ความทรงจำ ความฝัน ความคิดคำนึง



มีหนังสือคาร์ล กุสตาฟ ยุง ความทรงจำ ความฝัน ความคิดคำนึง ...​(ฉบับแปลโดยพจนา จันทรสันติ) วางอยู่ข้างๆ ...หนังสือเล่มนี้ไม่เคยห่างจากตัวมาได้สามสี่วันคืนแล้ว อ่านต่อจาก surely you're joking Mr. Feynman ..และมันก็น่าแปลกจริงๆ ที่ฟายน์แมน จบหนังสือเล่มสำคัญของเขาด้วยเรื่องราว งานวิจัย rat running ของคาร์ล ยุง

ฟายน์แมนเป็นนักฟิสิกส์ทั้งเนื้อทั้งตัว ทั้งหัวใจและจิตวิญญาณ เขาเขียนบทสุดท้ายเล่าถึงการ ไปเยือนอิซาเลน (คล้ายกับอาศรมฯ ต่างๆ) ว่าช่างเป็นสถานที่ๆ มีความงดงามทางธรรมชาติ เขาไปแช่บ่อน้ำร้อนที่อยู่ริมทะเล ร่วมกับหนุ่มๆ แห่งอิซาเลน แล้วจู่ๆ ก็มีหญิงสาวเดินเปลือยกายเข้ามา ชายหนุ่มทุกคนหันไปมองแล้วก็สัมผัสได้ว่าทุกคนคิด ๆๆ ด้วยความปั่นป่วน รุมเร้า ว่าจะเข้าไปหาสาวแสนสวยเซ็กซี่คนนี้ยังไง ฟายน์แมนก็เช่นกัน เขาครุ่นคิด... แต่แล้วก็มีหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า เขามาเรียนนวดอยู่ที่นี่ เสนอนวดตัวให้สาวคนนั้น.. แล้วหญิงสาวก็ตอบ Yes!!! โอ้โห...ฟายน์แมนประทับใจในสุดยอดอภิมหามุก ในการจีบสาวแบบถึงเนื้อถึงตัวภายในไม่มีกี่นาทีของหนุ่มอิซาเลน ขณะเดียวกันก็เก็บความคั่งแค้นไว้ในใจ เมื่อหญิงสาวล้มตัวลงนอนเหยียด ยาวบนเบาะริมบ่อน้ำร้อน ชายหนุ่มเริ่มลูบไล้ สัมผัสจากหัวแม่เท้าของสาวเจ้า แล้วบอกว่า นั่นเป็นจุดที่เชื่อมโยงกับ ต่อมพิทาทูอิ ฟายน์แมนไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เขาโพล่งออกไปว่าประมาณ ..บ้ารึเปล่า ไอ้ต่อมบ้านั่นน่ะอยู่ห่างไกลจากหัวแม่ตีนเยอะเลย อะไรประมาณนี้ ... ได้ผล สองหนุ่มสาวมองกลับมาที่เขาด้วยสายตาปานจะกินเลือดกินเนื้อ เขาจึงจำต้องทำทีเป็นนั่งหลับตาตามลมหายใจ อาบไล้ร่างด้วยสายลมแสงแดดต่อไป ทำใจให้สงบไว้...

ฟาย น์แมน บอกว่าอิซาเลนในมุมมองของเขานั้นเป็น "แอร์พอร์ตอันทันสมัยเพรียบพร้อม แต่ขาดอยู่เพียงอย่างเดียวก็คือ เครื่องบินที่จะมาลงที่นี่"

เขาเปรียบเปรยว่ามีผู้คนมากมายพยายาม ชักนำความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ ให้เข้ามาหา "ความเชื่อ" ของตัวเอง ของพวกนักจิตนิยมทั้งหลาย และกล่าวยกย่องงานวิจัยเรื่องหนูวิ่งของ คาร์ล กุสตาฟ ยุง ว่าเป็นสุดยอดงานวิจัยที่เป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ยุง มีความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณ อย่างชัดเจนที่สุด แต่เมื่อยุงทำงาน เขามี rat running อยู่ในเนื้อในตัวเสมอ

พ่อของยุงเป็นอนุศาสนาจารย์ นิกายโปแตสแตน พ่อจบปริญญาเอกด้านปรัชญาแต่พ่อก็ยุติความทะเยอทะยานในอันที่จะก้าวสู่ความ รุ่งโรจน์ด้วยการแต่งงานกับแม่แล้วมาเทศนาสั่งสอนอยู่ในโบสถ์เล็กๆ ของเมืองเล็กๆ ที่ยุงถือกำเนิด (ปู่ของยุงเป็นลูกนอกสมรสของเกอเธ่ด้วย)

