกส์ก็คือความจริงที่ว่า ในโลกควอนตัมนั้น การคาดการณ์อันเที่ยงแท้แน่นอนเป็นเพียง “ความน่าจะเป็น, ศักยภาพของความเป็นไปได้”<br />ตัวอย่างเช่น อนุภาคซึ่งออกจากเวลา A (tA) –time A ซึ่งมีตำแหน่ง ณ จุด A จะเดินทางไปยังจุด B ในเวลา B (tB) –time B<br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHA6PBy6VjylHVig29rMQ6KoxZADk0fjgdLvpYmf_0-YKJpLQwSe65PFmZfnE4SSoANs4tCfFvwO9BlcO_DPizc0bQiHNwrsc7nRHkZk_dGnfrX0Zl_NZTfrtj6bXWksCDhoGlwAj6zRfV/s1600-h/pfad1.png"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 127px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHA6PBy6VjylHVig29rMQ6KoxZADk0fjgdLvpYmf_0-YKJpLQwSe65PFmZfnE4SSoANs4tCfFvwO9BlcO_DPizc0bQiHNwrsc7nRHkZk_dGnfrX0Zl_NZTfrtj6bXWksCDhoGlwAj6zRfV/s320/pfad1.png" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5298796022738570850" /></a><br />อนุภาคเดินทางจุด A ไป B<br /><br />ในฟิสิกส์คลาสิกนั้นเราจะให้คำตอบที่แน่นอนได้ โดยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขชั้นต้นของอนุภาคอย่าง อัตราความเร็วและแรงขับเคลื่อน แต่คำตอบกลับเป็นไปได้ทั้ง “ใช่” และ “ไม่ใช่” ในทางควอนตัม มันเป็นเพียงแค่ศักยภาพความเป็นไปได้ที่อนุภาคในคำถามนั้นจะถูกตรวจพบ (ถูกสังเกต) ณ ตำแหน่ง B ในเวลา tB<br /><br />รูปฟอร์มที่สมบูรณ์ (ใช้การได้) ได้ถูกคิดค้นขึ้นโดยนักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน ริชาร์ด ฟายน์แมน เป็นเครื่องมือในการคำนวณศักยภาพความเป็นไปได้ของ กลศาสตร์ควอนตัม สูตรของฟายน์แมนถูก ประยุกต์กับการเดินทางของอนุภาคจาก A ไป B ดังต่อไปนี้<br /><br />ขั้นที่ 1: ไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดที่อนุภาคจะเดินทางจากจุด A ไปยัง B ไม่เพียงแต่ในความเป็นเส้นตรงที่น่าเบื่อหน่ายเท่านั้น แต่มันยังมีความเป็นไปได้ที่จะหมุนวนกลับเป็นวงและวิ่งไปทุกทิศทางเบี่ยงเบนไปโดยรอบด้วย<br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhjMSTL-g__RND9LKfx7qp9fpS-ku1M7Y9Hwvrd0EhNsyCjln-2CBu4HucY9fctMrVlK3Uf4oelpDZl_qdHli4Opmv9ACtcF3NXn91j9pk7Q1o9jwVqbxyNY4X6GVj2OpflapMxlhb8QRaM/s1600-h/pfad2.png"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 127px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhjMSTL-g__RND9LKfx7qp9fpS-ku1M7Y9Hwvrd0EhNsyCjln-2CBu4HucY9fctMrVlK3Uf4oelpDZl_qdHli4Opmv9ACtcF3NXn91j9pk7Q1o9jwVqbxyNY4X6GVj2OpflapMxlhb8QRaM/s320/pfad2.png" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5298796382679171010" /></a><br />อนุภาคเดินทางจาก A ไป B ตามหนทางอันแตกต่างหลากหลาย<br /><br />ภาพวาดแสดงซึ่งหนทางที่อนุภาคเลือก มันแสดงให้เห็นหกรูปแบบและอีกอเนกอนันต์ ของความเป็นไปได้ (ยังไม่แสดงถึงการไปเยี่ยมนิวยอร์ก อูลันบาตอร์ ดวงจันทร์ หรือกาแลคซี่ แอนโดรเมดร้า) ก่อนที่มันจะมาถึงเป้าหมายปลายทางของมัน ที่สุดท้ายซึ่งไม่ใช่ท้ายที่สุด มันไม่เคยหยุดให้ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการเคลืี่อน ที่เลย ตอนแรกอนุภาคเคลื่อนที่เป็นแนวโค้ง ซึ่งอาจจะเดินทางเร็วมาก (หันมองตามก็อาจจะคอหักตายได้) หรืออาจช้ายิ่งกว่า หอยทากคืบคลาน หรือในอีกทางหนึ่ง ทางอื่นๆ ซึ่งต่างอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นอนันต์ของความเป็นไปได้อื่นๆ จากในขั้นแรกไปสู่ทุกๆ หนทางจาก A ไป B ไม่ว่าจะประหลาดล้ำลึกสักแค่ไหนเราก็อาจจะได้เห็น<br /><br />ขั้นที่สอง คือเชื่อมโยงกับแต่ละความเป็นไปได้เหล่านี้ (ไม่เฉพาะแค่จำนวนที่เราเรียนในโรงเรียน แต่เรายังไม่มีอารมณ์กับความแตกต่างเหล่านั้นในตอนนี้) ในที่สุดจำนวนก็ถูกเชื่อมต่อ กับความเป็นไปได้ (ที่เราต่อเข้าไป) บ้างก็ผ่าน บ้างก็หักล้างกัน บ้างก็เพิ่มขึ้น (ผู้อ่านอาจนึกถึงคลื่นที่เคลื่อนไปถูกช่องทางแล้ว มันคือตัวอย่างของปรากฏการณ์การสอดแทรก) ผลรวมบอกเราถึงความน่าจะเป็นในการสังเกตอนุภาคซึ่งถูกส่งออกจากจุด A ไปยัง จุด B ในเวลาเฉพาะเจาะจงหนึ่ง นักฟิสิกส์เรียกว่าเป็นผลรวมของความเป็นไปได้ทั้งหมดทั้งมวล หรือผลรวมทั้งหมดของอดีต<br /><br />อย่างไรก็ตาม การคำนวนเส้นทางทั้งหมดอาจจะเป็นเหมือนมายากล ดังตัวอย่างการนำฟิสิกส์อนุภาค มาจากการรวมกันของทฤษฎีควอนตัมกับสัมพันธภาพพิเศษ การรวมแนวทางสำคัญ เพื่อคำนวนหาความเป็นไปได้ของการส่งผลซึ่งกันและกันของอนุภาค ในเส้นทางที่วางไว้ให้ แต่ถูกตรวจจับได้ ทั้งมีความเป็นระเบียบพอที่จะคำนวน ซึ่งจำเป็น ต้องอาศัยมายากลทางคณิตศาสตร์ ทุกๆ แห่งซึ่งมีสูตรฟายน์แมนจะต้องมีพิกัดเวลา (t) อยู่ด้วย <br />และ t นี้ก็มีส่วนประกอบรวมคือ i ที่เรียกว่าเป็นหน่วยจิตนาการ (imaginary unit) คือสัญลักษณ์ทางพีชคณิตซึ่งจำกัดความโดยยกกำลังสองลบหนึ่ง (ผลของ i.t เรียกว่า เวลาในจิตนาการ “imaginary time”) <br /><br />การแทนที่ดังกล่าวดูจะไม่ค่อยเป็นธรรมชาติและไม่น่าเป็นไปได้ แต่มันก็กลับเป็นความสอดคล้อง ที่จะเปลี่ยนพิกัดเวลาไปสู่อีกความเป็นอื่นของพิกัดตำแหน่ง ความจริงที่เกิดขึ้นก็คือสูตรฟายน์แมน สามารถให้คำตอบที่ถูกต้อง ได้รับการพิสูจน์อย่างแน่ชัดแล้วโดยสองนักฟิสิกส์คณิตศาสตร์ Konard Osterwalder จากสวิสเซอร์แลนด์และ Rober Schrader จากเยอรมัน พวกเขาได้ทำการพิสูจน์ทฤษฎี โดยแสดงให้เห็นถึงว่าคุณสมบัติของทฤษฎีควอนตัมและสัมพันธภาพสามารถร่วมกันโดยใช้<br />สูตรฟายน์แมน บนเวลาในจินตนาการหวลมามองกาลอวกาศเดิม<br /><br />แนวทางการหลอมรวม เป็นประหนึ่งการกลิ้งไปบนทฤษฏีที่แข่งขันกันของ แรงโน้มถ่วงควอนตัม ในทฤษฎีสตริงค์นำเสนอความเป็นไปได้ของการให้ การปฏิสัมพันธ์แบบสตริงค์ สามารถนำมาคำนวนเป็นการรวมหนทาง รวมความเป็นไปได้ทั้งหมดที่สตริงค์สามารถ เคลื่อนไหวผ่านทะลุมิติหลายของกาลอวกาศ ผลรวมความเป็นไปได้ทั้งหมดทั้งมวล ซึ่งสตริงค์สามารถปรับเปลี่ยนรูปทรงและการสั่นส่าย<br /><br />ดังนั้น ในบริบทของจักรวาลควอนตัม บางข้อเสนอสำหรับคำถามที่ว่าจักรวาลจะมีจุดเริ่มต้นอย่างไร (โดยรวมเงื่อนไขแรกเริ่มของมันไว้ด้วย) สูตรถูกนำมาใช้รวมหนทางความเป็นไปได้ ทั้งร่วมอยู่และปราศจากปัจจัยปริศนา i ในโครงงานนี้ ความเป็นไปได้ของวิวัฒนาการแห่งจักรวาล สู่ผลลัพธ์ที่แน่นอนซึ่งมาจากการความอาจเป็นไปได้ทั้งหมดของเส้นทางการวิวัฒน์ จากอดีต เงื่อนไขแรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การคำนวนขั้นพื้่นฐานสำหรับ การรวมเข้าด้วยกันของแนวทางอยู่ที่ความโค้งของกาลอวกาศแห่งสัมพันธภาพทั่วไป ได้มาเล่นบทนำสู่ปริศนานั้น แล้วก็เช่นเดียวกับที่ผ่านมา เรายังไม่อาจคลี่คลายได้โดยสมบูรณ์<br /><br /><span style="font-weight:bold;">นั่งแปลบทความนี้จาก ไอน์สไตน์ออนไลน์ แล้วก็ไปสะดุดตรง “เวลาในจินตนาการ”<br />หวนคิดไปถึงเรื่องที่ไบรอัน กรีน เคยบันทึกไว้ว่า “ในทางฟิสิกส์ ปัจจุบันไม่มีอยู่จริง” โดยเขายกตัวอย่างว่าปัจจุบันของคนๆ หนึ่งบนโลกใบนี้ กับปัจจุบันของคนอีกคนหนึ่ง (หากมีอยู่จริง) บนดวงดาวที่ห่างจากโลกนี้ไปไกลสักร้อยปีแสง ปัจจุบันอาจจะดำรงอยู่จริง!!! เอาล่ะนะ ทั้งสองคนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกัน และระลึกรู้พร้อมกันว่านี่คือปัจจุบันของเราทั้งคู่ แต่เมื่อใดก็ตามที่เพื่อนต่างดาวลุกขึ้นแล้วเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่เข้าหาโลก เขาก็จะมองเห็นโลกในอนาคต (ร้อยปีข้างหน้า) หรือหากเขาเคลื่อนที่ในทิศทางที่ตรงกันข้าม แล้วมองมา เขาก็จะเห็นอดีตของโลกเมื่อร้อยปีที่แล้ว <br /><br />“i” แทนเวลาในจินตนาการที่มิสเตอร์ฟายน์แมน ใส่ลงไปในสูตรของเขาทำให้เราสามารถ ตรวจวัดตำแหน่งของอนุภาคในกาลอวกาศได้ <br /><br />แล้วการฝึก “อยู่กับปัจจุบันขณะ” ของนักฝึกจิตเล่าอยู่บนฐานความเชื่อไหนกัน???<br /><br />เมื่อปัจจุบัน ไม่มีอยู่จริง การฝึกอยู่กับปัจจุบันจึงเป็นประหนึ่งการใส่ i ลงไปในสูตรฟายน์แมนรึเปล่า? เราดำรงอยู่ในปัจจุบันนั้นเป็นการ “หยุด” เพื่อที่จะ “รู้” ตำแหน่งแห่งที่ในกาลอวกาศซึ่งไหลเลื่อนเคลื่อนที่อยู่ตลอดใช่หรือไม่?<br /><br />ทุกครั้งที่เรามองย้อนเข้าไปสำรวจอดีต เราได้ collapsed ให้ปรากฏเพียงเส้นทางเดียว เป็นตามที่มันเป็นมาและจะเป็นต่อไป การ collapsed อดีตก็คือการ collapsed คลื่นความเป็นไปได้ในอนาคต กำหนดให้เหลือเพียงความเป็นไปได้หนึ่งเดียวเท่านั้นด้วยกระมัง?<br /><br />หากเราสามารถรวมความเป็นไปได้ทั้งหมดของอดีต (sum over histories) โดยเริ่มจากการกลับไปสำรวจอดีตในฐานะของ observer นักสังเกต ผู้เฝ้าดู ซึ่งไม่ใช่เป็นแค่เพียงตัวเรา เป็นแค่เด็กชายเด็กหญิงคนหนึ่งที่เคย ให้ความหมายกับอดีต ตามที่เป็นมา เราก็อาจจะเริ่มเห็นความเป็นไปได้ของอดีตในด้านอื่นๆ ซึ่งจะส่งผลเปิดให้กับคลื่นความเป็นไปได้ แห่งอนาคตใหม่ๆ อันอาจโผล่ปรากฏ<br /><br />ศักยภาพความเป็นไปได้แห่งอนาคตจะโผล่ปรากฏขึ้นก็ต่อเมื่อเราสามารถรวมความคลื่นความเป็นไปได้ ของอดีต อนาคตจะเปลี่ยน เมื่ออดีตเปลี่ยน โดยเริ่มจาก “หยุด” แล้วหวนกลับไปดูใหม่ด้วยสายตาของนักสังเกตจากปัจจุบันนั้นเอง<br /></span><br /><object width="425" height="344"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/_B0Kaf7xYMk&hl=en&fs=1"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/_B0Kaf7xYMk&hl=en&fs=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="212" height="172"></embed></object>เมธาวี เลิศรัตนาhttp://www.blogger.com/profile/08911828304642179150noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-4480254480839686156.post-91206013590748706962009-01-11T23:51:00.000-08:002009-01-13T00:18:24.910-08:00Double Slit Experiment<object width="425" height="344"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/DfPeprQ7oGc&hl=en&fs=1"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/DfPeprQ7oGc&hl=en&fs=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="262" height="222"></embed></object><br /><br /><br />หลายปีมาแล้วที่พ่อ (หมอประสาน ต่างใจ) พยายามอธิบายเกี่ยวกับการทดลองอันลือลั่น “duble slit experiment” นี้ให้ลูกฟัง แล้วสรุปสั้นๆ ว่า อิเลคตรอน โฟตอน หรืออนุภาคนั้นมันเป็นอะไรก็ได้ เป็นคลื่นหรือเป็นอนุภาคก็ได้ ขึ้นอยู่กับการสังเกต ซึ่งลูกก็นำไปโยงใย (ตามระบบเครือข่ายประสาทในสมอง) กับกฏข้อสำคัญทางควอนตัมที่กล่าวว่า “ผู้สังเกตกับสิ่งที่ถูกสังเกตคือหนึ่งเดียวอย่างไม่อาจแบ่งแยกได้” <br /><br />วันนี้ Fred Alan Wolf, Ph.D. หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์กลุ่ม What the Bleep!? ในนาม Dr. Quantum ได้สร้างสื่อในรูปแบบการ์ตูน ทั้งหนังสือและวีดีโอ ดังที่ได้แนบมาให้ชมพร้อมกันไปนี้ ทำให้การทดลองดังกล่าวถูกเผยแพร่ให้ประชาชนคนธรรมดาทั่วไปได้สัมผัส ควอนตัมฟิสิกส์อย่าง “เห็นภาพ” เข้าใจได้ว่าในโลกควอนตัมนั้นอนุภาคไม่ได้เป็นสสารแข็งตันอย่างลูกหิน ทั้งมันยังทรงคุณสมบัติของความเป็นคลื่น คลื่น-อนุภาค ความเป็นสองในหนึ่งเดียวอีกด้วย<br /><br />ยิ่งไปกว่านั้น ความซับซ้อนของการทดลองนี้ยังมีต่อๆ ไป เสมือนหนึ่งจะไร้ขอบเขตเลยทีเดียว แต่ ณ ที่นี้ ผู้เขียนขอแบ่งความซับซ้อน ออกเป็นข้อใหญ่สองข้อคือหนึ่ง “การสังเกตของเราได้เข้าไปมีส่วนล้มคลื่นควอนตัมให้กลายเป็นอนุภาค เป็นสสาร” และสอง “เวลา” อันสัมพันธ์อย่างแยกไม่ได้กับพื้นที่ ตลอดจนมิติ สนามต่างๆ <br /><br />พูดอย่างนี้ก็คงจะนึกภาพตามลำบากอยู่ดี เอาเป็นว่าหลังจากที่ได้ดูการ์ตูน ดร. ควอนตัมนี้แล้ว ก็ขอให้จินตนาการต่อไป ว่านักฟิสิกส์ได้พยายามทุกวิถีทางที่จะหลอกอนุภาค อย่างเช่น เมื่อมีการสังเกต ตรวจจับทิศทางการวิ่งของมัน มันจะแสดงตัวเป็นอนุภาคให้เราเห็นที่ฉากรับ แต่หากเราไม่สังเกตไม่ถูกตรวจสอบข้อมูลมันก็จะปรากฏเป็นคลื่น ไม่ว่าเครื่องตรวจวัดจะถูกติดตั้งก่อนหรือหลังจากที่อนุภาคจะถูกปล่อยออกมาจากเครื่องยิง