แสงแห่งชีวิต Biophotons

Biophotons ไบโอโฟตอน คือโฟตอน (อนุภาคแสง) ซึ่งเปล่งออกมาจากระบบขององค์กรชีวิต แม้จะเป็นแสงที่อ่อนมากแต่ก็สามารถตรวจวัดได้ ทำไมไบโอโฟตอนถึงสำคัญ ก็เพราะว่าในทุกๆ เซลของเรานั้นมี ปฏิกริยาทางเคมีเกิดขึ้นประมาณ 100,000 ครั้งในหนึ่งวินาที แล้วก็ไม่มีใครจะสามารถบอกคุณได้หรอกว่าทำไมปฏิกริยาทางเคมีเหล่านั้น มันถึงเกิดขึ้นอย่างถูกที่ ถูกตำแหน่ง และตรงเวลาพอดิบพอดี และถ้าผมบอกคุณว่ามันเป็นการทำงานของโฟตอนซึ่งเข้ามาทำให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้น โมเลกุลถูกกระตุ้นโดยโฟตอนจนเกิดปฏิกริยาทางเคมี ดังนั้นก็พูดได้ว่าในทุกๆ เซลเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตผลิตแสงขึ้นมา เราทั้งหลายล้วนแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรแห่งแสง แล้วมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะพบเจอกับความมืดที่มืดสนิทอย่างแท้จริง ทั้งความน่าตื่นเต้นที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้อยู่ตรงความเป็นโฟตอน แต่มันอยู่ตรง "hight degree of coherence" (ความบรรสานสอดคล้องในระดับสูง) ปฏิกริยาทางเคมี 100,000 ชนิดถูกควบคุมอย่างสม่ำเสมอโดยสัญญาโฟตอน ถูกต้อง แม่นยำ เที่ยงตรง และข้อมูลเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นด้วยสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic field) แล้วสนามนี้ก็ได้สร้างแบบแผน "pattern" ซึ่งก็เราก็มี spiral dynamical pattern (เป็นลายหนึ่ง) อยู่ในความบรรสานนั้นด้วย ทั้งใน 100,000 ปฏิกริยาเคมีนี้ก็ต้องความเร็วระดับความเร็วแสง (ซึ่งสำคัญมาก) เพราะโฟตอนใช้เวลาเพียง nano second ในการกระตุ้นเซล 100,000 ปฏิกริยาทางเคมี จึงไม่ต้องใช้โฟตอนแสนตัว แต่ใช้แค่ตัวเดียวก็เพียงพอ นี่เป็นส่วนหนึงซึ่งสรุปความจากคำให้สัมภาษณ์ของ Dr.Fritz-Albert Popp ผู้ใช้เวลาในการศึกษาวิจัยเรื่องไบโอโฟตอนกว่า 30 ปี … ณ จุดกำเนิดของชีวิต คุณให้คำจำกัดความของคุณอย่างไร เราคือส่วนประกอบของกันและกัน ทั้งเป็นส่วนประกอบของต้นกำเนิด เราแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรแห่งสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้า ในคลื่นความถี่หลากหลาย ซึ่งจะเข้าใจ เข้าถึงได้ก็ด้วยการเชื่อมต่อ connection… Dr. Fritz Albert Popp, ได้เคยบรรยายที่มหาวิทยาลัย Marburg ในเยอรมัน ว่าเขาสนใจศึกษาพฤติกรรมของเซลและทดลอง โดย แยกเซลสองเซลออกจากกันและขวางกันระหว่างกันไว้ (opaque barrier) พบว่าเซลปลดปล่อยไบโอโฟตอน อย่างไม่เป็นแบบแผนร่วม (uncoordinated patterns) แต่เมื่อเอาตัวขวางกั้นออกไปแล้ว เซลก็ค่อยๆ ปล่อยโฟตอนอย่างสอดคล้องเป็นระบบ synchrony เซลของเรา ติดต่อกันด้วยแสง Cyril Frank ศาตราจารย์ในภาควิชาศัลยกรรม แห่งมหาวิทยาลัยแพทย์ Calgary’s เชื่อว่า Popp น่าจะถูกต้อง โฟตอนถูกจับแม้กระทั่งในเซลที่เป็นตัวรับ แล้วทำให้มันเปลี่ยนสถานะหรือให้โปรตีนที่แตกต่างออกไปได้ เขาบอกว่า ในการทดลองของเรา เราพยายามมองหาแหล่งที่มาของการแบ่งแยกเพียงเล็กน้อยที่สามารถจะทำอย่างนั้นได้ ส่วนบรรดาพวกนักชีววิทยาสาย orthodox ก็จะเข้าหากายภาพอย่างการไปตรวจวัด ไบโอโฟตอนในอาหาร ผักผลไม้ เนื้อสัตว์ อาหารนานา ที่บริโภคเข้าไป ว่ามีปริมาณโฟตอนเท่าไหร่? หรือหาสารเคมีที่เซลผลิตออกมาเพื่อเพิ่มลดตัวใดตัวหนึ่งอย่างเป็นเส้นตรงเพื่อใช้ในทางการแพทย์ แต่อีกพวกที่เป็นสาย unorthodox บอกว่าการสื่อสารของโฟตอนไม่อาจจะอธิบายได้เพียงในระดับ biological communication แต่เป็นระดับจิตวิญญาณด้วย