ยุง อาจจะเป็นหนึ่งในเด็กพิเศษรึเปล่าก็ไม่รู้นะ วัยเด็กที่ยุงเล่าไว้ ตั้งแต่อายุสักประมาณ 6 เดือน จนถึง 18 ปี ปฐมวัยถึงวัยเรียนนั้น อ่านแล้วเป็นที่สุดแห่ง synchronicity โดยแท้ การเล่นในวัยเยาว์ที่เป็นเสมือนประตูเข้าสู่จิตไร้สำนึก ทั้งยังค้นพบภายหลังด้วยว่ามีสัญญลักษณ์ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพิธีกรรมอัน ศักดิ์จากยุคบรรพกาล

เมื่ออ่านเรื่องความสัมพันธ์ของยุงกับฟรอยด์ ก็พบความเหลื่อมซ้อนในความสัมพันธ์ของยุงกับพ่อด้วย

ยุง เล่าว่าพ่อของเขานั้นเกิด "วิกฤติศรัทธา" อย่างหนักในช่วงสองปีสุดท้ายก่อนที่จะเสียชีวิต ทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างรุนแรงในแทบจะทุกครั้งที่พบเจอ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึึ้นก็คือ ยุงจะจี้คำถามตรงไปที่ศรัทธาพ่อตลอดเวลา เมื่อพ่อตอบไม่ได้ก็กลายเป็นความรุนแรง เป็นความพยายามที่จะ "ปกป้อง" แม้กระนั้นพ่อก็ยังพร้อมเสมอในอันที่จะ "เสียสละ" ทุกอย่างเพื่อให้ยุงได้ขึ้นไปถึงยอดเขาสูง และในบั้นปลายชีวิตพ่อก็อ่านงานของซิกมุนด์ ฟรอยด์ อีก

ในความ สัมพันธ์กับฟรอยด์ ยุงสัมผัสได้ว่าฟรอยด์เองก็ไม่พ้นความพยายามสร้างป้อมปราการเพื่อ "ปกป้อง" ในสิ่งที่ตนไม่รู้ เช่นเดียวกับพ่อของเขา ทั้งที่ฟรอยด์ก็แสดงออกชัดแจ้งว่าต่อต้านศาสนา แต่เขากลับรุนแรง จริงจัง ในอันที่ตั้งเรื่อง "เพศ" เอาไว้เป็นแกนกลางทุกอย่าง จนกระทั่งกลายเป็นความ "ศักดิ์สิทธิ์" (แต่ก็เป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่จะต้องปกป้อง)

ยุงเองรู้สึกเสมอมาว่าฟรอยด์พยายามจะสร้างให้เขากลายเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่ง ทั้งสายตาที่มองมาประหนึ่งว่าเขา (ซึ่งตอนนั้นอายุประมาณยี่สิบกว่าปี) เป็นพ่อของฟรอยด์ (ผู้อาวุโสกว่าทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ และประสบการณ์) แต่ในขณะเดียวฟรอยด์ก็หมกมุ่นกับความคิดที่ว่ายุงพยายามทำ "มรณะเจตนา" (การฆ่าทางจิต) เพื่อฆ่าเขา

ยุงก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงเกิดเสียงดัง สนั่นขนาดเสียงปืนขึ้นที่บ้านของเขาหลังจากที่พ่อตายไปได้ไม่นาน และแล้วโต๊ะเก่าแก่ที่ทำด้วยไม้แข็งก็แตกร้าว หรือว่ามีดที่ทำจากเหล็กชั้นดีถึงได้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทั้งๆ ที่ไม่มีวัตถุใดไปกระทำ ต่อหน้าต่อตาแม่และยุงที่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว เสียงดังสนั่นนั้นก็มาเกิดขึ้นอีกครั้งบนชั้นหนังสือของฟรอยด์ขณะที่เขาและฟ รอยด์กำลังถกกันอย่างดุเดือด ปรากฏการณ์เสียงนั้นทำให้ฟรอยด์ถึงกับตะลึงงันไป แล้วยุงก็ยังพูดขึ้นว่ามันจะดังขึ้นอีกครั้ง (ทั้งที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นรู้ได้อย่างไรว่ามันจะดังขึ้นอีก) แล้วมันก็ดังขึ้นอีกครั้งจริงๆ .... ผู้อ่านคงจะพอเดาได้ใช่ไหมว่าฟรอยด์รู้สึกอย่างไรกับยุงที่นอกจากจะไม่ยอม เป็นป้อมปราการปกป้องความ "ไม่รู้" ให้แล้ว ยังกลายเป็นความลึกลับน่าหวาดกลัวซึ่งฟรอยด์ไม่อาจจะหยั่งถึงอีกด้วย