มันก็จะมีพฤติกรรมประหนึ่ง “รู้” อยู่แล้วว่าจะถูกสังเกตหรือไม่เสมอ กระทั่งเมื่อนักฟิสิกส์ไปติดตั้งเครื่องมือลบข้อมูล (ที่ได้จากการสังเกต) ก่อนที่มันจะถึงฉากหลังเพียงนิดเดียว นั่นเหมือนกับว่ามันสบายใจที่ข้อมูลถูกลบไปแล้ว แสดงพฤติกรรมเป็นคลื่นในทันที (ทั้งที่ตลอดเส้นทางที่ถูกตรวจวัด มันเป็นอนุภาคมาตลอด) หรือเมื่อนักฟิสิกส์แยกโฟตอนออกเป็นสอง แล้วสังเกตคู่ของมัน โดยที่ไม่ได้ไปยุ่งกับอีกตัวหนึ่งเลย มันทั้งสองก็ยังแสดงพฤติกรรมเป็นอนุภาคเหมือนกันทันที นั่นแสดงว่านอกจากมันจะ “รู้” แล้ว มันยังสื่อสารถึงกันโดยฉับพลันอีกด้วย<br /><br />หลังจากที่นักฟิสิกส์ได้พยายามหลอกอนุภาคอย่างสุดความสามารถ นอกจากมันจะไม่เคยถูกหลอก แล้วมันยังทำประหนึ่งว่าเราหลอกตัวเองซะอย่างนั้นแหละ ก็ลองคิดดูสิ หากอนุภาคโฟตอนไม่ได้ถูกยิงออกมาจากเครื่องยิง แต่มันถูกส่งมาไกลสักพันปีแสงเดินทางผ่านอวกาศอันไกลโพ้นมาถึงโลก แล้วมีเราเป็นผู้สังเกต แล้วคลื่นก็ล้มให้เราเห็นมันเป็นอนุภาคเป็นสสาร ซึ่งไม่ว่าเราจะไปดักจับมันตรวจ แล้วดักลบข้อมูลที่ตรวจได้ สักกี่ครั้งกี่หน ผลก็ออกเหมือนเดิมว่าอนุภาคนั้น “รู้ตัว” ตั้งแต่ก่อนที่มันจะออกเดินทางแล้วว่าในท้ายสุด มันจะแสดงพฤติกรรมเป็นอะไร จะมีใครมาดักสังเกต ดักลบข้อมูลการสังเกต มันอยู่รึเปล่า <br /><br />มีอะไรจะพิสดาร เจ้าเล่ห์แสนกล แปลกประหลาดไปกว่าการสังเกต การรับรู้ ของเราอีกไหมนี่? <br /><br />การสังเกตตรวจวัดจะทำให้อดีตเหลือเพียงความเป็นไปได้หนึ่งเดียวเท่านั้น และผลการตรวจวัดได้กลายเป็นตัวกำหนดเส้นทางการเคลื่อนที่ของอนุภาค(โฟตอน)ไปโดยปริยาย ทำให้มีอดีตเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นไปแล้วถูกนำมาพิจารณา โอกาสที่จะเกิดการสอดแทรก (อันเป็นคุณสมบัติของคลื่น) ได้ถูกทำลายไป นั่นคืออดีตทีี่เปี่ยมศักยภาพความเป็นไปได้ทั้งหมดทั้งมวลถูกตัดแต่ง<br />จากสามัญสำนึกการรับรู้ของเราที่บอกเราว่า มันจะมีเพียงเส้นทางเดียวเท่านั้นที่อนุภาคหนึ่งตัวจะเคลื่อนผ่านไปได้ ณ ขณะหนึ่ง<br /><br />แล้วก็มาถึงเรื่อง <span style="font-weight:bold;">sum over histories</span> ของริชาร์ด ฟายน์แมน (Richard Feynman) ยอดมนุษย์อัจฉริยะเจ้าของสูตรรวมอดีต (ผลรวมของคลื่นความเป็นไปได้ทั้งหมดของอดีตจาก จุด A-B) อันเป็นสูตรการคำนวณที่ใช้การได้กับพฤติกรรมคลื่นอนุภาคซึ่งพาเราไปพ้นทางตันของฟิสิกส์คลาสิก แต่นั่นก็เป็นการบอกเราไปพร้อมๆ กันว่ากฏเอ็นโทรปีข้อสองที่มนุษย์เราทั้งหลายคุ้นเคยอย่างอดีต ปัจจุบัน อนาคต จากการเกิดไปสู่ความเสื่อมสลายและความตาย เวลาเป็นเส้นตรงดั่งลูกศรพุ่งออกไปสู่เป้าหมายนั้นเป็นความเพี้ยนไปจากความจริงพื้นฐานของจักรวาล ... ก่อนจะคุยกันเรื่องความคิดอ่านของเขา เราไปฟังเขาเล่นบองโกในเพลง คิดถึงน้ำส้มคั้น กันก่อนดีกว่า <br /><br /><object width="425" height="344"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/HKTSaezB4p8&hl=en&fs=1"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/HKTSaezB4p8&hl=en&fs=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="212" height="172"></embed></object>เมธาวี เลิศรัตนาhttp://www.blogger.com/profile/08911828304642179150noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-4480254480839686156.post-68428382323781109772009-01-07T21:14:00.000-08:002009-01-11T20:20:39.875-08:00หลวงปู่ควอนตัม (ตอนที่ 2)<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi9bsx75FGUalGd8Gn9QNbTY2PT4myvd-7blm766rFvte31DSdvAIHgDmox-ZLw8HNOu6s1rdJHQYwugsJXqOs5yHHNSm6e15f5VBoddxSlIDreTtKud2OU-RaJMoFQOs15gA-6H8Uz9f27/s1600-h/history-universe.jpg"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 320px; height: 266px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi9bsx75FGUalGd8Gn9QNbTY2PT4myvd-7blm766rFvte31DSdvAIHgDmox-ZLw8HNOu6s1rdJHQYwugsJXqOs5yHHNSm6e15f5VBoddxSlIDreTtKud2OU-RaJMoFQOs15gA-6H8Uz9f27/s320/history-universe.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5290244915078465554" border="0" /></a><br />เมื่อมีพระเณรถามหลวงปู่ตามตำราที่ว่ามีเทวดามาชุมนุมฟังเทศน์ หรือมาเฝ้าพระพทุธเจ้าหลายสิบโกฏินั้น จะมีสถานที่บรรจุพอหรือ เสียงจะดังทั่วถึงกันหรือฯ หลวงปู่ตอบว่า <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);">“เทวดาจะมาชุมชนุมกัน จำนวนกี่ล้านโกฏิก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะในเนื้อที่หนึ่งปรมาณู เทวดาอยู่ได้ถึงแปดองค์” </span> นั่นหลวงปู่กำลังพูดถึงความจริงทางควอนตัม<br />ข้อที่ 4 <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);">ซึ่งจักรวาลควอนตัมเพิ่มจำนวนได้เป็นหลายๆ จักรวาล หรือหลายมิติ ม้วนซ้อนกันตลอดไป เป็นโลกแห่งอภิมหาสัจธรรม (super-reality world)</span> อันเป็นป่าทึบของความสัมพันธ์ของความเป็นไปได้ต่างๆ นาๆ และความเป็นไปได้แต่ละอย่างก็แยกกันอยู่ในจักรวาลหรือมิติของตนเอง เครื่องมือที่จะใช้สังเกตความเป็นไปได้ก็แยกออกไปด้วย (ระดับชั้นของความจริงที่ม้วนซ้อนสเมือนหนึ่งแยกขาดจากกัน)<br /><br />แล้วก็มีนักปฏิบัติกราบเรียนหลวงปู่ “กระผมพยายามหยุดคิด หยุดนึกให้ได้ตามที่หลวงปู่สอน แต่ไม่เป็นผลสำเร็จสักที ซ้ำยังเกิดความอึดอั้นแน่นใจ สมองมึนงง แต่กระผมก็ยังศรัทธา ว่าที่หลวงปู่สอนไว้ย่อมไม่ผิดพลาดแน่ ขอทราบอุบายวิธีต่อไปด้วยฯ หลวงปู่ตอบว่า <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);">“ก็แสดงถึงความผิดพลาดอยู่แล้ว เพราะบอกให้หยุดคิด หยุดนึก ก็กลับไปคิดที่จะหยุดคิดเสียอีกเล่า แล้วอาการหยุดจะอุบัติขึ้นได้อย่างไร จงกำจัดอวิชชาแห่งการหยุดคิด หยุดนึกเสียให้สิ้น เลิกล้มความคิดที่จะหยุดคิดเสียก็สิ้นเรื่อง”</span> เรื่องนี้สอดคล้องกันกับหัวข้อ “จับกับวาง” ซึ่งหลวงปู่กล่าวไว้ <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);">“ผู้ใดหลงใหลในตำราและอาจารย์ ผู้นั้นไม่อาจพ้นทุกข์ได้ แต่ผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้ต้องอาศัยตำราและอาจารย์เหมือนกัน”</span> ตำรา อาจารย์ ความคิด ล้วนใช้ตรรกะเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอด เรียนรู้ อันเทียบได้กับความจริงทางควอนตัมข้อที่ 5 <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);">ซึ่งบอกว่า โลกและจักรวาลไม่อยู่ภายใต้ตรรกะของเหตุปัจจัย หรือเหตุผลของมนุษย์ (The world obeys a non-human kind of logical reasoning) นักฟิสิกส์ควอนตัมจึงบอกว่า อย่าพยายามทำหรือพยายามเข้าใจฟิสิกส์แห่งยุคใหม่ตามความคิด ความรู้ที่เรามี แต่จงเปลี่ยนความรู้และความคิดที่มีให้เป็นตรรกะแห่งควอนตัม (quantum-logic) หรือตรรกะแห่งคลื่น</span><br /><br /><span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);">“สิ่งที่ปรากฏเห็นทั้งหมดนั้น ยังเป็นของภายนอกทั้งสิ้น จะนำเอามาเป็นสาระ ที่พึ่งอะไรยังไม่ได้หรอก” </span>เป็นคำของหลวงปู่เมื่อมีผู้บอกว่าตนนั้นวาสนาดี ทำวิปัสนาได้สำเร็จเห็นสวรรค์วิมาน เห็นพระจุฬามณีเจดีย์สถาน นั้นเปรียบได้กับความจริงทางควอนตัมข้อที่ 6 โลกและจักรวาลถูกสร้างขึ้นมา ด้วยส่วนขยายของอนุภาคหรือคิวออนส์ (wave-particle) ใดๆ quons คือส่วนขยายเหมือนกันทั้งหมด (The world is made of ordinary object attribute) นั่นคือไม่ใช่รูปกายวัตถุ แต่รับรู้ให้คิดว่าเป็นวัตถุด้วยพื้นฐาน ที่เป็นธรรมหรือส่วนขยายที่อยู่ในสภาพคลื่นของอนุภาคหรือคิวออนส์ พัวพันโยงใยกัน นีลส์ บอร์ห จึงกล่าวเอาไว้ว่า <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);">“วัตถุที่มีรูปกายที่เรารับรู้นั้น นอกจากจะเป็นความฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นแล้ว มันยังเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เอาเสียเลย”</span><br /><br />หลวงปู่ฝากไว้ว่า<br /><span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);">“จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย </span><br /><span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);"> ผลกันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์</span><br /><span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);"> จิตเห็นจิต เป็นมรรค</span><br /><span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);"> ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ”</span><br />เมื่อมาวางคู่กับความจริงทางควอนตัมข้อที่ 7 <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);">จิตวิญญาณสร้างความจริงแท้ </span><br /><span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);">(consciousness creates reality)</span> จากเหตุที่เราไม่สามารถตรวจจับวัดทิศทางหรือ ทำนายคุณสมบัติของคลื่นอนุภาคได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ก็เพราะว่า เครื่องมือที่ว่านั้นมนุษย์สร้างขึ้นมาจากกฏแห่งฟิสิกส์คลาสิค แต่ถ้าหากเราใช้ เครื่องมือตามธรรมชาติเช่นสมองในความสงบก็จะปรากฏขึ้นมา จากความเชื่อมโยงของส่วนขยาย นั่นจึงเป็นความจริงอีกขั้นหนึ่งที่ปรากฏขึ้น จากการสังเกต (Observation-created reality) It is no possible to formulate the laws of quantum mechanics in a fully consistent way without reference to the consciousness … in the future the very study of the external world will lead to the conclusion that the content of the consciousness is an ultimate reality.<br /><br />ครั้งหนึ่งเมื่อมีผู้ถามถึงวิธีละนิมิต หลวงปู่บอกว่า “เออ นิมิตบางอย่าง มันก็สนุกดี น่าเพลิดเพลินอยู่หรอก แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้นมันก็เสียเวลาเปล่า วิธีละได้ง่ายๆ คือ อย่าไปดูสิ่งที่ถูกเห็นเหล่านั้น <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);">“ให้ดูผู้เห็น แล้วสิ่งที่ ไม่อยากเห็นนั้นก็จะหายไปเอง”</span> กับความจริงทางควอนตัมข้อที่ 8 นั้นเป็น <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);">Heisenberg’s potentialities ที่ว่า Only phenomena are real, the world beneath phenomena is not real </span>หรือปราฏการณ์นั้นไม่ใช่เครื่องมือในการรับรู้ความจริง มีแต่จิตวิญญาณเท่านั้นที่มีคลื่นเชื่อมโยงต่อกันกับคลื่นความจริงของจักรวาลซึ่งอยู่ในสภาวะที่เปี่ยมล้นไปด้วยศักยภาพความเป็นไปได้ทั้งหมดทั้งมวล<br /><br />ตามที่ข้อเขียนนี้ได้ยกเอาความจริงทางควอนตัมทั้งแปดข้อมาเปรียบกับคำสอนของหลวงปู่นั้น ผู้เขียนรู้ดีว่าเกิดจากความ “ริอ่าน” โดยแท้ และหากการเปรียบเทียบนั้นจะเกิดประโยชน์บ้างในทาง “ความคิด” ก็ขอตั้งจิตอธิษฐานให้แปรสภาพจากความเป็นก้อน สู่ความเป็นคลื่น อันทรงคุณสมบัติไหลเลื่อนคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงเชื่อมโยงไปอย่างไร้ขอบเขต<iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.blogger.com/video.g?token=AD6v5dwsgXMe3LuENC7zbqMyMw0wnBJdRClP6Qxfxz22Eh-2YXUk627V0-zrzL3HvIBoD54XLS5lifM3RbiOu8TUog' class='b-hbp-video b-uploaded' frameborder='0'></iframe>เมธาวี เลิศรัตนาhttp://www.blogger.com/profile/08911828304642179150noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-4480254480839686156.post-39224832372603108222009-01-06T20:16:00.000-08:002009-01-08T00:33:00.069-08:00หลวงปู่ควอนตัม (ตอนที่ 1)<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjT4lsIw2Jgp-5syYeqE69G_ObMVOnsMz8p9uw5Imycsm_AzrPmabWm6ioFn8yW3uCN-8NKtOhoy7DhZjNRPpgaq86sVpV2ePSrptCs_lQBB9UgZIHnnyOUhXo0MxDDl20YDYmU2Fk2Yx-u/s1600-h/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%8C.jpg"><img style="margin: 0pt 10px 10px 0pt; float: left; cursor: pointer; width: 202px; height: 300px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjT4lsIw2Jgp-5syYeqE69G_ObMVOnsMz8p9uw5Imycsm_AzrPmabWm6ioFn8yW3uCN-8NKtOhoy7DhZjNRPpgaq86sVpV2ePSrptCs_lQBB9UgZIHnnyOUhXo0MxDDl20YDYmU2Fk2Yx-u/s320/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%8C.