คุยกับหมอน้ำมนต์




หมอน้ำมนต์เพื่อนผู้อาวุโส ของผู้เขียนคนนี้เป็นชาวอังกฤษ เป็นลูกชายผู้ดีมีตระกูลเก่า เรียนจบปริญญาเอกฟิสิกส์นิวเคลียร์จากอ๊อกฟอร์ด ทำงานเงินเดือนดี (สถาบันวิจัยพัฒนาด้านนิวเคลียร์ทั้งในสหรัฐและยุโรป) มีแฟนสวย รวยทรัพย์ อยู่ได้จนถึงอายุ 40 ก็เกิดป่วยด้วยโรคกรรมเก่า เป็นโรคที่ไม่มีใครจะช่วยรักษาให้หายได้นอกจากตัวของตัวเอง เขาจึงลาออกจากงาน เลิกกับแฟนหรืออีกนัยยะหนึ่งก็คือโดนทิ้ง แล้วตั้งหน้าตั้งทำน้ำมนต์ หรือในภาษาของเขาจะเรียกว่า “Quantum water” น้ำควอนตัมนี้คืออะไร คงต้องสาธยายกันยืดยาว แต่ถ้าเราพูดถึงน้ำมนต์ผู้อ่านคงพอนึกออก แต่อย่าพึ่งสรุปว่าควอนตัมวอเทอร์นี้เป็นน้ำมนต์แหง๋ๆ โดยเด็ดขาด ห้อยแขวนไว้ก่อน เพราะถ้าใครไปถามหมอผีอ๊อกฟอร์ตคนนี้ว่า ไอ้น้ำควอนตัมที่มีแบบแผนอันแตกต่างกันนับพันหมื่นชนิดของเขานี้ คือ Holy water ใช่ไหมล่ะ? เขาคงจะปฏิเสธเสียงแข็งเป็นแน่
เราลองมาฟังคำอธิบาย อย่างคร่าวๆ สรุปจากการพูดคุยกับเขาดู ก็แล้วกัน ด้วยหมอผีอ๊อกฟอร์ตคนนี้เป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นนักฟิสิกส์ และเป็นศาสนิกที่เคร่งครัด เขาบอกผู้เขียนว่า เชื้อโรคทั้งหลายโดยเฉพาะเชื้อไวรัส (ที่แม้จะได้ชื่อว่าเป็นเครื่องจักรสังหาร คือมันไม่กิน ไม่ถ่าย ไม่สืบพันธ์-แต่ทำสำเนาตัวเอง) นั้นก็มีคลื่นพลังงานเช่นเดียวกับมนุษย์ สัตว์และพืชทั้งหลาย เพราะสิ่งที่ได้ชื่อว่ามีชีวิตย่อมมี “Life force” หรือคลื่นพลังชีวิตอันใสกระจ่างละเอียดอ่อนเป็นตัวขับเคลื่อนอยู่ด้วย ถ้าพลังชีวิตนี้ถูกกระทบ แทรกแซง หรือไหลเวียนไม่เป็นปกติ เราก็จะป่วยไข้ ไม่สดใส ราศีหม่นหมอง
เชื้อโรค เชื้อร้ายต่างๆ นั้นก็เช่นกัน มันมีคลื่นพลังชีวิตของมัน และเมื่อมันมาอยู่กับเรา คลื่นพลังของมันก็จะสกัดกั้น สอดแทรก ทำให้คลื่นพลังชีวิตของเราอ่อนแรงลง หรือไม่ก็แปรเปลี่ยนไป พูดอย่างนี้พอนึกภาพออกใช่ไหม?
เอาเป็นว่า ผีเข้า (ถูกคลื่นแทรก) ก็ต้องพรมน้ำมนตร์ เพื่อเสริมพลังชีวิตให้กลับคืนหรือพูดอีกภาษาหนึ่งก็คือส่งคลื่นที่มีแบบแผน พลังใหม่เข้าไปหักล้างพลังของพวกโรคร้ายนั่นเอง
บรรดาไข้ป่าทั้งหลาย ส่วนใหญ่ถ้าไปหาหมอ แน่นอนว่า หมอ (แผนปัจจุบัน) มีคำอธิบายไปในทำนองเชื้อไวรัส (ทั้งที่เรารู้จักไวรัสกันน้อยมาก ผู้เชี่ยวชาญไวรัสวิทยาในเมืองไทยนั้นก็น้อยเสียจนไม่ต้องนับกันเลย) แต่ถ้าไปหาหมอผี ก็เป็นที่แน่นอนว่า คุณถูกผีเข้า เจ้าป่าเจ้าเขาลงโทษทัณฑ์ แต่ถ้าคุณเป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์และหรือเป็นศาสนิก คุณจะตอบคำถามนี้อย่างไร?

