ฟังนาซิม ตอนที่ 1

นาซิมเล่าว่า เขาไม่เคยชอบโรงเรียนและไม่เคยทำอะไรได้ดีที่โรงเรียนเลย แต่ก็ต้องไปโรงเรียนตามประสา (ตอนนั้นอายุเก้าขวบ) วันหนึ่งครูบอกว่าจะสอนเรื่องเรขาคณิต เรื่องมิติ เขาตื่นเต้นสุด โอ้โห..เรื่องมิติ!! ..แต่แล้วก็กลับต้องผิดหวังมาก เพราะครูเดินไปเอาชล็อกเขียนจุดๆ นึง บนกระดานแล้วบอกว่านี่คือมิติ 0 ซึ่งไม่ปรากฏอยู่ คำพูดและการกระทำของครูทำให้นาซิมงงมาก มันจะไม่ปรากฏอยู่ได้อย่างไร? ในเมื่อเขามองเห็นจุดๆ นั้นอยู่โต้งๆ จากจุดที่เขานั่งอยู่ เสร็จแล้วครูก็ยังจุดๆ ต่อกันเป็นเส้นตรง แล้วก็บอกว่า นี่คือ 1 มิติ ซึ่งก็ไม่ปรากฏอยู่เหมือนกัน แล้วครูก็เอาเส้นตรงๆ มาต่อกัน เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม บอกว่านี่คือ 2 มิติ ก็ไม่ปรากฏอยู่อีก เสร็จแล้วก็วาดรูปกล่อง ต่อเส้นตรงไปอีกหกเส้นบอกว่านี่แหละที่ปรากฏอยู่ มันคือ 3 มิติ 
ลองนึกหน้าเด็กเก้าขวบที่กำลังงงงัน สับสนสุดๆ ดู ทั้งขำทั้งเอ็นดูเลยทีเดียว นาซิมคิดว่า..มันจะเกิดปรากฏรูปกล่องขึ้นมาได้ยังไง ถ้าจุดไม่มีอยู่ เส้นตรงก็ไม่มีอยู่ รูปสี่เหลี่ยมก็ไม่มีอยู่  (ครูพูดบ้าอะไรของครูว่ะเนี่ย!!)
เขาคิดกับมัน ตั้งคำถาม แต่ก็ไม่มีใครตอบได้ ..ก็ถ้าพื้นฐานที่เรียนตั้งแต่เด็กมันไม่ได้รับการปรับปรุงขนาดนี้ เมื่อโตขึ้น ได้ยินได้ฟังเรื่องทฤษฎีสรรพสิ่ง ที่พูดกันไปถึง 248 มิติ สมการซับซ้อน พัวพันกันมากมาย ใครเล่าจะเข้าใจได้..
และเมื่อไม่เข้าใจอะไร ก็ถูกเตะกลับบ้าน นาซิมนั่งคิดเรื่องมิติบนรถเมล์ที่แน่นขนัด คนเบียดเสียด บรรยากาศร้อนอบอ้าว..ตอนนี้เองที่ ดช.นาซิม เกิดจินตภาพ เกิดมุมมองที่หลุดออกจากตัวเอง จากรถเมล์ จากเมืองลอยขึ้นไปๆ หลุดจากโลก จากระบบสุริยะ จากกาแลคซี่ ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อมองไกลจากมุมที่สูงขึ้นไป ขึ้นไปจะเห็น เป็นจุดๆ เล็กๆ เป็นล้านๆๆ ที่เต็มจักรวาลไปหมด และจุดๆ นั้นก็คืออะตอม .. มีแต่จุดๆ อะตอมๆ เต็มไปหมด และเมื่อเขาหันกลับมามองคนบนรถก็เห็นว่าร่างกายของทุกคนล้วนถูกก่อประกอบขึ้นจากจุดๆ มองไปที่ผ่ามือตัวเองก็เห็นว่ามีแต่จุดๆ อะตอมๆ พร่างราวเช่นเดียวกับดวงดาวในจักรวาล
เมื่อกลับถึงบ้านแล้วได้รับประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นขนาดนั้น แน่นอนว่าดช.นาซิม อยากเล่าให้ใครสักคนฟัง คนๆ นั้นก็คือ แม่ แม่ก็ตื่นเต้นที่จะได้ฟังเพราะคิดว่าลูกชายคงมีความสุขในการเรียนหนังสือขึ้นบ้างแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นครั้งแรกในชีวิตของลูกชายของเธอ แต่นาซิมกลับบอกว่า “แม่ วันนี้ผมเรียนเรื่องมิติที่โรงเรียน แล้วผมก็พบว่ามันผิด..” เท่านั้นหน้าแม่ก็กลายเป็นลูกโป่งสีแดง เมื่อนาซิมเริ่มเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับจุดอันอเนกอนันต์ของเขา แม่บอกว่า ..ลูกก็รู้นี่ แม่ต้องทำงานวันละแปดชั่วโมง แม่เหนื่อยมาก แล้วก็ไม่เป็นอนันต์ด้วย .. 
นาซิมบอกว่า ปัญหาที่แม่เขากล่าวนี้มันจริง ฟิสิกส์ไม่เคยเชื่อมโยงสิ่งใหญ่ๆ กับสิ่งเล็กๆ เข้าด้วยกันได้เลย จักรวาลสัมพัทธภาพของไอน์สไตล์กับทฤษฎีควอนตัมก็รวมกันไม่สำเร็จ เมื่อเราเห็นว่าสิ่งใหญ่ๆ สร้างขึ้นจากสิ่งเล็กๆ แต่สมการมันไม่ลงตัว?!? ความเป็นอนันต์อันไร้ขอบเขตกับขอบเขตจำกัด มีอยู่ทุกหนแห่ง
สายจิตวิญญาณจะพูดถึงความเป็นอนันต์ ขณะที่นักวิทยาศาสตร์จะพูดถึงขอบเขตอันจำกัด แล้วก็ตกลงกันไม่ได้ เหมือนผู้หญิงกับผู้ชาย..