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5288407279588656530" border="0" /></a><br />วันนี้ตั้งแต่เช้าตื่นมาก็เปิดเจออีเมล์ของน้องชาย<br />ส่งมาเล่าเรื่องความประทับใจของเขาที่ได้มีโอกาสใกล้ชิด ประสบการณ์พิเศษ สัมผัสความสงบเย็นเกินจะบรรยายจากพระอริยสงฆ์รูปหนึ่ง แล้วพอตกบ่ายก็ได้คุยกับน้องอีกคนซึ่งเขาเคยมาเยี่ยมเยียนที่เชียงราย เมื่อสองสามปีก่อน (สมัยมูลนิธิฯ ยังอยู่ที่อิงดอยรีสอร์ท) ใน hi5 และที่ต้องเกริ่นถึงน้องคนนี้ก็เพราะเขาเป็นเหตุให้ภารกิจ ณ ปัจจุบันขณะนี้ กระจ่างชัดขึ้นมา อันเป็นประเด็นที่ทำให้ต้องมาเปิดข้อเขียน “หลวงปู่ควอนตัม” นี้ขึ้น<br /><br />น้องคนนี้เขาเคย set profile ของเขาไว้ว่า “อ่านหนังสือของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล จบแล้ว” ก็เลยทำให้สนใจอยากรู้จักเขาให้มากกว่าความรู้สึกแค่คุ้นๆ น่าตา ทำให้ไปไถ่ถามคุณใหญ่ (วิศิษฐ์ วังวิญญู) ว่าน้องเอ๋คนนี้เป็นใครกัน รายนั้นก็ตอบมาว่า “ก็เอ๋ที่อ่านเคน วิลเบอร์ ไงล่ะ” โอ้โห… คนอ่านเคน วิลเบอร์ แตกฉานบ้านเราก็มีไม่กี่คน (อ่านแตกจนคุณใหญ่จำได้) แล้วยังมา “ริอ่าน” หนังสือหลวงปู่ควอนตัมอีกแน่ะ จำเราจะต้องเข้าไปทักทายเขาเสียหน่อยแล้ว<br /><br />น้องเอ๋ชวนคุยกลับมาว่าเขาอ่าน “จิตคือพุทธะ” ที่หลวงปู่เทศน์แล้วเหมือนอ่าน A Brief History of Everything ของ เคน วิลเบอร์ หรือว่าเคนเขียนเหมือนหลวงปู่เทศน์กันแน่ ?? แล้วพี่เมมองคำสอนหลวงปู่จากมุมมองควอนตัมแล้วเป็นไง ชวนให้เล่าสู่กันฟัง…<br /><br />เมื่อนานมาแล้ว พ่อ (หมอประสาน ต่างใจ) เคยบอกไว้ว่า มีหลวงปู่… รูปหนึ่งพูดภาษาควอนตัม ลูกก็ไม่เคยได้เที่ยวไปค้นหา จนกระทั่งวันหนึ่งได้พบหนังสือ “หลวงปู่ฝากไว้” (รวบรวมบันทึกไว้โดย พระครูนันทปัญญาภรณ์) เป็นหนังสือเล่มเล็กที่บันทึกคำของหลวงปู่ เป็นบทสั้นๆ เอาไว้ ก็เลยลองพลิกๆ อ่านดู … การริอ่านโดยบังเอิญครั้งนั้นสร้างความตื่นตะลึงลาน งง ทึ่ง จนถึงรู้แจ้งกระจ่างในใจว่าหลวงปู่ดูลย์นี้ไซร้ แน่แท้ “หลวงปู่ควอนตัม” ที่พ่อบอก<br /><br />กลับไปยังประเด็นที่น้องเอ๋ตั้ง อย่างตั้งใจจะให้ไปพ้นการเปรียบเทียบแบบหยาบๆ แต่… เมื่อกลับไปพลิกดู “จักรวาลกับสัจธรรม” ซึ่งพ่อรวมความจริงทางควอนตัมเอาไว้ มาประกอบกันแล้ว ก็คงจะต้องขอเชิญคนอ่านพิจารณาหยาบ ละเอียด กันไปตามภูมิธรรมเถิด<br /><br />เริ่มจากหัวข้อ “จริง แต่ไม่จริง” ของหลวงปู่ ซึ่งตอบคำถามที่ว่าเมื่อผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐาน ทำสมาธิภาวนา เห็นนิมิตต่างๆ กันไป บ้างเห็นนรก สวรรค์ หรือไม่ก็เห็นองค์พระพุทธรูป สิ่งที่เขาเห็นเหล่านั้นเป็นจริงหรือ? หลวงปู่บอกว่า<br /><span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);">“ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง”</span> ซึ่งขอนำมาวางเคียงกับ<br />กฏควอนตัมข้อที่ 1 นีลส์ บอห์ร สรุปว่า <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);">“There is no reality in the absence of observation”</span> (สรรพสิ่งไม่มีจริงถ้าเราไม่เข้าไปสังเกตมัน) หรือโลกและจักรวาลเป็นจริงตามที่เราสัมผัส มันจริงในระดับกายวัตถุเท่านั้น แต่ไม่เป็นจริงในโลกควอนตัม<br /><br />ปัญหาโลกแตกแบบมโนสาเร่ หลวงปู่ก็เคยตอบไว้เมื่อมีผู้ถามว่าไก่กับไข่อะไรเกิดก่อน หลวงปู่ตอบว่า <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);">“เกิดพร้อมกันนั่นแหละ”</span> นี่หากจะเทียบอาจนำไปเทียบได้กับภาพมือสองข้างที่ต่างก็วาดกันและกันขึ้นมา ตามกฏความจริงทางควอนตัมข้อที่ 2 <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);">Observation Creates worldly reality </span>หรือที่จอห์ อาร์ซิบาลบอกว่า “เป็นความจริงที่ผู้สังเกตสร้างขึ้นมา ไม่มีปฐมกาลหรือปรากฏการณ์ใดเป็นจริงจนกว่าปรากฏการณ์นั้นจะถูกสังเกต"<br /><br />ส่วนในบท “โลกกับธรรม” หลวงปู่บอกว่า <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);">“สิ่งใดซึ่งสามารถรู้ได้ สิ่งนั้นเป็นของโลก สิ่งใดไม่มีอะไรจะรู้ได้ สิ่งนั้นคืออธรรม โลกมีของคู่อยู่เป็นนิจ แต่ธรรมเป็นของสิ่งเดียวรวด"</span><br />ความจริงทางควอนตัมข้อที่ 3<span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);"> Reality is undivisable wholeness</span> ความจริงแท้คือความเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่อาจแบ่งแยกออกจากกันได้ สรรพสิ่งและปรากฏการณ์ต่อเนื่องกันด้วยส่วนขยาย (attributes) ที่ได้มาจากอนุภาค ส่วนขยายจะพัวพันเชื่อมโยงกันเป็นพื้นฐาน การเกิดของสรรพสิ่งและสรรพปรากฏการณ์ (Phrase-Tangleness) ซึ่งในระดับควอนตัมที่แยกจากกันไม่ได้นี้เป็นพื้นฐานหลักที่เดวิด โบห์มเรียกว่า <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 51, 51);">“The inseparable quantum interconnectedness of the universe in the fundamental reality”<br /></span><span style="color: rgb(0, 51, 51);"><br />มีต่อตอนที่ 2<br /></span>เมธาวี เลิศรัตนาhttp://www.blogger.com/profile/08911828304642179150noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-4480254480839686156.post-68862707337705198802008-12-21T21:23:00.000-08:002009-01-11T23:55:58.803-08:00คุยกับหมอน้ำมนต์<object width="425" height="344"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/nWn4QF6dCwM&hl=en&fs=1"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/nWn4QF6dCwM&hl=en&fs=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="212" height="172"></embed></object><br /><br /><span style="color:navy;"><br /><span style="color: rgb(51, 102, 102);">หมอน้ำมนต์เพื่อนผู้อาวุโส ของผู้เขียนคนนี้เป็นชาวอังกฤษ เป็นลูกชายผู้ดีมีตระกูลเก่า เรียนจบปริญญาเอกฟิสิกส์นิวเคลียร์จากอ๊อกฟอร์ด ทำงานเงินเดือนดี (สถาบันวิจัยพัฒนาด้านนิวเคลียร์ทั้งในสหรัฐและยุโรป) มีแฟนสวย รวยทรัพย์ อยู่ได้จนถึงอายุ 40 ก็เกิดป่วยด้วยโรคกรรมเก่า เป็นโรคที่ไม่มีใครจะช่วยรักษาให้หายได้นอกจากตัวของตัวเอง เขาจึงลาออกจากงาน เลิกกับแฟนหรืออีกนัยยะหนึ่งก็คือโดนทิ้ง แล้วตั้งหน้าตั้งทำน้ำมนต์ หรือในภาษาของเขาจะเรียกว่า “Quantum water” น้ำควอนตัมนี้คืออะไร คงต้องสาธยายกันยืดยาว แต่ถ้าเราพูดถึงน้ำมนต์ผู้อ่านคงพอนึกออก แต่อย่าพึ่งสรุปว่าควอนตัมวอเทอร์นี้เป็นน้ำมนต์แหง๋ๆ โดยเด็ดขาด ห้อยแขวนไว้ก่อน เพราะถ้าใครไปถามหมอผีอ๊อกฟอร์ตคนนี้ว่า ไอ้น้ำควอนตัมที่มีแบบแผนอันแตกต่างกันนับพันหมื่นชนิดของเขานี้ คือ Holy water ใช่ไหมล่ะ? เขาคงจะปฏิเสธเสียงแข็งเป็นแน่</span><br /><span style="color: rgb(51, 102, 102);">เราลองมาฟังคำอธิบาย อย่างคร่าวๆ สรุปจากการพูดคุยกับเขาดู ก็แล้วกัน ด้วยหมอผีอ๊อกฟอร์ตคนนี้เป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นนักฟิสิกส์ และเป็นศาสนิกที่เคร่งครัด เขาบอกผู้เขียนว่า เชื้อโรคทั้งหลายโดยเฉพาะเชื้อไวรัส (ที่แม้จะได้ชื่อว่าเป็นเครื่องจักรสังหาร คือมันไม่กิน ไม่ถ่าย ไม่สืบพันธ์-แต่ทำสำเนาตัวเอง) นั้นก็มีคลื่นพลังงานเช่นเดียวกับมนุษย์ สัตว์และพืชทั้งหลาย เพราะสิ่งที่ได้ชื่อว่ามีชีวิตย่อมมี “Life force” หรือคลื่นพลังชีวิตอันใสกระจ่างละเอียดอ่อนเป็นตัวขับเคลื่อนอยู่ด้วย ถ้าพลังชีวิตนี้ถูกกระทบ แทรกแซง หรือไหลเวียนไม่เป็นปกติ เราก็จะป่วยไข้ ไม่สดใส ราศีหม่นหมอง</span><br /><span style="color: rgb(51, 102, 102);">เชื้อโรค เชื้อร้ายต่างๆ นั้นก็เช่นกัน มันมีคลื่นพลังชีวิตของมัน และเมื่อมันมาอยู่กับเรา คลื่นพลังของมันก็จะสกัดกั้น สอดแทรก ทำให้คลื่นพลังชีวิตของเราอ่อนแรงลง หรือไม่ก็แปรเปลี่ยนไป พูดอย่างนี้พอนึกภาพออกใช่ไหม?</span><br /><span style="color: rgb(51, 102, 102);">เอาเป็นว่า ผีเข้า (ถูกคลื่นแทรก) ก็ต้องพรมน้ำมนตร์ เพื่อเสริมพลังชีวิตให้กลับคืนหรือพูดอีกภาษาหนึ่งก็คือส่งคลื่นที่มีแบบแผน พลังใหม่เข้าไปหักล้างพลังของพวกโรคร้ายนั่นเอง</span><br /><span style="color: rgb(51, 102, 102);">บรรดาไข้ป่าทั้งหลาย ส่วนใหญ่ถ้าไปหาหมอ แน่นอนว่า หมอ (แผนปัจจุบัน) มีคำอธิบายไปในทำนองเชื้อไวรัส (ทั้งที่เรารู้จักไวรัสกันน้อยมาก ผู้เชี่ยวชาญไวรัสวิทยาในเมืองไทยนั้นก็น้อยเสียจนไม่ต้องนับกันเลย) แต่ถ้าไปหาหมอผี ก็เป็นที่แน่นอนว่า คุณถูกผีเข้า เจ้าป่าเจ้าเขาลงโทษทัณฑ์ แต่ถ้าคุณเป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์และหรือเป็นศาสนิก คุณจะตอบคำถามนี้อย่างไร?</span><br /><br /><span style="color: rgb(51, 102, 102);">Quantum water ได้มาจากการเก็บแบบแผนของพลังชีวิตบริสุทธิ์ จากดอกไม้นานา คริสตอล ลงในโมเลกุลของน้ำ (ถ้าจะให้กระจ่างลองหาหนังสือชื่อ Message in Water มาอ่านประกอบ) โดยให้โฟตอน (จากแสงอาทิตย์-หรือแสงจันทร์) เป็นตัวนำ การกินน้ำควอนตัมนี้เข้าไป ก็เท่ากับว่าไปแทรกแซงแบบแผนของไวรัส หรือภาษาหมอผีเขาจะเรียกว่า “ตัดวิญญาณ” ไปซะเลย เมื่อไวรัสไร้วิญญาณ มันก็ไม่อาจอยู่ต่อไปได้</span><br /><span style="color: rgb(51, 102, 102);">นอกจากนั้น เขายังอธิบายเพิ่มเติมโดยถามเราก่อนว่า “คุณพอจะรู้เรื่องจักราไหม? มันเป็นศาสตร์ตะวันออกนะถ้าผมบอกคุณว่า คลื่นของไวรัส บล็อกพลังชีวิตของคุณอยู่ที่จักราไหน สมมุติว่าเป็นจุดจักราบริเวณศรีษะนะ คุณลองดม ดอกมะลิ สูดกลิ่นหอมของมันให้เข้าไปให้ลึกๆ แล้วตอบผมสิว่า กลิ่นของดอกมะลิ วิ่งไปที่จักราไหน..วิ่งขึ้นหัว หรือศรีษะของคุณ..ถูกไหม? ทีนี้มาลองดอกกุหลาบ กลิ่นของดอกกุหลาบ วิ่งไปที่จักราไหน.. หัวใจถูกต้องไหม?”...ฯลฯ</span><br /><br /><span style="color: rgb(51, 102, 102);">ที่น่าสนุกและมหัศจรรย์ใจไปกว่านั้นก็คือ หมอผีอ๊อกฟอร์ด ยังพูดถึงความดื้อด้านของเชื้อวัณโรค (TB) ซึ่งถือเป็นคู่เวรคู่กรรมกับเขา เราโดยทั่วไปคิดกันว่าทีบี ไม่มีพิษสงอะไรกับมนุษย์แล้ว แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เราไม่เคยชนะทีบีเลย ไวรัสสายพันธ์นี้ปรับตัวเก่งจนหลบอยู่กับเราได้ มันอยู่เพื่อรอคอยเวลาที่ภูมิคุ้มกันของเราเริ่มอ่อนแอลง ก็จะเข้ารุมล้อมเช็คบิลทันที ความร้ายกาจของมันออกมาปรากฏอย่างเด่นชัดในผู้ติดเชื้อ HIV สองประสานนี้จับมือกันเมื่อไรก็เป็นอันว่า รอดยาก...</span><br /><br /><span style="color: rgb(51, 102, 102);">ครั้งหนึ่งเขา เคยเปรยๆ ขึ้นว่า “คุณไม่รู้หรอก ทีบีนี่มันตามเราข้ามภพ ข้ามชาติ เลยทีเดียว ถ้าใครมีทีบีแล้วไม่รักษาให้หาย ตายไปเกิดใหม่จะมีทีบีตามไปเกิดด้วย เพราะพลังของทีบีนั้นอ่อนละเอียด เกาะติดเป็นกรรมเก่าที่แกะไม่ออก” ขณะที่บางคนหมอตรวจอย่างไรก็ไม่พบเชื้อ หากมีอาการแบบทีบีชัดๆ หมอหลายคนจึงสรุปว่าเป็น “โรคทางจิต” ซึ่งจะว่าไปก็คงไม่ผิด เพราะติดทีบีในระดับจิตวิญญาณ ทีบีในอารมณ์กระมัง</span><br /><br /><span style="color: rgb(51, 102, 102);">แล้ว การที่ใครบางคนจะรับทีบีนั้นมันช่างแสนง่ายดาย ลองนึกภาพว่าถ้าคุณนั่งอยู่ในรถบัสโดยสารที่ติดแอร์คอนดิชั่น มีคนแพร่เชื้อทีบีนั่งไออยู่ด้วย (ไปดูสถิติเองเถิดว่าบ้านเรานั้นมีผู้ติดเชื้อทีบีในระดับที่แพร่ได้อยู่มาก ขนาดไหน) เท่านี้ คุณก็หายใจเอาทีบีเข้าไปแล้ว และถ้าคุณเกิดเป็นประสาทหวาดระแวงไปตรวจหาล่ะก็ หมอจะจับตรวจเสมหะ (ต้องดูดเสมหะออกมาตรวจกันนับสิบรอบ ถึงจะแน่ใจได้) หรือไม่ก็จับเอ็กซ์เรปอด ซึ่งการเข้าไปปฎิสนธิแพร่พันธ์ จับกลุ่มกันจนเป็นจุดดำให้เห็นในปอดนั้นต้องใช้เวลาระยะหนึ่งแล้ว