เมื่อ ยุงตีพิมพ์งานชิ้นสำคัญซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของเขาและฟรอยด์ขาดสะบั้นลง ยุงก็ต้อง "เริ่มต้นใหม่" ด้วยความเคว้งคว้างและอ่อนแอในบท "เผชิญจิตไร้สำนึก" ...เขาให้ผู้ป่วยตีความความฝันด้วยตัวของพวกเขาเอง เพราะยุงเชื่อว่า ความฝันเป็นการสื่อสารจากจิตไร้สำนึกของผู้ฝัน ดังนั้นจิตสำนึกของผู้ป่วยเป็นผู้รับสารตรง จะต้องตีความหมายเอง (เขาพิสูจน์แล้วในตีความความฝันร่วมกันกับฟรอยด์และเขาก็พบว่าเขาหลอกฟรอยด์ ได้จริงๆ) อย่างไรก็ตาม ณ ยุคสมัยของเขานั้น ยุงยกย่องว่าฟรอยด์เป็นผู้บุกเบิก เป็นคนแรกที่เปิดยุคสมัยของจิตวิทยาจิตไร้สำนึก ฟรอยด์นำเอา "จิต" เข้ามาสู่วิถีของการบำบัดรักษา ฟรอยด์รู้จักและเข้าใจผู้ป่วยของเขาอย่างแท้จริงและอย่างที่ไม่เคยมีใครเคย ทำมาก่อน

ยุงกลับไป "เริ่มต้นใหม่" ที่ "การเล่น" เมื่อเขาอายุ 11 ขวบ เขาใช้เวลาในช่วงว่างจากงานเล่นสร้างเมืองเล็กๆ จากเศษวัสดุ หิน กิ่งไม้ ฯลฯ และก็ไม่ทิ้งเรื่อง "ความฝัน" และประตูทั้งสองบานนี้เองที่เปิดให้จิตไร้สำนึกสื่อสารแบบหลั่งไหลเข้าหาเขา รวดเร็ว ถั่งถม จนจดบันทึกไว้แทบไม่ทันเลย

เรื่องการเล่นในปฐมวัยน่าสนใจมากจริง เมื่อคืนอ่าน "เผชิญจิตไร้สำนึก" แล้วมึนตึ๊บไปเลย (ก็คงต้องมึน เพราะยุงเองก็มึนหนักจนเกือบจะข้ามเส้นเป็นบ้าหรือบุคคลิกภาพแปรปรวนไปเลย เหมือนกัน เขาต้องคอยย้ำ คอยป้องเทียนเล่มน้อยแห่งจิตสำนึกเอาไว้ บอกตัวเองบ่อยๆ ว่าเรียนจบมหาบัณฑิต เป็นหมอ มีการงานต้องทำ มีคนไข้ต้องดูแล มีภรรยาและลูกๆ กระทั่งถึงกับต้องย้ำเรื่องบ้านเลขที่กันเลยทีเดียว ยิ้มกว้างๆ)


ยุง ในช่วงปฐมวัยนั้น เขาเล่าว่าเกิดความทรงจำเป็นห้วงขณะหนึ่งๆ เขาบรรยายถึงสภาวะ ณ ขณะนั้นๆ ได้อย่างนวลเนียน ละมุนละไม อย่างเช่นสีสรรค์ของแสงที่สะท้อนกับหลังคาเปลรถเข็นเด็ก หรือกลิ่นเส้นผมของพี่เลี้ยงที่อุ้มเขาพาดบ่า รสของขนมปังที่จุ่มนมสดกรุ่นๆ ชุดผ้าดำพิมพ์ลายรูปจันทร์เสี้ยวของแม่ ช่วง 6 เดือนแรกจนถึงหกขวบนี้ ยุงหวาดกลัวโบสถ์คาทอลิกที่แม่พาไปชม แต่ยุงก็ชอบบรรยากาศในโบสถ์ของพ่อเฉพาะช่วงคริสต์มาส นอกนั้นน่าเบื่อหน่าย เขาดื่มด่ำกับพิพิธภัณฑ์มากกว่า (ป้าพาไปและอยู่จนถึงเวลาปิดพิพิธภัณฑ์ เด็กน้อยยุงยืนดูสัตว์สตัฟฟ์ โบราณวัตถุ ปฏิมากรรมภาพเปลือย อย่างละเอียดละออ)