สายจิตวิญญาณจะพูดถึงความเป็นอนันต์ ขณะที่สายวิทยาศาสตร์จะพูดถึงขอบเขตอันจำกัด ระบบปิด แล้วก็ตกลงกันไม่ได้ เหมือนผู้หญิงกับผู้ชาย..ผู้หญิงมักจะคิดอย่างสืบเนื่อง อนันต์ ขณะที่ผู้ชายคิดถึงจุดสิ้นสุด ขอบเขต และลงท้ายด้วยการหย่าร้าง 
นาซิมคิดเชื่อมโยงระบบอนันต์กับขอบเขตจำกัดนี้สืบเนื่องมาจนตั้งแต่เก้าขวบ จนกระทั่งอายุสิบเอ็ดปี เขาเล่าว่าตัวเองนั้นไม่ค่อยเข้ากับสังคมเท่าไหร่ ไม่ค่อยมีความสุข จะมีก็เพียงเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่ง แก่กว่านิดหน่อย อายุประมาณสิบสี่สิบห้าปี สอนให้นาซิมทำสมาธิ ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่าคนเราสามารถดึงเอาสัมผัสที่มักส่งไปออกข้างนอก กลับเข้ามาด้านในได้ และเมื่อเข้าถึงศูนย์กลางได้ ก็พบกับโลกทั้งใบอยู่ในนั้น นั่นก็คือการค้นพบหนทางแก้ปัญหาเรื่องอนันต์กับขอบเขต ด้วยการเข้าๆ-ออกๆ ได้ไม่สิ้นสุดอย่างเป็นอนันต์ ผ่านตัวเราซึ่งมีขอบเขตจำกัด 

แล้วหลังจากนั้นนาซิมก็พบว่ารูปทรงเรขาคณิตอันเรียบง่าย แสดงถึงความเป็นอนันต์ภายใต้ขอบเขตอันจำกัด เขาเริ่มจากสร้างรูปทรงกลม (แน่นอนว่ามีขอบเขตจำกัดที่เขาขีดมันขึ้น) และสร้างสามเหลี่ยมด้านเท่าขึ้นในวงกลม ให้ปลายของมุมทั้งสามด้านจรดเส้นรอบวงกลม  แล้วก็สร้างสามเหลี่ยมด้านเท่ากลับหัวขึ้นมาซ้อนทับรูปเดิม ซึ่งแทนการหมุน (อันเป็นสัญญลักษณ์ของดาวเดวิด) ก็จะเกิดรูปสามเหลี่ยมด้านเท่าขนาดเล็กลงไปขึ้นอีกหกรูป แล้วก็สร้างวงกลมขึ้นครอบสามเหลี่ยมทั้งหกนั้น ก็จะได้รูปทรงที่เหมือนเดิมทุกประการ หากในแต่รูปเกิดจากมุมและด้านที่เกิดต่างกันออกไป (ถือเป็นลักษณะเฉพาะของมัน) ซึ่งก็กล่าวได้ว่ามันเกิดขึ้นบนความสืบเนื่องของกันและกัน และเมื่อเราทำซ้ำไปเรื่อยๆ หรือให้คอมพิวเตอร์รัน ก็จะรันไปได้ไม่สิ้นสุด รูปเล็กลงหากแต่ละรูปไม่มีศูนย์กลางที่ซ้ำกันเลย ทั้งที่ไม่เคยออกไปนอกขอบเขตเดิม (วงกลมแรก) ซึ่งสร้างเอาไว้ ในตอนแรก
นั่นคือความเป็นอนันต์อันอยู่ภายใต้ขอบเขตจำกัด (fractal) ที่สามารถแสดงเป็นสมการคณิตศาสตร์และรูปทรงเรขาคณิตได้ ..ไม่เช่นนั้น เรื่องที่เสมือนไม่มีจุดเชื่อมต่อนี้ ก็จะเป็นแค่เพียงแนวคิด เชิงจิตวิทยา ปรัชญา หรือไม่ก็เป็นหลักเกณฑ์ความเชื่อที่ไร้ข้อพิสูจน์เท่านั้น 
ดังนั้น ภายใต้ขอบเขตอันจำกัด ย่อมมีข้อมูลอันไม่จำกัดอยู่ภายในได้ และมีการแบ่งส่วนอันไม่สิ้นสุดขึ้นภายในได้ด้วย แล้วถ้ารูปทรงนี้เป็นจริง สมการที่ได้มันจริง นั่นก็แปลว่าเมื่อเราสัมผัสขอบเขตของอะตอมของเรา หรือเซลของเรา แล้วแบ่งมันไปเรื่อยๆ ก็จะได้ข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดสิ้นสุด นั่นก็แสดงว่าเราได้กลศาสตร์และระบบคณิตศาสตร์ที่จะทำให้เราเข้าถึงธรรมชาติอันเป็นอนันต์ซึ่งก่อปรากฏตัวเราขึ้นมาแล้ว  
นาซิมบอกว่า นี่มันมีความหมายกับจิตวิญญาณและปรัชญามาก แต่มันมีความหมายอะไรกับฟิสิกส์ล่ะ? เขากล่าวติดตลกว่ามันน่าจะมีความหมายมากทีเดียว เพราะพวกนักฟิสิกส์จะได้เลิกหาอนุภาคพื้นฐานที่เล็กที่สุดซะทีนึง  ก็เมื่อศตวรรษที่แล้วเราค้นพบเซล ว่ามันเล็กมาก เราก็ตื่นเต้น และคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เล็กที่สุดซึ่งจักรวาลสร้างขึ้นแล้ว แต่จากนั้นไม่นาน เราก็พบว่าในเซลมีอะตอมเป็นพันๆ ล้าน เราก็ตื่นเต้นกับอะตอมอีก และ sub อะตอมอีก เล็กลง เล็กลงเรื่อยๆ พวกนั้นจะได้รู้ว่ามันไม่มีจุดสิ้นสุด แล้วก็จะได้เลิกสร้างเครื่องเร่งอนุภาคที่ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น เพื่อที่จะให้เร่งความเร็วได้มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญมันแพงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย(จนเครื่องล่าสุดนี้น่าจะมีความยาวถึง 17 ไมล์ ใช้งบประมาณการสร้างเป็นหมื่นล้านเหรียญ เท่ากับงบการเงินของประเทศห้าประเทศรวมกันแล้ว) แล้วในที่สุดก็จะมีคนฉลาดกว่ามาพบว่ามันจะต้องมีสิ่งที่เล็กลงไปกว่านั้นอีก ..