ขณะที่หมอน้ำมนต์ของเราสามารถตรวจหามันได้ก่อนที่จะเข้าปฏิสนธิหรือก่อรูป ไวรัสในเซลของเราเลยทีเดียว คือได้ตั้งแต่มันยังเป็นไวรัสสัมภเวสี และถ้าลงปฏิสนธิแล้วการรักษาก็ยากขึ้นไปอีก ถ้ามันเติบโตเต็มที่จนเริ่มแพร่พันธ์แล้ว หมอผีก็ต้องขอจับมือก็หมอแผนปัจจุบัน โดยให้กินยาของทางโรงพยาบาลพร้อมกันไปด้วย เรียกว่าต้องโจมตีทั้งสองทาง คือทั้งทางกายและทางจิตของมันนั่นเอง</span><br /><br /><span style="color: rgb(51, 102, 102);">มีอยู่คราวหนึ่ง ผู้เขียนติดตามหมอน้ำมนต์ไปปราบผีไวรัสแถวสถานสงเคราะห์เด็กติดเชื้อ เราเดินเข้าไปแบบเซ่อซ่ามาก หมอก็แยกตัวไปตั้งปรัมพิธีตรวจชีพจรเด็กอยู่ทางหนึ่ง (ที่เข้าไปได้เพราะเขาทำหนังสือถึงพระชั้นผู้ใหญ่ในยุโรปซึ่งเป็นองค์อุปถัม มูลนิธิฯ อยู่) เราเดินเล่นไปรอบๆ ปรากฏว่าจู่ๆ มีเด็กชายอายุสักสามขวบกว่าเห็นจะได้วิ่งจี๋ตรงเข้ามาหา สัญชาติญาณบอกว่าเป็นความประสงค์ร้าย แววตาของเด็กคนนั้นน่ากลัวมาก ทำให้ต้องถอยหนี เด็กแลบลิ้นออกมา พยายามจะกระโดดเข้ามาเลีย แต่เมื่อเห็นเราถอยก็พยายามถุยน้ำลายใส่แทน พี่เลี้ยงวิ่งเข้ามาจับเด็กก็ร้องไห้จ้าดิ้นพล่านปานจะขาดใจ ภายในของเราสั่นไหวด้วยความกลัวอย่างไม่อาจอธิบายได้ เด็กสามขวบที่ยังมีชีวิตเดินไปมาได้นี้ทำให้เรากลัวได้มากกว่าผีตนใดในฝัน เสียอีก</span><br /><span style="color: rgb(51, 102, 102);">หมอน้ำมนต์ทิ้งเด็กที่กำลังตรวจวิ่งเข้ามาหาเราแล้วรีบจับ ชีพจรทันที เขาเอาน้ำควอนตัมหยอดให้ดื่มแล้วกลับไปนั่งรอในรถ ตอนขากลับเขาบอกว่าเด็กคนนั้นกำลังอาการหนักมาก เพราะเด็กมี HIV อยู่แล้ว และน่าจะรับเชื้อทีบีจากเด็กอีกคนที่ซึ่งพึ่งเสียชีวิตก่อนหน้านั้นไม่นาน ตอนนี้หมอจากโรงพยาบาลก็อัดยาแผนปัจจุบันแบบเต็มโปรแกรม 6 เดือนให้เขาอยู่ ภูมิคุ้มกันของเขาในตอนนั้นก็ต่ำกว่า 3% เสียอีกโอ...พระเจ้า พระพุทธเจ้า.. เด็กอายุสามขวบตัวผอมกะหร่องที่ป่วยหนักขนาดนั้นเนี่ยนะ วิ่งเร็วปานกระสุน พลังดิ้นของเขานั้นพี่เลี้ยงตัวใหญ่ๆ ต้องเข้ามาช่วยกันรุมจับ ไม่ว่าจะคิดอย่างไร เหตุผลของวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์เก่าก็ไม่อาจอธิบายได้เลย</span><br /><br /><span style="color: rgb(51, 102, 102);">อย่างไร ก็ตามหมอน้ำมนต์ก็ยังติดอยู่กับ “กรรมเก่า” อันแสนจะหนักหนาสาหัสของตัวเอง เมื่อเราพยายามพูดเรื่อง “กรรมเหนือกรรม” หรือการไม่ยึดติดในกรรมเก่ากับเขากลับบอกเราว่า “ผมป่วย ทนทุกข์ทรมานเพราะกรรมเก่า ทั้งในชาตินี้และชาติก่อนๆ ผมจึงเยียวยาตัวเอง และผู้อื่น ความรู้ที่ผมได้มา ก็ได้มาเพราะกิจแห่งการเยียวยานี้” ปัจจุบันหมอน้ำมนต์ อายุ 62 ปี มีต้นฉบับของแบบแผนคลื่นจากธรรมชาติเก็บอยู่นับหมื่นชนิด และกำลังศึกษา ค้นคว้า ทดลองอย่างขะมักเขม้น ในเรื่องการสอดบรรนสานและหักล้างกันของคลื่นชนิดต่างๆ โดยใช้เงินทุนส่วนตัว พอเงินหมดทีหนึ่ง ก็จะวิ่งออกไปรับงาน (ตามปกติ) สักครั้งหนึ่ง เพราะ “น้ำมนต์” คงขายไม่ได้ราคาเหมือนเหล้าหรือเครื่องดื่มชูกำลัง หากมันคงเป็นหนทางที่เขาเลือกแล้ว เราตั้งคำถามในหัวใจตัวเองว่า “เราจะเยียวยาผู้คนโดยไม่ติดในทุกข์เข็ญได้อย่างไรกันนะ...ถ้ายังไม่สำเร็จ ทองเลน" </span></span>เมธาวี เลิศรัตนาhttp://www.blogger.com/profile/08911828304642179150noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-4480254480839686156.post-49778379974446465582008-12-20T19:00:00.000-08:002009-04-27T06:11:20.885-07:00พบคุนดุล พบพระในตัวเอง<div><embed src="http://widget-3e.slide.com/widgets/slideticker.swf" type="application/x-shockwave-flash" quality="high" scale="noscale" salign="l" wmode="transparent" flashvars="cy=lt&il=1&channel=3314649325748133182&site=widget-3e.slide.com" style="width:350px;height:200px" name="flashticker" align="middle"></embed><div style="width:350px;text-align:left;"><a href="http://www.slide.com/pivot?cy=lt&at=un&id=3314649325748133182&map=1" target="_blank"><img src="http://widget-3e.slide.com/p1/3314649325748133182/lt_t000_v000_s0un_f00/images/xslide1.gif" border="0" ismap="ismap" /></a> <a href="http://www.slide.com/pivot?cy=lt&at=un&id=3314649325748133182&map=2" target="_blank"><img src="http://widget-3e.slide.com/p2/3314649325748133182/lt_t000_v000_s0un_f00/images/xslide2.gif" border="0" ismap="ismap" /></a> <a href="http://www.slide.com/pivot?cy=lt&at=un&id=3314649325748133182&map=F" target="_blank"><img src="http://widget-3e.slide.com/p4/3314649325748133182/lt_t000_v000_s0un_f00/images/xslide42.gif" border="0" ismap="ismap" /></a></div></div><br /><br />...เช้าวันนั้น อากาศบริเวณที่พักใกล้เชิงเขาหิมาลัยเย็นจัดจนน้ำที่รินใส่แก้วเมื่อคืนกลายเป็นแผ่นน้ำแข็งบางๆ ที่พื้นผิว<br />เรามีนัดกับทะไล ลามะ... พระธรรมดาๆ รูปหนึ่งนั้นในตอนสาย หากเช้าวันนี้คงจะต้องอาบน้ำเสียก่อน จะอาบอย่างไรทั้งที่อากาศหนาววว..ขนาดนี้เล่า!! .. ขณะกำลังนั่งคิดอยู่บนเตียง (ทำท่านั่งสมาธิไปอย่างนั้นเอง) ก็มีผู้ดูแลเกสต์เฮ้าหิ้วกาน้ำเดือดจัดมาเทใส่ถังให้.. ปัญหาเรื่อง "อาบอย่างไร" ก็จบลง<br />เมื่ออาบเสร็จ แต่งตัว จู่ๆ สายสร้อยซึ่งแขวนพระสมเด็จอยู่กับคอ ก็ขาด (แบบไม่มีปี่ (แต่) มีขลุ่ย?!!) ระหว่างเดินออกจากห้องน้ำ กลับมานั่ง (สมาธิ) ที่เตียงนอนอีกครั้ง ใจก็เลยลอยกลับไปไกล เมื่อสมัยยังเป็นเด็ก แม่สอนให้สวดคาถาพระชินบัญชร ท่องได้แม่นตั้งแต่ยังไม่ห้าขวบ พอเข้าสู่วัยรุ่น ก็ใส่จังหวะแร็บ โย่ โย่..ชะยา สะนา โย่ๆ กะตา... ท่องได้ไวเป็นจรวดไม่ว่ายามหลับฝันหรือในยามตื่น ผีสางเทวดาไม่มีใครทนคาถาของข้าฯ ได้<br />... นอกจากคาถาแล้วยังมีหลวงปู่หลวงพ่อ ที่แขวนคออยู่นี้ ภาพวัยเยาว์ปรากฏอย่างต่อเนื่อง คราวหนึ่ง ประมาณสามขวบ ตัวอ้วนจ้ำหม้ำ (ใส่บีกินนีรูปหมูยิ้ม) ก้มๆ เงยๆ มองดูปลาที่ว่ายอยู่ใต้ถุนบ้าน (เรือนกลางน้ำ) หลวงปู่ทวดห้อยคออยู่ลงไปติดกับร่อง (รอยต่อระหว่างแผ่นกระดาน) พอเงยหัวขึ้น หลวงปู่ก็หลุดลอยตกใต้ถุนน้ำไป เดือดร้อนน้าชายให้ต้องเปลี่ยนผ้าขาวม้าลงไปงมขึ้นมา<br />ไม่เคยมีสักวันในเกือบสามสิบปีที่พระหลุดจากคอ ..