ในวัยประมาณสามสี่ขวบ ได้เกิดนิมิตครั้งแรก อันเป็นนิมิตที่เปี่ยมความหมายและเขาจำมันได้อย่างแจ่มชัด เขาฝันว่าวิ่งไปในทุ่งหญ้ากว้างและพบหลุมลึกรูปสี่เหลี่ยมอยู่กลางทุ่งนั้น พอเขาเดินลงไปก็พบโถงขนาดใหญ่ในวิหาร กับผ้ากำมะหยี่ปูลาดทางเดินสีแดง ไปสู่บันลังก์ทองซึ่งมีลึงค์ขนาดยักษ์นั่งอยู่บนบันลังก์นั้น (ในวัยสามขวบเขาไม่รู้ว่าเจ้าท่อนไม้ปลายเปิดรับแสงนี้อะไร เขาเกิดความหวาดกลัวเพราะคิดว่ามันคือตัวกินมนุษย์)

ยุงเริ่มจำได้ ว่าเล่นอะไรบ้างก็อายุสักประมาณเจ็ดแปดขวบ เขาชอบเล่นก่ออิฐ เอามาสร้างเป็นหอคอยเสร็จแล้วก็ทำลายมันลงด้วย "แผ่นดินไหว" แปดถึงสิบเอ็ดขวบชอบวาดรูปการรบ สงคราม ปิดล้อม ยิงถล่ม ช่วงนี้เป็นช่วงที่พ่อแม่แยกห้องนอนกันและยุงก็เริ่มไปโรงเรียน นิมิตในช่วงนี้ก็จะน่าประหวั่นพรั่นพรึง เหมือนกับสิ่งของหรือสัตว์ที่เขาเห็นในฝันจะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นและกดทับเขา แล้วเขาก็ป่วยด้วยโรคคอตีบเทียม หายใจติดขัด ที่โรงเรียนเขาก็ดีใจที่มีเพื่อนแต่ก็เล่าว่าเวลาอยู่กับเพื่อนเขารู้สึกสูญ เสียความเป็นตัวของตัวเอง ดูเหมือนว่าความแก่นแก้ว ก้าวร้าวจะค่อยๆ แทรกเข้ามาในบุคคลิกภาพของเขา เขาพาเพื่อนไปเล่นก่อไฟ ช่วยกันเก็บไม้ฟืนมาเติมเชื้อไฟให้ลุกโชนและเขาเท่านั้นที่จะเป็นผู้ดูแลไฟ และเมื่อมีโอกาสได้อยู่ตามลำพัง เขาจะนั่งอย่างสงบบนก้อนหินก้อนหนึ่ง ครุ่นคิด จินตนาการไปว่า "ฉันนั่งอยู่บนก้อนหินนี้ และมันอยู่ข้างล่างฉัน" แต่หินก็อาจจะคิดว่า "ฉันอยู่บนเนินนี้และเขามานั่งทับฉัน" แล้วก็เกิดคำถามกับตัวเองว่าตกลงฉันคือคนที่อยู่บนก้อนหินหรือฉันคือหินที่ เขานั่งทับอยู่ ยุงจำได้ว่าเขารู้สึกฉงนจนต้องลุกขึ้นมายืนครุ่นคิดว่าเขาคือใครกันแน่ เขากับก้อนหินมีความสัมพันธ์กันอย่างลี้ลับและเขาสามารถนั่งดื่มด่ำอยู่กับ ปริศนาที่มิอาจไขขานนี้อยู่ได้นานนับชั่วโมง

ดูเหมือนช่วงเก้าขวบ พ่อแม่จะกลับมาคืนดีกัน แล้วยุงก็ได้น้องสาวที่อายุห่างกันเก้าปี...

ยุง เริ่มเบื่อหน่ายโรงเรียน โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ พีชคณิต ยุงสับสนเรื่องการนับจำนวนตัวเลข และการใช้สัญญลักษณ์เพื่อแทนค่า (แอปเปิ้ล ดอกไม้ ฯลฯ) แล้วนำมาคำนวณตามสูตรคณิตศาสตร์ แต่ที่เขาบอกว่าหงุดหงิดที่สุดก็คือประโยคคณิตศาสตร์ อย่าง a=b และ b=c ดังนั้น a=c เพราะโดยคำจำกัดความ a ก็หมายถึงสิ่งที่ต่างจาก b อยู่แล้ว ดังนั้นจะเอา a กับ b ไปเทียบว่าเท่ากันได้ยังไง การบอกว่า a=b ก็เป็นการโกหกหน้าด้านๆ พอๆ กับที่ครูบอกว่าเส้นขนานสองเส้นจะไปบรรจบกันที่จุดอนันต์

