หลวงปู่ควอนตัม (ตอนที่ 2)


เมื่อมีพระเณรถามหลวงปู่ตามตำราที่ว่ามีเทวดามาชุมนุมฟังเทศน์ หรือมาเฝ้าพระพทุธเจ้าหลายสิบโกฏินั้น จะมีสถานที่บรรจุพอหรือ เสียงจะดังทั่วถึงกันหรือฯ หลวงปู่ตอบว่า “เทวดาจะมาชุมชนุมกัน จำนวนกี่ล้านโกฏิก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะในเนื้อที่หนึ่งปรมาณู เทวดาอยู่ได้ถึงแปดองค์” นั่นหลวงปู่กำลังพูดถึงความจริงทางควอนตัม
ข้อที่ 4 ซึ่งจักรวาลควอนตัมเพิ่มจำนวนได้เป็นหลายๆ จักรวาล หรือหลายมิติ ม้วนซ้อนกันตลอดไป เป็นโลกแห่งอภิมหาสัจธรรม (super-reality world) อันเป็นป่าทึบของความสัมพันธ์ของความเป็นไปได้ต่างๆ นาๆ และความเป็นไปได้แต่ละอย่างก็แยกกันอยู่ในจักรวาลหรือมิติของตนเอง เครื่องมือที่จะใช้สังเกตความเป็นไปได้ก็แยกออกไปด้วย (ระดับชั้นของความจริงที่ม้วนซ้อนสเมือนหนึ่งแยกขาดจากกัน)

แล้วก็มีนักปฏิบัติกราบเรียนหลวงปู่ “กระผมพยายามหยุดคิด หยุดนึกให้ได้ตามที่หลวงปู่สอน แต่ไม่เป็นผลสำเร็จสักที ซ้ำยังเกิดความอึดอั้นแน่นใจ สมองมึนงง แต่กระผมก็ยังศรัทธา ว่าที่หลวงปู่สอนไว้ย่อมไม่ผิดพลาดแน่ ขอทราบอุบายวิธีต่อไปด้วยฯ หลวงปู่ตอบว่า “ก็แสดงถึงความผิดพลาดอยู่แล้ว เพราะบอกให้หยุดคิด หยุดนึก ก็กลับไปคิดที่จะหยุดคิดเสียอีกเล่า แล้วอาการหยุดจะอุบัติขึ้นได้อย่างไร จงกำจัดอวิชชาแห่งการหยุดคิด หยุดนึกเสียให้สิ้น เลิกล้มความคิดที่จะหยุดคิดเสียก็สิ้นเรื่อง” เรื่องนี้สอดคล้องกันกับหัวข้อ “จับกับวาง” ซึ่งหลวงปู่กล่าวไว้ “ผู้ใดหลงใหลในตำราและอาจารย์ ผู้นั้นไม่อาจพ้นทุกข์ได้ แต่ผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้ต้องอาศัยตำราและอาจารย์เหมือนกัน” ตำรา อาจารย์ ความคิด ล้วนใช้ตรรกะเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอด เรียนรู้ อันเทียบได้กับความจริงทางควอนตัมข้อที่ 5 ซึ่งบอกว่า โลกและจักรวาลไม่อยู่ภายใต้ตรรกะของเหตุปัจจัย หรือเหตุผลของมนุษย์ (The world obeys a non-human kind of logical reasoning) นักฟิสิกส์ควอนตัมจึงบอกว่า อย่าพยายามทำหรือพยายามเข้าใจฟิสิกส์แห่งยุคใหม่ตามความคิด ความรู้ที่เรามี แต่จงเปลี่ยนความรู้และความคิดที่มีให้เป็นตรรกะแห่งควอนตัม (quantum-logic) หรือตรรกะแห่งคลื่น