เล็ก จิ๋ว จนกระทั่งเราไม่มีปัญญาจะสร้างเครื่องมือตรวจจับขึ้นมาแล้ว นาซิมสรุปใน part 2 นี้ว่า แทนที่เราจะมองหาอนุภาคพื้นฐานที่เล็กที่สุด เรามามองหา “แบบแผนพื้นฐานของธรรมชาติ” กันไม่ดีกว่าหรือ? เพราะถ้าเราเข้าใจแบบแผน เราก็จะเข้าใจว่าจักรวาลสร้างสรรค์อย่างไร? เราจะได้กุญแจสำคัญของการแบ่งแยก space เพื่อสร้าง reality ของเราขึ้นมา เราจะได้กุญแจของการสร้างสรรค์ (อันเอนกอนันต์ไม่สิ้นสุด) นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่ “มีประโยชน์” 
แล้วจากนั้น นาซิมก็เกิดคำถามขึ้นมาอีกว่า ถ้าจะบ่งชี้ไปที่บางสิ่งซึ่งเชื่อมโยงกับทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ เราจะนึกถึงอะไรล่ะ? เราได้ยินได้ฟังกันมามากว่า ทุกสิ่งทุกอย่างคือหนึ่งเดียวกัน เชื่อมโยงถึงกันหมด ..แต่มันยังไงล่ะ? ถ้าตอบไม่ได้ มันก็เป็นแค่แนวคิด เป็นแค่ด็อกม่า อีกแล้ว!!! ถ้าคุณตอบว่า consciousness (จิต) ก็เท่ากับคุณไม่ได้ตอบอะไร เพราะคนในห้องนี้ก็มีจิต ที่แตกต่างกันหมด คำตอบของนาซิมก็คือ..space ..พื้นที่ว่าง ความว่าง..
ความว่างซึ่งอยู่ระหว่างทุกสิ่งทุกอย่าง ระหว่างจักรวาล ระหว่างกาแลคซี่ ดวงดาว และในระดับอะตอม space -ความว่างก็ิมีอยู่ในอัตราส่วนโครงสร้างถึง 99.99999…% สิ่งที่คุณว่ามันแข็งตันในความเป็นจริงของคุณนั้นเกือบทั้งหมดมันคือความว่าง มันคือ space แล้วคุณรู้มั๊ยว่าคุณไม่เคยได้สัมผัสอะไรอย่างแท้จริงเลย อะตอมของโมเลกุล หากเทียบขนาด (เมื่อมันมาอยู่ชิดกันแล้ว) ก็ห่างอย่างน้อยประมาณสองสนามฟุตบอล นอกจากจะมีช่องว่างระหว่างมันแล้วก็ยังมีที่ว่างภายในอีกมากมายมหาศาลดังว่า ดังนั้น เราก็น่าจะมาใส่ใจกับสิ่งที่มีอยู่มากมายในเปอร์เซนต์สูง มากกว่าส่วนที่เป็นสสารอันน้อยนิด เราใช้เวลาใส่ใจกับสสารที่มีอยู่ .00000..1% กันมานานพอแล้ว 
ก็แทนที่สสารจะอธิบายความว่าง บางทีความว่างอาจจะอธิบายสสารก็เป็นได้ นาซิมบอกว่าเขาเข้าใจว่าเรื่องนี้จะเปลี่ยนแปลงในระดับจิตอันเป็นฐานความคิดความเข้าใจกันเลยทีเดียว  คุณจะเดินออกไปพร้อมกับรู้ว่าตัวเองนั้นประกอบไปด้วยความว่าง ความว่างอธิบายความเป็นตัวคุณ มากกว่าที่คุณจะอธิบายถึงความว่าง 
part 3
นาซิมเล่าว่า เขาศึกษาฟิสิกส์ 15 ปี แบบแยกออกมาจากกระแสหลัก เพราะไม่ต้องการตอบคำถามใครถึงวิธีคิดของเขา และไม่ต้องการตอบว่าเขาอยากจะคิดอะไร? แน่นอนว่าเมื่ออยากได้อิสรภาพขนาดนั้นก็เลยใช้ชีวิตอยู่ในรถแวนเป็นเวลาห้าปี เพราะมันไม่เสียค่าเช่าบ้าน ไม่ต้องหาเงินมาก ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเรียนๆๆ แล้วก็คิดอย่างที่อยากจะคิด ทดสอบทดลองแบบที่อยากทำ ขณะที่คนชอบฟิสิกส์ส่วนใหญ่ในยุค 70-80 จะชอบเรื่องทฤษฎี แต่มันก็ไม่ใช่ง่ายเลยที่จะไปให้ถึงระดับนั้น..แล้วหลังจากนั้นห้าปี นาซิมก็มีสปอนเซอร์ (มาช่วยดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย ทำให้เขาออกจากรถแวนมาได้) แต่ก็มีข้อเสนอว่าเขาจะต้องไปเข้าร่วมประชุมทางฟิสิกส์ ซึ่งก็ไม่น่าจะใช่เรื่องที่เขาอยากทำ (แบบไปเสนอหน้า!!) แต่ก็ถูกพาไปจนได้ ..นาซิมเข้าไปประชุมร่วมพร้อมหนังสือใหญ่เล่มหนึ่ง “gravitation” ซึ่งเป็นเหมือนไบเบิล เขียนโดยยักษ์ใหญ่ของวงการฟิสิกส์ วีเลอร์ ทอน กับแมดเนอร์ (เล่มใหญ่มาก) นาซิมกล่าวติดตลกว่า พอยกหนังสือขึ้นก็จะเข้าใจเรื่องแรงดึงดูดได้เลย (เพราะมันหนักมาก) 