แล้วเพื่อน นักเรียนคนอื่นๆ ก็ทำทีเหมือนกับว่า "เข้าใจ" เรื่องเหล่านี้ ส่วนยุง "ไม่มีความสามารถเชิงคณิตศาสตร" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาไม่เข้าใจเลยว่าครูเขียนสัญญลักษณ์ขยุกขยิกบ้าบออะไรลงบนกระดานดำ หนำซ้ำ ในวิชาวาดเขียน ครูพยายามให้เด็กๆ วาดภาพตามแบบ ขณะที่ยุงกำลังสนุกสนานกับภาพในจินตนาการ ความสามารถทางศิลปะก็เลยถูกตัดสินว่าสิ้นไร้ไปด้วยทันทีที่ครูเอาหัวแพะมา ตั้งเป็นแบบให้ยุงวาด เขาสิ้นหวังกับโรงเรียนแล้ว และเมื่อเพื่อนคนหนึ่งมาผลักเขาจนล้มหัวฟาดขอบทางเท้า ในขณะที่หัวกำลังจะกระแทกพื้นนั้น ยุงแวบขึ้นมาว่า คราวนี้จะได้ไม่ต้องไปโรงเรียนอีกแล้ว ทั้งแกล้งนอนสลบอยู่นานกว่าที่ควรจะเป็นเพื่อเป็นการแก้แค้นเพื่อนคนนั้น

หลังจากนั้นยุงก็จะสลบทุกครั้งที่ต้องไปโรงเรียน หรือต้องทำการบ้านที่ไม่อยากทำ เขาไปโรงเรียนไม่ได้อีกต่อไป พ่อต้องเที่ยวออกปรึกษาหมอหลายแห่งเพื่อรักษาอาการล้มพับสลบเหมือดของเขา แต่หมอทุกคนก็พากันเกาหัว ช่วงเวลาที่ไม่ต้องไปโรงเรียนนี้ยุงมีความสุขกับธรรมชาติ ลานหิน สายน้ำ ป่ากว้าง สมุดบันทึกของพ่อ หนังสือที่มีอยู่ในบ้านเป็นอันมากขณะที่อีก ส่วนหนึ่งของยุงบอกตัวเองว่า เขาสงสารพ่อแม่ที่ต้องเสียเงินทองไป ขณะที่เขาเอาแต่เพลิดเพลินสนุกสนาน และเมื่อแอบไปได้ยินพ่อคุยกับเพื่อนสนิทว่า พ่อเป็นห่วงอนาคตของเขามากเพียงใด เขาก็เลยบอกว่าตัวเองจะเลิกสลบซะที แล้วจะกลับไปเรียนอีกครั้ง ความพยายามจะเรียนหนังสือในช่วงนี้ก็ยังต้องฝืนกับอาการสลบอยู่เป็นพักๆ แต่ความตั้งใจจริงที่จะเรียน ก็ทำให้อาการสลบค่อยๆ ทิ้งช่วงห่างขึ้นเรื่อยๆ จนหายขาดกลับไปเรียนได้ ยอมรับฟังครู ยอมเข้าใจ เท่าที่เพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ เข้าใจกันได้ ยุงแทบจะกำหนดได้เลยว่าเขาต้องการให้คะแนนสอบในแต่ละวิชาออกมาเป็นที่เท่า ไหร่ของห้องดี

และเมื่อเกิดความเบื่อหน่ายการเรียนการสอนในโรงเรียน ขึ้นอีก ยุงก็แกะสลักปลายด้านหนึ่งของไม้บรรทัดเป็นตุ๊กตาไม้ ชายชุดดำ ... เขาใส่ชายชุดดำนี้ไว้ในกล่องดินสอ พร้อมเสื้อผ้า และหินที่ระบายสีครึ่งก้อน เอาซ่อนไว้ในที่ลับใต้เพดาน ซึ่งมีเขาคนเดียวเท่านั้นที่จะรู้


สิ่งที่ได้จากการอ่านยุงไปครึ่งเล่มแล้วนี้จริงๆ ก็เป็นเรื่องที่รู้สึกว่าตัวเองจะฝึกอ่อนโยนกับฝันให้มากขึ้น ยุงย้ำว่า ความฝันคือความพยายามในการสื่อสารของจิตไร้สำนึก สู่จิตสำนึก ... จิตไร้สำนึกอันกว้างใหญ่ไพศาลประหนึ่งมหาสมุทร ขณะที่จิตสำนึกนั้นอาจเปรียบได้เพียงน้ำหยดเดียว หากเราใช้ชีวิตจำกัด รับรู้อยู่ในขอบเขตเพียงเท่าที่จิตสำนึกบอกเรา ปิดกั้นเพียงแค่นั้น ชีวิตเราก็คงจะคับแคบ อึดอัดและน่าเวทนานัก เราคงไม่อาจจะตอบคำถามที่มีความหมายอย่างเช่น เกิดมาทำไม หรือในแต่ละขณะ แต่ละสภาวะของของชีวิต ก็ไม่รู้ว่าทำอย่างที่ทำไปทำไม เพื่ออะไร ...