“สิ่งที่ปรากฏเห็นทั้งหมดนั้น ยังเป็นของภายนอกทั้งสิ้น จะนำเอามาเป็นสาระ ที่พึ่งอะไรยังไม่ได้หรอก” เป็นคำของหลวงปู่เมื่อมีผู้บอกว่าตนนั้นวาสนาดี ทำวิปัสนาได้สำเร็จเห็นสวรรค์วิมาน เห็นพระจุฬามณีเจดีย์สถาน นั้นเปรียบได้กับความจริงทางควอนตัมข้อที่ 6 โลกและจักรวาลถูกสร้างขึ้นมา ด้วยส่วนขยายของอนุภาคหรือคิวออนส์ (wave-particle) ใดๆ quons คือส่วนขยายเหมือนกันทั้งหมด (The world is made of ordinary object attribute) นั่นคือไม่ใช่รูปกายวัตถุ แต่รับรู้ให้คิดว่าเป็นวัตถุด้วยพื้นฐาน ที่เป็นธรรมหรือส่วนขยายที่อยู่ในสภาพคลื่นของอนุภาคหรือคิวออนส์ พัวพันโยงใยกัน นีลส์ บอร์ห จึงกล่าวเอาไว้ว่า “วัตถุที่มีรูปกายที่เรารับรู้นั้น นอกจากจะเป็นความฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นแล้ว มันยังเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เอาเสียเลย”

หลวงปู่ฝากไว้ว่า
“จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
ผลกันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
จิตเห็นจิต เป็นมรรค
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ”
เมื่อมาวางคู่กับความจริงทางควอนตัมข้อที่ 7 จิตวิญญาณสร้างความจริงแท้
(consciousness creates reality) จากเหตุที่เราไม่สามารถตรวจจับวัดทิศทางหรือ ทำนายคุณสมบัติของคลื่นอนุภาคได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ก็เพราะว่า เครื่องมือที่ว่านั้นมนุษย์สร้างขึ้นมาจากกฏแห่งฟิสิกส์คลาสิค แต่ถ้าหากเราใช้ เครื่องมือตามธรรมชาติเช่นสมองในความสงบก็จะปรากฏขึ้นมา จากความเชื่อมโยงของส่วนขยาย นั่นจึงเป็นความจริงอีกขั้นหนึ่งที่ปรากฏขึ้น จากการสังเกต (Observation-created reality) It is no possible to formulate the laws of quantum mechanics in a fully consistent way without reference to the consciousness … in the future the very study of the external world will lead to the conclusion that the content of the consciousness is an ultimate reality.

ครั้งหนึ่งเมื่อมีผู้ถามถึงวิธีละนิมิต หลวงปู่บอกว่า “เออ นิมิตบางอย่าง มันก็สนุกดี น่าเพลิดเพลินอยู่หรอก แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้นมันก็เสียเวลาเปล่า วิธีละได้ง่ายๆ คือ อย่าไปดูสิ่งที่ถูกเห็นเหล่านั้น “ให้ดูผู้เห็น แล้วสิ่งที่ ไม่อยากเห็นนั้นก็จะหายไปเอง” กับความจริงทางควอนตัมข้อที่ 8 นั้นเป็น Heisenberg’s potentialities ที่ว่า Only phenomena are real, the world beneath phenomena is not real หรือปราฏการณ์นั้นไม่ใช่เครื่องมือในการรับรู้ความจริง มีแต่จิตวิญญาณเท่านั้นที่มีคลื่นเชื่อมโยงต่อกันกับคลื่นความจริงของจักรวาลซึ่งอยู่ในสภาวะที่เปี่ยมล้นไปด้วยศักยภาพความเป็นไปได้ทั้งหมดทั้งมวล

ตามที่ข้อเขียนนี้ได้ยกเอาความจริงทางควอนตัมทั้งแปดข้อมาเปรียบกับคำสอนของหลวงปู่นั้น ผู้เขียนรู้ดีว่าเกิดจากความ “ริอ่าน” โดยแท้ และหากการเปรียบเทียบนั้นจะเกิดประโยชน์บ้างในทาง “ความคิด” ก็ขอตั้งจิตอธิษฐานให้แปรสภาพจากความเป็นก้อน สู่ความเป็นคลื่น อันทรงคุณสมบัติไหลเลื่อนคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงเชื่อมโยงไปอย่างไร้ขอบเขต

2 ความคิดเห็น:

  1. สนุกจังครับพี่เม จิตประกอบสร้างโลกขึ้นมา โลกนั่นไม่จริง แต่ปรากฎการณ์นั้นเองที่จริง จิตจะยึดถืออะไรได้ ก็เพียงแค่การสร้างขึ้น แล้วก็สลายไป...

    เอ๋

    ตอบลบ
  2. อืมม์ เปิดผ่านบลอกนี้มานาน

    พึ่งจะได้ละเลียดอ่านก้อวันนี้...

    ไม่มีต่อหรือค่ะ? สนุกดี ^_^

    ตอบลบ