แต่วันนี้ ขาดจนไม่รู้จะต่ออย่างไร? และขณะนี้ พระสมเด็จอยู่ในกำมือ ...<br />หลังจากวันนั้นมาก็ไม่ได้ห้อยแขวนพระอีกเลย ด้วยความกลัว, ความรู้สึกไม่มั่นคงทั้งหลายซึ่งเคยมีได้จางคลายลงไปจนเกือบหมดสิ้นแล้ว...<br />คนที่นำพามาถึงวันนี้ เขากระซิบขณะกำลังเดินผ่านประตูวัดนัมเกียวไปยังที่พำนักของทะไล ลามะ และเรามีนัดกับท่านที่ห้องรับรองเชิงเขาหิมาลัยว่า "ทะไล ลามะ จะเปลี่ยนคุณ หลังจากพบท่านแล้ว คุณไม่อาจจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป"<br />ห้องรับรองแห่งนั้นอบอุ่น อ่อนโยน ตกแต่งด้วยผืนพรมทอมืออย่างได้เคยสัมผัสในบ้านของชาวทิเบตที่ไปเยี่ยมเยือน มีคุณลุงคุณอาสี่ห้าคนซึ่งเป็นพระและฆราวาส บ้างรับหน้าที่ล่าม (ซึ่งก็ไม่ค่อยได้ทำงานสักเท่าไรไหร่ เนื่องจากคุนดุลท่านสื่อได้ชัดเจนเป็นส่วนใหญ่ จะต้องการคำอธิบายเสริมบ้างเพียงครั้งสองครั้งในเกือบสองชั่วโมงนั้น) คุณอาอีกท่านเป็นหนึ่งในคณะผู้บริหารองค์กร "ทิเบตอิสระ" ซึ่งนั่งตัวตรงหลับตาตลอดเวลา แต่รับรู้ในเนื้อหาการสนทนาละเอียดยิบ<br />หลังทักทายกันแล้ว เต้าหู้ก็ลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นพรม รับหน้าที่จัดวางสไลด์และฉายบนสกรีน รวมถึงบันทึกภาพนิ่งตลอดการสนทนา (แต่แปลกที่ครั้งนี้ไม่รู้สึกรำคาญเสียง แชะแชะ ของชัตเตอร์กล้องซึ่งตัวเองกดอย่างที่เคยเป็น เสียงนั้นกลับกลายเป็นความกลมกลืน เป็นเสียงหนึ่งของการพูดคุย บอกเล่าเรื่องราว)<br />คุนดุลซักถามนั่นนี่ด้วยความสนอกสนใจตลอดเวลา ประกายตาท่านเหมือนเด็กน้อยที่กำลัง "เล่น" อย่างเต็มไปความใส่ใจในสิ่งของหรือเรื่องราวที่อยู่ตรงหน้า ภาพสไลด์บางภาพท่านก็ลุกไปยืนดูใกล้ๆ ชี้ตรงนั้น ตรงนี้ ขณะที่ท่านหัวเราะ ท่านหัวเราะเต็มเสียง บรรยากาศภายในห้องนั้นกลายเป็นความสดสว่าง แม้ชายพริ้วของผ้าม่านก็หัวเราะไปกับท่านด้วย ยามท่านคิดคำนึงด้วยความสลดเศร้า ก็ดูเหมือนว่ามีน้ำตาคลอๆ อยู่ในดวงตาของทุกคน กระทั่งคนที่นั่งหลับตา<br />เต้าหู้รู้สึกว่าท่านอยู่ตรงนั้น ใส่ใจเราตลอดเวลา ฟังแม้กระทั่งเสียงกระพริบตาของเรา<br />ตอนลาจาก แน่นอน ไม่ว่าใครต่อใครก็ต้องการจะถ่ายรูปคู่กับท่านไว้ ... นี่ไงล่ะ ฉันกับทะไล ลามะ... เต้าหู้ก็เลยเป็นตากล้องที่ไม่มีรูปถ่ายคู่มายืนยันการพบกันของเรา<br />ขณะที่ท่านกำลังจะเดินกลับไป เขาคนนั้นนึกขึ้นมาได้ว่าควรถ่ายรูปเต้าหู้ไว้ด้วย และพยายามจะเรียกท่านกลับมา<br />เต้าหู้มองตามหลังท่านไป ทะไล ลามะ องค์คุนดุลของชาวทิเบต กำลังไอจนตัวสั่น ... ท่านคงเป็นหวัด... เห็นความอ่อนล้าในแว๊บหนึ่ง และแว๊บนั้นก็กลายเป็นจุดที่ขยายใหญ่เหมือนวงจรสะท้อนกลับ บอกเขาไปด้วยเสียงที่มั่นใจสุดๆ ว่า ไม่ต้องการรูปถ่ายคู่กับท่าน ไม่ต้องการเห็นท่านหันกลับมาเพื่อจะยืนถ่ายภาพกับ "ฉัน"<br />แล้วท่านก็หันกลับมายิ้ม เป็นยิ้มที่สวยงามอย่างที่ไม่เคยได้เห็นมานานแสนนานแล้ว... ภาพที่ไม่ได้บันทึกบนแผ่นฟิล์มนี้ ถูกบันทึกไว้ด้วยความทรงจำ ที่จะสัมผัสได้ในชั่วพริบตาตลอดไป รอยยิ้มนี้จะเป็นยิ้มที่รอคอยอีกขณะหนึ่งอยู่ใน "ความทรงจำแห่งอนาคต"<br />พระแท้ คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดานั้นมีตัวตนอยู่จริง มีเลือดมีเนื้อเหมือนกับเรา และท่านยืนอยู่ตรงนั้นอย่างปราศจากความกลัว มันเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสความ "อ่อนโยนที่ไม่อ่อนแอ" สัมผัสความเป็นมนุษย์แท้ๆ ซึ่งผ่านพ้น หลอมรวม และอยู่เหนือวิวัฒนาการ<br />เราเองก็เป็นมนุษย์ อะไรบ้างหนอที่จะทำให้เราหวาดกลัว วัตถุใดเล่าที่แขวนบนคอนี้จะปกป้องเราได้ อาวุธหรือความกร้าวร้าวอันใดเล่า? ... พระ... เข้ามาในหัวใจคนแล้ว พระกับคนเป็นหนึ่งเดียวกัน<br />พบคุนดุล พบพระในตัวเอง<br /><br /><div style="width:300px;"><object width="300" height="110"><param name="movie" value="http://media.imeem.com/m/WBYmO5Ddax"></param><param name="wmode" value="transparent"></param><embed src="http://media.imeem.com/m/WBYmO5Ddax" type="application/x-shockwave-flash" width="300" height="110" wmode="transparent"></embed></object><div style="background-color:#E6E6E6;padding:1px;"><div style="float:left;padding:4px 4px 0 0;"><a href="http://www.imeem.com/"><img src="http://www.imeem.com/embedsearch/E6E6E6/" border="0" /></a></div><form method="post" action="http://www.imeem.com/embedsearch/" style="margin:0;padding:0;"><input type="text" name="EmbedSearchBox" /><input type="submit" value="Search" style="font-size:12px;" /><div style="padding-top:3px;"><a href="http://www.imeem.com/ads/banneradclick.ashx?ep=0&ek=WBYmO5Ddax" rel="nofollow"><img src="http://www.imeem.com/ads/bannerad/152/10/" border="0" /></a><a href="http://www.imeem.com/ads/banneradclick.ashx?ep=1&ek=WBYmO5Ddax" rel="nofollow"><img src="http://www.imeem.com/ads/bannerad/153/10/" border="0" /></a><a href="http://www.imeem.com/ads/banneradclick.ashx?ep=2&ek=WBYmO5Ddax" rel="nofollow"><img src="http://www.imeem.com/ads/bannerad/154/10/" border="0" /></a><a href="http://www.imeem.com/ads/banneradclick.ashx?ep=3&ek=WBYmO5Ddax" rel="nofollow" ><img src="http://www.imeem.com/ads/bannerad/155/10/WBYmO5Ddax/" border="0" /></a></div></form></div></div><br/><a href="http://www.imeem.com/groups/s0DbuGMW/music/ORNztSp2/shastro-nadama-gift-of-light/">Gift Of Light - Shastro & Nadama</a>เมธาวี เลิศรัตนาhttp://www.blogger.com/profile/08911828304642179150noreply@blogger.com0