การ อ่อนโยนกับความฝันในทางปฏิบัติซึ่งเมบอกเล่าได้ตอนนี้ก็คือการที่จิตสำนึก รับรู้ จดจำความฝันให้ได้ก่อน (จิตไร้สำนึกพยายามสื่อสารตลอดเวลาเพียงแต่เราไม่เปิดรับฟังเท่านั้นเอง) ไม่ว่าจะเป็นฝันกลางวันหรือหลับฝันตอนกลางคืน
สอง จำได้แล้วก็อย่าพึ่งไปตัดสินว่าเป็นฝันดีหรือฝันร้าย (การด่วนสรุปตีความเร็วๆ อาจจะทำให้ละเลยรายเอียดที่สำคัญๆ บางประการไป ค่อยๆ อ่านค่อยๆ เคี้ยวให้กระบวนการย่อยฝันเป็นไปอย่างละเมียดละมัย)
สาม (อันนี้ส่วนตัว เป็นการบอกตัวเองมากกว่า) การตื่นขึ้นในฝัน ด้วยความหึกเหิม ก้าวร้าวว่า ถือว่าตัวสามารถควบคุมความเป็นไป สิ่งแวดล้อมต่างๆ ในฝันได้ ก็อาจจะไม่ใช่ความอ่อนโยน ไม่เคารพในสารจากจิตไร้สำนึกเพียงพอ การสื่อสารอาจหยุดลงหรือชะลอลงได้

ตอนหนึ่งที่ยุงเล่า เขาได้พบกับครูที่มาในความฝัน เขารู้อย่างชัดเจนว่าครูไม่ได้ "เป็น" หรือ "มาจาก" การสร้างแห่งจิตของเขา เขาน้อมให้ครูเพราะ "สำนึก" ว่าครูไม่ใช่เขา (อย่างไรก็ตามขอละไว้ในฐานที่ไม่รู้ว่าครูอาจจะมาจากหรือเชื่อมโยงอย่างแนบ แน่นกับระดับไร้สำนึกหรือไม่?)
บุคคลิกภาพของคนไข้จิตเภทที่อยู่ในความ ดูแลของยุงก็สอดแทรกเข้ามา "เป็น" ตัวเขาเป็นครั้งคราว ยุงรู้ว่านั่นไม่ใช่ตัวเขา ไม่ใช่ความคิดและบุคคลิกภาพของเขาเลย แต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธ หรือตอบรับทันทีทันใดได้ ต้องอาศัยเวลาในการที่จะค่อยๆ สอดบรรสาน ประหนึ่งค่อยๆ ถักทอจนเป็นเนื้อเดียวมากกว่าที่ทาบเข้ามาทั้งผืน ... นั่นอาจเป็นเหตุให้การบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการปรากฏของครู กับการสอดแทรกทางบุคลิกภาพของคนไข้นั้นมีความต่างอย่างชัดเจนทีเดียว

ความฝันของยุงซึ่งเขาตีความว่า บุคคลิกภาพหมายเลขหนึ่ง (บุคคลิกภาพที่ชัดเจนที่สุดของเขา) เฝ้าประคองเทียนแห่ง "จิตสำนึก" เพราะมีเพียงแสงจากเทียนเล่มน้อยนี้เท่านั้น ที่จะส่องให้เห็นว่าเงาของเราเองไม่ใช่ปีศาจร้ายที่ไหน.....

แล้วก็มาถง "หอคอย" ... เป็นข้อเขียนที่งดงามโดยแท้จริง ช่วงชีวิตวัยหลังเกษียรณ ของคาร์ล ยุง

เขาสร้างหอคอยหินขึ้นมาท่ามกลางมวลหมู่แมกไม้และสารธาร หอคอยแห่งนี้ไม่มีไฟฟ้า น้ำประปา หรือเครื่องมื่อสื่อสารใดๆ ยุงบอกว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ รบกวนวิญญาณบรรพชน ยุงบรรยายเสมือนหนึ่งว่าเขาได้อัญเชิญจิตวิญญาณบรรพชนทั้งมวลมาหลอมรวมกัน ไว้ หอคอยถูกสร้างขึ้นหลังจากที่แม่เสียชีวิตไปได้สองเดือน ค่อยๆ สร้าง ค่อยๆ ทำ แกะสลักหิน ก่อประกอบ ตัดฟื้น แบกน้ำ หุงหาอาหาร ด้วยมือของเขาเอง