ในการประชุมนาซิมตั้งคำถามแบบที่ถูกมองว่าเป็นคำถามก่อกวน เหตุที่ถือเป็นเรื่องก่อกวนก็เพราะการประชุมเป็นระดับก้าวหน้า (advance) แล้วไม่มีใครที่จะคำถามในเรื่องพื้นฐานกัน ทุกคนที่มานั้นดูเหมือนยอมรับโดยปราศจากข้อกังขาในรากฐานทางฟิสิกส์แล้ว คุยกันเรื่องสิบเอ็ดมิติ ทฤษฎีสติงค์ฯลฯ คำถามน่าจะดูซับซ้อน แต่เขากลับไปถามคำถามเบสิก อย่างจากหนังสือหน้า 719 ..เป็นที่เข้าใจว่าเรายอมรับสมการจักรวาลกำลังขยายตัว ซึ่งการอธิบายเรื่องนี้จะใช้ภาพคนเป่าลูกโป่ง -บนพื้นผิวของลูกโป่งมีเหรียญเพนนีติดอยู่ทั่ว เป็นสัญลักษณ์แทนกาแลคซี่ เมื่อลูกโป่งพองลมขึ้น เหรียญเพนนีก็จะห่างออกจากกัน ซึ่งก็คือกาแลคซี่จะมีระยะห่างจากกันมากขึ้นเมื่อเอกภพขยายตัว ..ทุกคนก็พยักหน้าว่าเข้าใจ ใช่แล้ว ยังไงล่ะ?.. นาซิมถามต่อทำนองว่า ผมไม่เข้าใจอ่ะ ผมพยายามศึกษามาก คิดกับมันมาก แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่า... “ไอ่คนที่กำลังเป่าลูกโป่งนี่มันใครอ่ะ” (เสียงหัวเราะดังยาว) หากนาซิมอมยิ้ม พลางกล่าวว่า ที่นั่นผมได้รับการตอนสนองที่ไม่เหมือนกับตรงนี้นะ ในการประชุมนั้นทั้งห้องเงียบกริบ (บางท่านก็ถึงกับสำลักกาแฟ) ผู้อำนวยการก็เริ่มเหงื่อแตก กลัวนาซิมจะเอ่ยคำว่า “God” ในที่ประชุมฟิสิกส์  พวกเขาคงกำลังภาวนาว่า ได้โปรดอย่าพูดนะ อย่าพูดอย่างนั้นกับนักเรียนของเรา!! นาซิมเลยบอกว่าเอาล่ะ ผมจะขอวาดภาพคนเป่าลูกโป่งนี้ต่อ คือวาดท่อต่อลงมาจากปากที่เป่าถึงปอด แล้วบอกว่า เมื่อลูกโป่งพอง ปอดก็จะต้องแฟ่บ ทุกอย่างจะต้องมีปฏิกริยาตรงกันข้ามที่เท่าเทียมกันอยู่ ซึ่งไม่ค่อยได้รับความสนใจในวงการฟิสิกส์ ฟิสิกส์วันนี้จึงเป็นวันของการขยายออก ระเบิดออก ผู้ชายกำลังระเบิดใส่จักรวาล (มีความหมายแฝงแน่ หน้าตาเธออมยิ้ม) แอดวานซ์เทคโนโลยี แอดวานซ์เอนจิเนีย คนที่เราเคารพนับถือกันในวงการส่วนใหญ่ก็เป็นพวกนักสร้างทางวัตถุ ยานอวกาศ แคปซูล สร้างเสร็จแล้วก็ไปตามหาอาสาสมัครมาใส่แคปซูล (นั่งภาวนาอยู่ข้างในขอให้รอดตายด้วยเถอะ) แล้วจุดไฟ (เขาทำท่าล้อเลียนยานอวกาศที่พุ่งขึ้นไปช้าๆ ได้ไม่กี่ไมล็ แล้วปล่อยทิ้งถังเชื้อเพลิง ปุ๊บ!! แล้วพุ่งออกไป) อย่างในรถยนต์เราสร้างสนาม พลังงานอัดๆ จุดระเบิด 
แล้วการระเบิดออกของ creation การสร้างสรรค์เล่าเป็นอย่างไร? มันจะเป็นไปได้ยังไงถ้าไม่มีการเข้าๆ ออกๆ จากศูนย์กลาง อย่างเป็นพลวัต ต้องมีการอัดพลังงานเข้าไปในสนาม ถ้าจักรวาลระเบิดออกจากจุดๆ หนึ่ง มันก็ย่อมต้องมีกระบวนการอัด บรรจุ พลังงาน ซึ่งน่าจะเป็นแบบแผนเดียวกันกับที่ระเบิดออกมาเข้าไปในศูนย์กลางนั้นก่อน ทุกกริยาจะต้องมีกริยาตรงกันข้ามที่เท่าเทียม (เป็นปฏิกริยา) นั่นคือพื้นฐานฟิสิกส์ 

นั่นอาจจะเป็น space ที่เก็บข้อมูลทุกอย่างเอาไว้ อาจจะเป็น space ที่เก็บรังสีเอาไว้ แล้วถ้ามันจริง มันก็คือ space เชื่อมโยงทุกอย่างตั้งแต่ใหญ่สุดกับเล็กสุดเอาไว้ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น space ก็ต้องมี infinite dance (การเต้นรำอันสืบเนื่อง สั่นไหว อย่างไม่สิ้นสุดหรือเป็นอนันต์) มันจริงรึเปล่าล่ะ? หลังจากนั้นนาซิมก็ศึกษาเพิ่มเติมอีก จนความคืบหน้าในวันนี้ก็ดีขึ้นกว่าวันนั้น การประชุมครั้งนั้นอันนาซิมบอกว่า บางอย่างเป็นดราม่าติกมากซะจนพรมเปียกไปหมด..