Quantum water ได้มาจากการเก็บแบบแผนของพลังชีวิตบริสุทธิ์ จากดอกไม้นานา คริสตอล ลงในโมเลกุลของน้ำ (ถ้าจะให้กระจ่างลองหาหนังสือชื่อ Message in Water มาอ่านประกอบ) โดยให้โฟตอน (จากแสงอาทิตย์-หรือแสงจันทร์) เป็นตัวนำ การกินน้ำควอนตัมนี้เข้าไป ก็เท่ากับว่าไปแทรกแซงแบบแผนของไวรัส หรือภาษาหมอผีเขาจะเรียกว่า “ตัดวิญญาณ” ไปซะเลย เมื่อไวรัสไร้วิญญาณ มันก็ไม่อาจอยู่ต่อไปได้
นอกจากนั้น เขายังอธิบายเพิ่มเติมโดยถามเราก่อนว่า “คุณพอจะรู้เรื่องจักราไหม? มันเป็นศาสตร์ตะวันออกนะถ้าผมบอกคุณว่า คลื่นของไวรัส บล็อกพลังชีวิตของคุณอยู่ที่จักราไหน สมมุติว่าเป็นจุดจักราบริเวณศรีษะนะ คุณลองดม ดอกมะลิ สูดกลิ่นหอมของมันให้เข้าไปให้ลึกๆ แล้วตอบผมสิว่า กลิ่นของดอกมะลิ วิ่งไปที่จักราไหน..วิ่งขึ้นหัว หรือศรีษะของคุณ..ถูกไหม? ทีนี้มาลองดอกกุหลาบ กลิ่นของดอกกุหลาบ วิ่งไปที่จักราไหน.. หัวใจถูกต้องไหม?”...ฯลฯ

ที่น่าสนุกและมหัศจรรย์ใจไปกว่านั้นก็คือ หมอผีอ๊อกฟอร์ด ยังพูดถึงความดื้อด้านของเชื้อวัณโรค (TB) ซึ่งถือเป็นคู่เวรคู่กรรมกับเขา เราโดยทั่วไปคิดกันว่าทีบี ไม่มีพิษสงอะไรกับมนุษย์แล้ว แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เราไม่เคยชนะทีบีเลย ไวรัสสายพันธ์นี้ปรับตัวเก่งจนหลบอยู่กับเราได้ มันอยู่เพื่อรอคอยเวลาที่ภูมิคุ้มกันของเราเริ่มอ่อนแอลง ก็จะเข้ารุมล้อมเช็คบิลทันที ความร้ายกาจของมันออกมาปรากฏอย่างเด่นชัดในผู้ติดเชื้อ HIV สองประสานนี้จับมือกันเมื่อไรก็เป็นอันว่า รอดยาก...

ครั้งหนึ่งเขา เคยเปรยๆ ขึ้นว่า “คุณไม่รู้หรอก ทีบีนี่มันตามเราข้ามภพ ข้ามชาติ เลยทีเดียว ถ้าใครมีทีบีแล้วไม่รักษาให้หาย ตายไปเกิดใหม่จะมีทีบีตามไปเกิดด้วย เพราะพลังของทีบีนั้นอ่อนละเอียด เกาะติดเป็นกรรมเก่าที่แกะไม่ออก” ขณะที่บางคนหมอตรวจอย่างไรก็ไม่พบเชื้อ หากมีอาการแบบทีบีชัดๆ หมอหลายคนจึงสรุปว่าเป็น “โรคทางจิต” ซึ่งจะว่าไปก็คงไม่ผิด เพราะติดทีบีในระดับจิตวิญญาณ ทีบีในอารมณ์กระมัง

แล้ว การที่ใครบางคนจะรับทีบีนั้นมันช่างแสนง่ายดาย ลองนึกภาพว่าถ้าคุณนั่งอยู่ในรถบัสโดยสารที่ติดแอร์คอนดิชั่น มีคนแพร่เชื้อทีบีนั่งไออยู่ด้วย (ไปดูสถิติเองเถิดว่าบ้านเรานั้นมีผู้ติดเชื้อทีบีในระดับที่แพร่ได้อยู่มาก ขนาดไหน) เท่านี้ คุณก็หายใจเอาทีบีเข้าไปแล้ว และถ้าคุณเกิดเป็นประสาทหวาดระแวงไปตรวจหาล่ะก็ หมอจะจับตรวจเสมหะ (ต้องดูดเสมหะออกมาตรวจกันนับสิบรอบ ถึงจะแน่ใจได้) หรือไม่ก็จับเอ็กซ์เรปอด ซึ่งการเข้าไปปฎิสนธิแพร่พันธ์ จับกลุ่มกันจนเป็นจุดดำให้เห็นในปอดนั้นต้องใช้เวลาระยะหนึ่งแล้ว ขณะที่หมอน้ำมนต์ของเราสามารถตรวจหามันได้ก่อนที่จะเข้าปฏิสนธิหรือก่อรูป ไวรัสในเซลของเราเลยทีเดียว คือได้ตั้งแต่มันยังเป็นไวรัสสัมภเวสี และถ้าลงปฏิสนธิแล้วการรักษาก็ยากขึ้นไปอีก ถ้ามันเติบโตเต็มที่จนเริ่มแพร่พันธ์แล้ว หมอผีก็ต้องขอจับมือก็หมอแผนปัจจุบัน โดยให้กินยาของทางโรงพยาบาลพร้อมกันไปด้วย เรียกว่าต้องโจมตีทั้งสองทาง คือทั้งทางกายและทางจิตของมันนั่นเอง