ขณะ เดียวกันก็ศึกษา ค้นคว้า เรื่องราวบรรพชน และพบว่าความ"เป็น" เนื้อเป็นตัวของท่านทั้งหลายล้วนถูกสืบสานอยู่ในตัวเขา เขากำลังทำงานที่บรรพชนส่งทอดสืบต่อกันมา ไม่มีอะไรที่เป็นของเขาเด็ดขาด เบ็ดเส็ด อย่างความสามารถในการแกะสลักหิน ก็พบว่ามันอยู่ในเลือดเนื้อของปู่ผู้สร้างตราประจำตระกูลขึ้นมาใหม่ หรือกระทั่งความเป็นแพทย์ก็อยู่ในรุ่นก่อนทวดซึ่งมีชื่อเดียวกับเขา "ดร.คาร์ล ยุง" และอีกคนหนึ่งที่ประวัติสูญหายไป ซิกมุนด์ ยุง ... จนกระทั่งถึงพ่อกับแม่

อ่านแล้วทึ่งมาก เป็นสายธารที่สืบเนื่องมา กว่าจะเป็นคาร์ล กุสตาฟ ยุง คนนี้

แรก ทีเดียวเขาสร้างหอคอยอยู่กับครอบครัว แต่หลังจากที่ภรรยาเสียชีวิตไป เขาอยู่คนเดียวเป็นส่วนใหญ่ (ลูกสาวยุงบอกว่า พ่ออยู่ที่นั่นได้อย่างไร มีแต่โครงกระดูทั้งนั้น...ยุงบอกว่าลูกสาวคนนี้มีญาณพิเศษ ด้วยเธอไม่เคยรู้เรื่องราวอะไรก่อนหน้า แต่พอขุดลงไปก็พบเจอซากโครงกระดูกของทหารฝรั่งเศสมากมายอยู่ใต้ดินรอบๆ บริเวณแห่งนั้น) และยุงก็ยังบอกด้วยว่าเขาฝากจิตวิญญาณ งานแห่งชีวิต ไว้กับหิน... อื่ม... นึกถึงชื่อ ดร.สโตน ขึ้นมาเลย..

ครั้งหนึ่งที่ยุงเล่าเรื่องตอนที่เขาป่วย หัวใจวาย ขาหัก เข้าโรงพยาบาล ขณะที่กำลังจะเข้าสู่ความตาย เขาเกิดนิมิตว่า ไปลอยอยู่นอกโลก แต่ก็ไม่ไกลขนาดที่จะเห็นโลกทั้งใบ เขาเห็นเพียงส่วนโค้งของทรงกลม แล้วบรรยายถึงความงาม แสงสีฟ้าของทะเล สีแดงของทะเลทราย ... งดงาม แจ่มกระจ่าง... แล้วเขาก็เห็นมีก้อนหินขนาดใหญ่ลอยผ่านมา ก้อนหินนั้นมีลักษณะคล้ายอุกาบาต แต่ทว่าเมื่อมองใกล้ๆ กับกลายเป็นประหนึ่งวิหาร มีนักพรตฮินดู ห่มขาว นั่งสมาธิอยู่ภายใน แต่พอเข้าผ่านเข้าไป การผ่านเข้าไปนั้นเป็นประหนึ่งการลอกคราบอันเจ็บปวด ความสัมพันธ์กับโลกทั้งมวลขาดสะบั้นลง .. ภายใน เขาได้พบกับรูปปรากฏของหมอเอช(หมอที่ดูแลอาการป่วยของยุงอยู่) ในภาพกษัตริย์สมมุติเทพ มาบอกให้เขากลับไป เพราะงานของเขามีความสำคัญมาก หมอยอมแลกและพร้อมที่ไปแทนเขา...

เมื่อยุงฟื้นคืนกลับมา เขารู้สึกขาดจากโลก ความเจ็บปวดในการลอกคราบตอนละโลก กลายเป็นความสูญเปล่า ยุงต้องกลับมาอีก เขาบอกหมอเอชทันทีที่เจอว่าให้หมอระวังตัว เพราะหมอจะต้องตาย ด้วยจิตไร้สำนึกของหมอได้พบกับเขาแล้ว หากจิตสำนึกของหมอยังไม่อาจเชื่อมโยงหรือรับรู้ในเรื่องดังกล่าว หมอเอชไม่เข้าใจคิดว่าเพ้อเพราะพิษไข้ แล้วหมอก็จากไปจริงอย่างปัจจุบันทันด่วนในวันแรกที่ยุงลุกขึ้นนั่งบนเตียงคน ป่วยได้เอง