เมื่อเราศึกษาควอนตัม เราพบว่า ความว่างในอะตอมไม่ได้เป็นความว่างที่ว่างเปล่า แต่เต็มเป็นด้วยความสั่นไหว ที่รุนแรง เต็มไปด้วยพลังงานมหาศาล และเมื่อพยายามจะเข้าไปคำนวนหาว่ามันมีเท่าไหร่ ก็พบว่า..
…present-day quantum field theory “gets rid by a renormalization process” of an energy density in the vacuum that would formally be infinite if no removed by this renormalization.

นาซิมพูดปนเสียงหัวเราะกลั้วในลำคอว่า นั่นคือสิ่งที่พวกเขาพยายามจะทำกับผมในโรงเรียน “renormalization” (ทำให้กลับเป็นปกติ) .. แล้วก็อ่านซ้ำตรงคำว่า ..an energy density in the vacuum that would formally be infinite..
นั่นคือสมการโดยตัวของมันเองแสดงว่า ภายในพื้นที่ว่างของอะตอม โมเลกุลนั้นเต็มไปด้วย infinite dance  มันแปลว่าที่ว่าง อวกาศ ไม่ได้ว่างเปล่าแต่มันมีการสั่นไหวอันไม่สิ้นสุด และเพราะว่ามันสั่นไหวตลอดเวลาทุกสิ่งทุกอย่างเลยเชื่อมโยงกัน แต่สำหรับเรามันกลับดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งนั่นก็แปลว่าเราล่องลอยอยู่ในนั้น (ไปกับกระแสของกาลอวกาศ) และแปลว่ามันมีพลังงานมหาศาลอยู่ นั่นคือสิ่งที่นาซิมเคยคาดเดาเอาไว้จากพื้นฐาน จากระดับเบสิก
ขณะที่ผู้คนบนโลกใบนี้มานั่งคิดว่าอาจจะมีพลังงานไม่พอใช้ เราจะทำยังไงกันดี ..เราก็ต้องมาทำงานกันใช่?!?.. 
เมื่อสมการมันออกมาเป็นอนันต์อย่างนั้น ทางฟิสิกส์ก็ไม่อาจจะยอมรับได้  ก็ถึงจะต้องมาทำ renormalize (คือทำให้กลับเป็นปกติ) เพื่อให้ได้จำนวนจำกัด ได้ขอบเขตที่แน่นอน
 ในทางควอนตัม ก็ได้ Planck Distance คือค่ารวมที่ต่ำที่สุด (เล็กจิ๋วที่สุด) ที่จักรวาลสามารถสร้างช่วงคลื่น ออกมาได้ 1.616 x 10 ยกกำลัง -33 cm โดยใช้ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าและทฤษฎีแรงดึงดูดมาคำนวน
เป็นช่วงคลื่นที่เล็กจิ๋วมากๆ เกือบจะเรียกได้ว่าเล็กที่สุด คือเติมศูนย์ข้างหน้าไปสามสิบสามตัว เล็กกว่าอะตอมเป็นพันล้านเท่าตามสมการ ถ้าถามว่านาซิมเชื่อรึเปล่าว่านี่คือเล็กที่สุดแล้ว เขาก็ไม่เชื่อ! แต่เขาเชื่อว่านี่เป็นขอบเขตพื้นฐานที่เราพบว่ามันเป็นฐานราก ซึ่งเชื่อมโยงโลกของเรากับจักรวาล จากสเกลของเราแล้ว นี่เป็นมาตรวัดที่เล็กที่สุดที่เราได้เจอ (หรือมีประสบการณ์ร่วม)  แล้วก็คิดกันต่อว่า จะใส่ความสั่นไหวอันเล็กจิ๋วนี้เข้าไปในสี่เหลี่ยมลูกบากศ์เซ็นติเมตร นั่นคือเรากำลังจะหาจำนวนจำกัดของความหนาแน่น หรือมวลต่อหน่วยของที่ว่าง เราจึงบรรจุช่วงคลื่นที่เล็กจิ๋วนี้เข้าไปในลูกบากศ์เซ็นต์ เป็นกระบวนการ(renormalized vacuum density)แล้วก็ได้พบว่าในที่ว่างลูกบากศ์เซ็นติเมตรนี้มีพลังงานบรรจุอยู่ถึง 10 ยกกำลัง 93 กรัมต่อลูกบากศ์เซนติเมตร นั่นแปลว่ามีศูนย์ต่อท้ายเก้าสิบสามตัว (พลังงานมหาศาลมาก) ลองนึกถึงการฝากธนาคารด้วยความว่าง vacuum แบบนี้เมื่อเทียบกับการฝากเงินปกติซึ่งเพิ่มวงเงินฝากไปเรื่อยๆ ได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดูก็แล้วกัน 
ลองนึกภาพว่าคุณมีศูนย์ต่อท้ายไปห้าสิบตัวแล้วคุณก็ยังใส่เข้าไปอีก มันมีการเต้นไหวของผลรวม อยู่ในความอัดแน่นมากขนาดนั้น แล้วถ้าเปรียบกับการบีบอัดจักรวาล ดวงดาว กาแลคซี่เป็นพันๆ ล้าน บีบอัดเข้าบรรจุไว้ในลูกบากศ์เซนติเมตรล่ะ?  เราจะจินตนาการถึงแดนซ์ภายใน การสั่นไหวภายใจ พลังงานที่ถูกอัดไว้ภายในได้มั๊ย? จะมีความหนาแน่น 10 ยกกำลัง 55 ต่อลูกบากศ์เซ็นติเมตร ถ้าคำนวณความหนาแน่นจากการบีบัดจักรวาลนั้นแล้ว เรายังต้องเติมศูนย์เข้าไปอีก 39 ตัว เมื่อเทียบกับความหนาแน่นของความว่าง vacuum ที่คำนวนไว้ข้างบน!! (10 ยกกำลัง 93) และคุณคิดว่าเมื่อนักฟิสิกส์ค้นพบเรื่องนี้แล้วพวกเขาทำยังไง? คุณคงคิดว่าพวกเขาน่าจะตื่นเต้นและเริ่มใคร่ครวญอย่างจริงจัง แต่เปล่าเลย!! พวกเขามองไปที่ตัวเลขมหาศาลแล้วกุมขมับ.. โอ้มายก๊อด นี่หรือความว่าง บรรลัยล่ะ!! (vacuum catastrophe) ห๊า..