มีอยู่คราวหนึ่ง ผู้เขียนติดตามหมอน้ำมนต์ไปปราบผีไวรัสแถวสถานสงเคราะห์เด็กติดเชื้อ เราเดินเข้าไปแบบเซ่อซ่ามาก หมอก็แยกตัวไปตั้งปรัมพิธีตรวจชีพจรเด็กอยู่ทางหนึ่ง (ที่เข้าไปได้เพราะเขาทำหนังสือถึงพระชั้นผู้ใหญ่ในยุโรปซึ่งเป็นองค์อุปถัม มูลนิธิฯ อยู่) เราเดินเล่นไปรอบๆ ปรากฏว่าจู่ๆ มีเด็กชายอายุสักสามขวบกว่าเห็นจะได้วิ่งจี๋ตรงเข้ามาหา สัญชาติญาณบอกว่าเป็นความประสงค์ร้าย แววตาของเด็กคนนั้นน่ากลัวมาก ทำให้ต้องถอยหนี เด็กแลบลิ้นออกมา พยายามจะกระโดดเข้ามาเลีย แต่เมื่อเห็นเราถอยก็พยายามถุยน้ำลายใส่แทน พี่เลี้ยงวิ่งเข้ามาจับเด็กก็ร้องไห้จ้าดิ้นพล่านปานจะขาดใจ ภายในของเราสั่นไหวด้วยความกลัวอย่างไม่อาจอธิบายได้ เด็กสามขวบที่ยังมีชีวิตเดินไปมาได้นี้ทำให้เรากลัวได้มากกว่าผีตนใดในฝัน เสียอีก
หมอน้ำมนต์ทิ้งเด็กที่กำลังตรวจวิ่งเข้ามาหาเราแล้วรีบจับ ชีพจรทันที เขาเอาน้ำควอนตัมหยอดให้ดื่มแล้วกลับไปนั่งรอในรถ ตอนขากลับเขาบอกว่าเด็กคนนั้นกำลังอาการหนักมาก เพราะเด็กมี HIV อยู่แล้ว และน่าจะรับเชื้อทีบีจากเด็กอีกคนที่ซึ่งพึ่งเสียชีวิตก่อนหน้านั้นไม่นาน ตอนนี้หมอจากโรงพยาบาลก็อัดยาแผนปัจจุบันแบบเต็มโปรแกรม 6 เดือนให้เขาอยู่ ภูมิคุ้มกันของเขาในตอนนั้นก็ต่ำกว่า 3% เสียอีกโอ...พระเจ้า พระพุทธเจ้า.. เด็กอายุสามขวบตัวผอมกะหร่องที่ป่วยหนักขนาดนั้นเนี่ยนะ วิ่งเร็วปานกระสุน พลังดิ้นของเขานั้นพี่เลี้ยงตัวใหญ่ๆ ต้องเข้ามาช่วยกันรุมจับ ไม่ว่าจะคิดอย่างไร เหตุผลของวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์เก่าก็ไม่อาจอธิบายได้เลย

อย่างไร ก็ตามหมอน้ำมนต์ก็ยังติดอยู่กับ “กรรมเก่า” อันแสนจะหนักหนาสาหัสของตัวเอง เมื่อเราพยายามพูดเรื่อง “กรรมเหนือกรรม” หรือการไม่ยึดติดในกรรมเก่ากับเขากลับบอกเราว่า “ผมป่วย ทนทุกข์ทรมานเพราะกรรมเก่า ทั้งในชาตินี้และชาติก่อนๆ ผมจึงเยียวยาตัวเอง และผู้อื่น ความรู้ที่ผมได้มา ก็ได้มาเพราะกิจแห่งการเยียวยานี้” ปัจจุบันหมอน้ำมนต์ อายุ 62 ปี มีต้นฉบับของแบบแผนคลื่นจากธรรมชาติเก็บอยู่นับหมื่นชนิด และกำลังศึกษา ค้นคว้า ทดลองอย่างขะมักเขม้น ในเรื่องการสอดบรรนสานและหักล้างกันของคลื่นชนิดต่างๆ โดยใช้เงินทุนส่วนตัว พอเงินหมดทีหนึ่ง ก็จะวิ่งออกไปรับงาน (ตามปกติ) สักครั้งหนึ่ง เพราะ “น้ำมนต์” คงขายไม่ได้ราคาเหมือนเหล้าหรือเครื่องดื่มชูกำลัง หากมันคงเป็นหนทางที่เขาเลือกแล้ว เราตั้งคำถามในหัวใจตัวเองว่า “เราจะเยียวยาผู้คนโดยไม่ติดในทุกข์เข็ญได้อย่างไรกันนะ...ถ้ายังไม่สำเร็จ ทองเลน"

1 ความคิดเห็น:

  1. อยากทราบความคืบหน้าของคุณหมอน้ำมนต์จังครับ ว่าคุณหมอทำน้ำมนต์(quantum water)ไปถึงไหนแล้วครับ

    Pete

    ตอบลบ