วันนี้แชร์กับน้องๆ หิ่งห้อยไปหลังจากเล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า จิตสำนึกที่ไม่อาจเชื่อมโยงกับจิตไร้สำนึกนั้นถูกดับได้ในบัดดล ด้วยจิตสำนึก แสงเทียนอันริบหรี่ที่ถูกจุดขึ้นมานั้นก็เพื่อรับรู้ ส่องแสง ให้ "เขา" (จิตไร้สำนึก?) ได้เห็นและรู้ตัวของเขาเอง เขาทรงพลังอำนาจเกินกว่าที่จิตสำนึกอันน้อยนิดจะจินตนาการได้ เขาเป็นเหตุแห่งการเกิด การดำรงอยู่ และสอดแทรกติดต่ออยู่เสมอ ในหลายๆ ครั้งที่ยุงย้ำว่าความขัดแย้งระดับต่างๆ ของจิตสำนึกกับจิตไร้สำนึก ส่งผลให้เขาเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาได้ในบท "การเดินทาง"

แล้วก็ถือส่วนของปัจฉิมพินิจชื่อ "หวนคำนึง" ให้ใหญ่ฟังตอนห้าทุ่ม ชอบบทนี้มาก ด้วยยุงเปิดใจอย่างจริงแท้ ทั้งได้ความรู้สึกลึกๆ ของเขา ยุงผู้โดดเดี่ยว ...จบบทนี้แล้วตามด้วยจดหมายของฟรอยด์ถึงยุง ยิ่งซาบซึ้งนัก ฟรอยด์รับยุงเป็นบุตรบุญธรรมและแต่งตั้งให้เขาเป็น "มงกุฎราชกุมารทางความคิด ทางจิตวิญญาณ" แต่ยุงกลับบอกว่า เขาจะไม่ใช้ชีวิตเป็นกำแพงปกป้องความไม่รู้ของใครหรือผู้ใดทั้งนั้น

ในหวนคำนึง ยุงยอมรับว่าเขานั้นโดดเดี่ยว "ข้าพเจ้าได้ทำให้ผู้คนขัดเคืองใจเป็นจำนวนไม่น้อย เพราะในทันทีที่พบว่า พวกเขามิได้เข้าใจ ข้าพเจ้าก็จะเลิกใส่ใจทันที ข้าพเจ้าจำเป็นต้องรุดหน้าต่อไป และหาได้มีความอดทนกับผู้คนไม่ นอกจากคนไข้ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจำเป็นจะต้องเคารพกฏเกณฑ์ภายในซึ่งดำรงอยู่และไม่เปิดโอกาสให้มี เสรีภาพที่จะเลือก แม้ว่าจะมิได้เชื่อฟังทุกครั้งก็ตาม เพราะเราจะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความไม่คงเส้นคงวาได้อย่างไรกัน" ... (ยุงเรียกว่า "ความไม่คงเส้นคงวาอันศักดิ์สิทธิ์") ... "สำหรับคนบางคนแล้ว ข้าพเจ้ามักจะอยู่ร่วมด้วยและสนิทสนมใกล้ชิดกับเขานานตราบเท่าที่เขายัง สัมพันธ์กับโลกภายในของข้าพเจ้า แต่แล้วข้าพเจ้าก็อาจมิได้ดำรงอยู่กับเขาอีกต่อไป ด้วยเหตุที่ไม่มีจุดเชื่อมโยงระหว่างเราเหลืออยู่อีก"....

ยุงพูด คล้ายกับว่า หากความเชื่อมโยงภายในลึกๆ ระดับไร้สำนึกดำรงอยู่ ความแปลกแยกแตกต่างก็จะเป็นเพียง "บุคคลิกภาพแห่งปัจเจก" แต่หากความเชื่อมโยงภายในระดับไร้สำนึกไม่ดำรงอยู่แล้ว นั่นเป็นการเปิดพื้นที่ให้แก่ "อัตตา"

ในวัยเยาว์ ยุงรู้สึกว่าเขาค่อยๆ แบ่งแยกจากบรรดาพืชพรรณ ส่ำสัตว์ เมฆหมอกควัน และวันคืนเพื่อเข้าหาความเป็นตัวเองอย่างช้าๆ ตรงกันข้ามกับวัยชราซึ่งยุงบอกว่า "ยิ่งข้าพเจ้าไม่แน่ใจในตนเองเพียงใด ความรู้สึกสนิทสนมชิดเชื้อกับสรรพสิ่งก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเพียงนั้น อันที่จริงแล้ว ดูเหมือนว่าความแปลกแยกซึ่งกั้นขวางข้าพเจ้าออกจากโลก ได้โยกย้ายแปรเปลี่ยนเข้ามาสู่โลกภายใน และได้เผยให้ข้าพเจ้าเห็นถึงความแปลกแยกกับตนเองอย่างคาดไม่ถึง"......

แม่แบบแห่งปัจเจกภาพ .. มณฑลอันศักดิ์สิทธิ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น