เราทำไงกันดีวะเนี่ย โอเค ก็แค่เมินมันซะ (เสียงหัวเราะดังครืน) ซุกไว้ใต้พรมแล้วบอกว่าจำนวนมหาศาลนี้ no physical meaning ไม่มีความหมายที่สำคัญทางกายภาพ ห๊ะ!! นาซิมอุทาน.. นี่มันเป็นพลังงานมหาศาลที่สุดเท่าที่ได้พบเจอะเจอแต่คุณกลับบอกว่ามัน "ไม่มีความหมายสำคัญทางกายภาพ?!?" ทั้งที่มันน่าเป็นแหล่งกำเนิดของความหมายทั้งหมดทางกายภาพมากกว่า ถึงตอนนี้คุณอาจจะเริ่มคิดว่านักฟิสิกส์พวกนั้นเสียสติไปแล้ว แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วทำไมผมถึงคิดว่าสมการนี้มันไม่ใช่สมการบ้าบอก็เพราะ Casimir Effect (ทดลองโดยการตั้ง plates สองอันที่ให้ใกล้กันพอสมควร เมื่อบีบเข้าหากันก็ได้คลื่น ช่วงความถี่ยาวออกมาจากด้านหลังเพลททั้งสอง ที่เป็นความว่าง vacuum อยู่ ขณะที่ตรงกลางระหว่างสองเพลทจะมีคลื่นช่วงสั้นอยู่ นั่นแสดงว่ามันมีพลังงานอยู่ข้างนอก (หลัง plate) มากกว่าพลังงานที่อยู่ข้างใน (เมื่อเราบีบอัด) ศ.ดร.คาสิเมียร์ นำเสนอแนวคิดนี้ในปี 1947  ตอนที่พบนั้นเขาคำนวนว่าต้องมีการบีบอัดจากเพลทที่ระดับหน่วยไมครอน ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครทำได้ ไม่มีใครสร้างเพลทที่บางขนาดนั้นได้ และไม่มีทางทำให้เพลทบีบอัดเข้าหากันใกล้ขนาดนั้นได้ แต่วันนี้เราทำได้แล้ว เราก็พบว่ามันตรงกับผลการคำนวนของคาสิเมียร์ ซึ่งเป็น vacuum density ที่คำนวณไว้ตั้งแต่ปี 1947 มันอยู่ตรงนั้นแล้ว และตอนนี้วงการฟิสิกส์ก็ค่อยๆ ยอมรับความจริงที่ว่า จักรวาลไม่เพียงแต่ขยายออก หากมันขยายในอัตราเร่งด้วย มันแสดงว่า vacuum ความว่างที่ระดับจักรวาลนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้จักรวาลขยายออก  (แต่ผู้ฟังก็อาจจะเคยได้ยินการนำเสนอเรื่องจักรวาลไม่ได้ขยายออกมาแล้ว) นาซิมบอกว่า เวลาเขาพูดว่าจักรวาลขยายออก มันหมายถึงการถอยห่างจากกันของกาแลคซี่ แล้วการถอยห่างนั้นทำให้นาซิมคิดว่าจักรวาลกำลังขยายออกหรือเปล่า..เขาตอบว่าไม่! เขาไม่ได้คิดว่ามันขยายออก ที่เขาคิดก็คือมันอาจจะเคลื่อนออกจากศูนย์กลางที่ระดับศูนย์สูตร แล้วเคลื่อนกลับไปยังศูนย์กลาง ณ ขั้วเหนือ-ใต้ (คล้ายกับการเคลื่อนของขั้วโลกเหนือใต้ อันเรายังไม่รู้) หากเราลองมาดูพลวัตที่สร้างภาพ หรือมุมมองนั้นขึ้นมากันดีกว่า เรามาดูพลวัตของธรรมชาติ ซึ่งมีความซับซ้อนขึ้นมาหน่อย ด้วยมันไม่ได้เป็นเพียงแค่วงกลม แล้วถ้าที่พูดมานี้มันจริง ก็แปลว่าเราอยู่ใน vacuum ซึ่งมี space ระหว่างคุณกับผม เชื่อมโยงเราไว้ด้วยกัน นั่นเป็น information ที่อยู่ใน space ซึ่งถูกแบ่งเป็นระดับเฉพาะต่างๆ ตามสเกล และสเกลนั้นสร้างความเป็นจริงทั้งหมดของเราขึ้นมา เราเป็นส่วนหนึ่งในสเกล ..แทนที่สสารจะผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า ยังไง? จากไหนก็ไม่รู้? กลายเป็นว่า สสารเป็นเพียงแค่ผลของการแบ่งโครงสร้างของ space โดยตัวของมันเอง และคุณ interact ปฎิสัมพันธ์กับโครงสร้างนั้นตลอดเวลา ทุกวินาที ทุกเสี้ยวของพันล้านวินาที คุณรู้มั๊ยว่าอิเลคตรอน และโปรสิตอน ทั้งหมดในอะตอมของคุณมันปรากฏแล้วก็หายไป แล้วก็ปรากฏขึ้นมาใหม่แล้วก็หายไปอีก ปรากฏ-หายไป ปรากฏ-หายไป ใน vacuum อยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่อิเลคตรอนปรากฏขึ้น มันเรียนรู้ (มีประสบการณ์) แล้วส่งกับไปใน vacuum แล้วปรากฏเพื่อเรียนอีก กลับเข้าไปอีก เข้าๆ ออกๆ อย่างนั้น ..คุณ informing (ส่งข้อมูลให้) จักรวาลตลอดเวลาจากมุมมองเฉพาะของคุณ ที่มีต่อทุกสิ่งทุกอย่าง และผมสามารถอธิบายมันเป็นสมการทางคณิตศาสตร์ได้ นั่นทำให้คนในสายจิตวิญญาณบอกว่า “คุณสร้างความเป็นจริงของคุณขึ้นมาเอง” แต่ส่วนที่ขาดไปคือส่วนของวงจรสะท้อนกลับ (feedback loops) นั่นก็คือ ความเป็นจริงก็สร้างคุณขึ้นมาด้วย vacuum is defining your existence ..ความว่างคือความหมายของการปรากฏขึ้นของคุณ นั่นเพราะว่า หากเราต่างก็สร้างความเป็นจริงของตัวเองขึ้นมา อย่างอิสระจากกัน เราจะไม่มีทางประสบพบเจอกัน มันคงเป็นอะไรที่ห่วยแตกมาก เราต่างก็เดียวดายอยู่ในจักรวาลที่เราสร้างขึ้น คนมันหายไปไหนกันหมดวะ!! (เสียงฮาครืน) มันคงน่าเบื่อมาก ที่เราสร้างทุกอย่างที่เราต้องการขึ้นมาได้ ตลอดเวลา น่าเบื่อสุดๆ แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น นั่นเพราะเมื่อคุณส่งข้อมูลกับเข้าสู่ vacuum / vacuum เชื่อมโยงเราถึงกัน มันมีข้อมูลของทุกคนอยู่ในนั้น แล้วมันก็ส่งกลับให้คุณเป็นประสบการณ์ซึ่ง coordination กับทุกสิ่งทุกอย่าง และนั่นก็คือ consensual reality (ความเป็นจริงอันปฏิสัมพันธ์) นั่นคือคนหนึ่งใดก็สามารถจะเป็นทั้งหมดของสเกลได้ แต่นั่นมันไม่ได้แปลว่าเมื่อใครคนใดคนหนึ่งบอกว่า โอ้วันนี้ร้อนจัง ทำให้ดวงอาทิตย์เย็นลงหน่อยดีกว่า และทำให้คนที่น่าสงสารในอลาสก้าหนาวสั่นจะตาย นั่นคือสเกลของความสัมพันธ์ อย่างแนวคิดเรื่อง butterfly effect เป็นอุปมัยอุปมา ผีเสื้อในอัฟริกาขยับปีก แล้วทำให้เกิดเฮอร์ริเคนในฟอริด้า มันพบในสเกลอันซับซ้อนของทฤษฎีเคออส แนวความคิดนั้นจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อคุณใส่เข้าไปในสเกล ความเป็นไปได้ที่ผีเสื้อตัวหนึ่งขยับปีกแล้วจะก่อพายุเฮอร์ริเคนนั้นมันต่ำสุดๆ หรือแทบไม่ปรากฏได้เลย ทำไม?!! เพราะว่ามันห่วยแตก!! เหมือนส่งคนจากฟอริด้าไปเอาปืนจี้ผีเสื้อตัวนั้น แต่ถ้าคุณมีผีเสื้อเป็นล้าน แล้วทุกตัวขยับปีกของมันพร้อมๆ กัน ทีนี้แหละเกิดบางอย่างขึ้นแน่ นั่นคือถ้าเราอยากเคลื่อนไปข้างหน้า เราก็ต้องใส่แรงเข้าไปในระบบ มันถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลง นั่นคือเหตุผลที่ทำไมผมต้องมาพูดคุยกับผู้คน!! เราต้องเคลื่อนไปด้วยกันเพราะมันเป็นความเป็นจริงอันปฏิสัมพันธ์ แล้วมันก็สำคัญมาก ที่คนเราจะต้องเข้าใจว่า ก่อนอื่นคุณต้อง “รับผิดชอบ” กับสิ่งที่คุณใส่เข้าไปใน vacuum แล้วคุณก็ต้องรู้ว่ามันจะไม่เป็นไปตามที่คุณต้องหรอกแป๊ะๆ ทั้งหมดหรอก เพราะว่าคุณส่งข้อมูลเข้าไปในสนามความสัมพันธ์อันหลากหลาย แล้วคุณก็มีปฏิสัมพันธ์กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไปในนั้นด้วย ฉะนั้น ขอให้มีความเมตตากรุณากับตัวเองเยอะๆ 

และสเกลนี้ ..(ถ้ามันจริง) ผมคุยเรื่องนี้กับดร.เลาเชอร์ นักฟิสิกส์คนเดียวที่ทำงานกับผม เพราะเธอไม่มีอะไรจะเสีย (เธอลาออกจากทุกตำแหน่งแล้ว) เธอบอกว่า..ฉันคิดว่าคุณบ้า แต่ถ้าคุณถูก เราก็ควรจะเขียนสเกลนี้ออกมา เพราะดูเหมือนว่า vacuum จะแบ่งสเกลเป็นลักษณะเฉพาะของมัน (แสดงภาพสเกลที่แกนนอนแสดงระดับสสาร แกนตั้งเป็นระดับพลังงาน) แล้วก็วางสัญญลักษณ์แทนสสารในจักรวาล จากใหญ่สุดไปถึงเล็กสุด โดยเริ่มจากขนาดของจักรวาล (คือ 10 ยกกำลัง 55) แล้วจักรวาลก็เกิดมีหลุมดำด้วย หลุมดำซึ่งมีสสารหนาแน่นมากซะจนแสงผ่านออกมาไม่ได้ เรารู้จากไอน์สไตน์ว่าแสงโค้งเพราะสนามกราวิตี้ อย่างดวงดาวที่อยู่ข้างๆ ดวงอาทิตย์ แล้วที่เราเห็นว่ามันอยู่ข้างๆ ดวงอาทิตย์ก็เพราะลำแสงโค้ง ถ้าคุณส่งแสงเลเซอร์ตรงขึ้นไปบนฟ้า ลำแสงจะถูกทำให้โค้งโดยแสงจากดวงอาทิตย์เล็กน้อย และดาวดวงอื่นๆ ๆๆ อีกเล็กน้อยๆ จนมันโค้งอีก แสงตรงทะลุตรงออกไปไม่ได้.. “เราอยู่ในหลุมดำ” ?!?..ทำไมมันเป็นอย่างนั้น ก็เพราะการแบ่งมันเป็นอนันต์ และแบ่งไปเท่าไหร่ๆ ก็จะพบสสารในทุกๆ ช่วงการแบ่ง สสารที่เล็กลงเรื่อยๆ ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงเป็นซิงกูราลิตี้น้อยๆ  ของ infinite dance แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องเป็นหลุมดำน้อยๆ ด้วย ทุกๆ อะตอมที่สร้างคุณขึ้นมา ผมคำนวนขึ้นมาแล้วก็มีความสุขมากที่พบว่าทุกอย่างมันสอดคล้องต้องกันหมด สสารในจักรวาลกับความหนาแน่นของหลุมดำ แล้วผมก็มาดูที่ เควซ่าของกาแลคติกเซ็นเตอร์ ตามสเกลของพลังงานและการแผ่รังสี ก็ปรากฏว่าเส้นกราฟมันพุ่งขึ้น บวกวัตถุเข้าไปมันก็ยังเรียงตัวกันอยู่ แล้วก็ใส่อะตอมเข้าไปอีก (กระโดดก้าวใหญ่จากดวงอาทิตย์ไปสู่อะตอม) และปลายเส้นกราฟก็เป็น Plank Distance ทุกอย่างเรียงตัวกันอยู่บนเส้นกราฟนี้หมด   
ทุกอย่างเรียงตัวกันอย่างสวยงาม แล้วเมื่อมาดูชั้นของชีววิทยา ก็พบว่าไมโครทุบุล ซึ่งโครงสร้างเล็กจิ๋วของมัน สร้างขอบเขตของเซลขึ้นมา isolate ที่ 10-11ถึง 10-14 เฮิซท์ และเมื่อรวมขนาดเข้าไปมันจะแบ่งเป็นสองส่วนที่มาเรียงตัวพอดี (ระหว่างจุดบรรจบของแกนตั้งกับแกนนอน) จากขนาดของจักรวาลจนถึงขนาดซึ่งเล็กกว่าจักรวาลเป็นพันล้านเท่าอย่างอะตอม ทุกสิ่งทุกอย่างเรียงตัวกันอย่างสวยงาม รวมถึงระดับชีววิทยาด้วย ซึ่งก็คือตัวคุณ คุณอยู่ในระบบกลไกนี้ด้วย คุณคือส่วนหนึ่งข้อมูลอันอเนกอนันต์ของ vacuum ซึ่งไหลจากระดับจักรวาล (อันเป็นอนันต์) สู่ระดับอะตอม (อันเป็นอนันต์) ผ่านตัวคุณ 
แล้วเมื่อมันผ่านคุณ มันจะเก็บเอาการแปลความหมายของจักรวาล จากมุมมองเฉพาะเจาะจงของคุณ แล้วส่งเข้าสู่ความเป็นอนันต์ของสรรพสิ่ง นั่นคือจักรวาลในความหมายของคุณได้ถูกนับรวมเข้าไปด้วย

คุณเริ่มจะได้สัมผัสถึงความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ของตัวเองรึยัง!!

เราเริ่มจะรู้แล้วว่ามันมีความเชื่อมโยงในทุกระดับของสเกล ..แต่ทำยังไงเราถึงจะรู้สึกได้ ทำยังไงถึงจะสัมผัสความเชื่อมโยงนั้นได้ล่ะ?
มันไม่น่าจะใช่ความพยายามไปเชื่อมต่อกับความยิ่งใหญ่อันเป็นอเนกอนันต์ของจักรวาล ซึ่งคนทั่วไปมักจะบอกว่าไม่สามารถสร้างภาพได้ มันยิ่งใหญ่เกินจินตนาการไป นั่นอาจเป็นเพราะเรามีสัมผัสอันจำกัด แต่อย่าลืมว่าเรามีความเล็กจิ๋วอันเป็นอนันต์อยู่ในตัวด้วย แล้วถ้าผ่านหนทางนั้น ก็ย่อมจะสามารถสัมผัสกับความเป็นอนันต์ได้ นั่นคงเป็นเหตุให้ครูทางจิตวิญญาณของโลกใบนี้ส่วนใหญ่แนะนำว่าให้เข้าสู่ภายใน ด้านใน อาณาจักรแห่งสรวงสวรรค์อยู่ด้านใน พุทธะอยู่ภายใน บินดุอยู่ภายในทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นจะทำให้คุณเชื่อมต่อกับข้อมูลความรู้ทั้งหมด ทั้งมวล (ซึ่งนาซิมคิดว่ามันไม่น่าจะมีรูปแบบภายนอกอย่างเฉพาะเจาะจง)  ไม่ว่าจะนั่ง ยืน เดิน ..เราทุกคนต่างมีคุณสมบัติที่จะเข้าถึงความเป็นอนันต์จากสิ่งเล็กๆ ในตัวเราได้

แล้วนาซิมก็เล่าว่าตอนที่เขาเขียนสมการนี้มันมีประเด็นน่าสนใจ หนึ่งในนั้นก็คือ เมื่อทุกอย่างมันเป็นสเกลต่างระดับของหลุมดำ (black hole) ซึ่งถ้าเขาไปพูดแบบนั้นกับนักฟิสิกส์ คงต้องถูกเตะโด่งออกจากการประชุมทางฟิสิกส์แน่!! ก็มันมีอะตอมอยู่ตรงนั้น (บนสเกล) แล้วเขาก็บอกว่า มันคือหลุมดำ.. อะตอมคือหลุมดำจริงๆ รึเปล่า? นั่นอยู่งานเขียนของเขา.. งานเขียนนั้นเป็นการสลับขั้วความคิดเกี่ยวกับโปรตอน ชนิดระเบิดเถิดเทิง    


    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น