Scott Hagan นักฟิสิกส์ทฤษฎีจาก British Columbia Institute of Technology บอกว่ามันเกี่ยวข้องกับความลี้ลับของ awareness เขาพูดในฐานะ neurophysiologist “ในทุกๆ กระบวนการ ทุกๆ อะตอม หรือโมเลกุล เป็นไปด้วยตัวของพวกมันเอง” อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถจะบอกว่า unless cells in the brain function simultaneously เป็นส่วนหนึ่งขององค์รวม ไม่มีทางที่ฟิสิกส์คลาสิกจะมาอธิบายอะไรได้ “แต่ในทางควอนตัม มันมีระบบที่จะรู้ถึงองค์รวมของพวกมันได้ ซึ่งเราเรียกว่า “quantum coherent states” ใน state นี้ คลื่นฟังก์ชั่นของอะตอม หรือโมเลกุล blend (combine รวมกัน) เป็นฟอร์มรูปแบบหนึ่ง และเราค้นหา สถานะควอนตัมซึ่งบรรสานสอดคล้องนี้จากระบบประสาทในสมอง มันเหมือนการหาโครงสร้าง (คล้ายโครงกระดูก) ของการทำงานของโมเลกุล ท่อเล็กๆ ที่มาต่อเรียงกัน สลับกัน ระหว่างเส้นสายระบบประสาทอันก่อประกอบความทรงจำขึ้นมา อย่างการศึกษาของ anaesthetics (การศึกษาเรื่องความเจ็บปวด) เป็นไปอย่างมืดบอด เพราะว่า anaesthetic make consciousness evaporate (การศึกษาในเรื่องความเจ็บปวดนั้นทำให้จิตสำนึกเหือดหายไป) Hagan และ Stuart Hameroff ร่วมงานกันที่ center for consciousness studies at the University of Arizona แล้ว Hameroff ก็บอกว่า biophotons อาจจะเป็นตัวควบคุมกระบวนการ collapses ของคลื่นควอนตัมในท่อไมโครทุบุลด้วย นี่เป็นความรู้เดิมที่เคยเชื่อมโยงไว้ในวงน้ำชา สั้นๆ จากบทสัมภาษณ์ในคลิปวีดีโอ ซึ่งหากท่านใดต้องการลงลึกในเรื่องใด สายไหน? ก็ขอเชิญค้นคว้ากันต่อได้นะคะ ในทางฟิสิกส์ ก็จะเป็นเรื่องรายละเอียดของการแผ่รังสีและการสื่อสารภายในเซลซึ่งเมเก็บเอกสารเรื่อง PHYSICAL BASIS OF BIOPHOTON EMISSION AND INTERCELLULAR COMMUNICATION แปดร้อยกว่าหน้าเอาไว้ (ใครสนใจยินดีส่งต่อให้นะคะ..ไปอ่านเอง) เป็นรายงานทางฟิสิกส์ของโรมาเนีย เครดิตภาพประกอบ Schematic illustration of experimental setup that found the human body, especially the face, emits visible light in small quantities that vary during the day. B is one of the test subjects. The other images show the weak emissions of visible light during totally dark conditions. The chart corresponds to the images and shows how the emissions varied during the day. The last image (I) is an infrared image of the subject showing heat emissions. Credit: Kyoto University; Tohoku Institute of Technology; PLoS ONE
จากนี้ต่อไปก็จะต่อด้วยสรุปความเข้าใจจากการฟังAn Introduction to Biophoton Therapy ซึ่งบรรยายโดย Johan Boswinkel นักบำบัดที่ทำการบำบัดมากว่า 25,000 ราย โดยเขาเรียกศาสตร์ประยุกต์ของเขาว่า BIONTOLOGY 
คุณโจฮานบอกว่า Biontology คือการเรียนรู้ความเป็นจริงอ
ันไพศาลของธรรมชาติ ซึ่งก็คือ “แสง” และมนุษย์เราก็คือ Light Being (สัตวแห่งแสง) อันเราจะพบได้จากศาสตร์โบราณหลากหลายไม่ว่าจะเป็นอียิปหรือ Book of Death ของทิเบต ก็ล้วนบอกว่าเราคือสัตวแห่งแสง 
แล้วเราก็รู้กันว่าคนเราคิดด้วยหัวใจ ไม่ใช่หัวสมอง แล้วไบโอโฟตอนก็เป็นตัวที่รันการทำงานทั้งหมด ของร่างกายเรา ไบโอโฟตอนคือ information packaging ซึ่งไม่ใช่คลื่นความถี่ ไม่ใช่คลื่นแสง แต่เป็นแพคเกจของข้อมูล ซึ่งจะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นความถี่หรือคลื่นแสงก็ได้ถ้าต้องการ อย่างเช่นคุณกับผมดูเหมือนมีระยะห่าง ซึ่งที่จริงมันไม่มี เรารับสัญญาณได้ไกล อย่างพวกสัตว์ก็รับได้ไกลกว่ามนุษย์ ถ้าเราเชื่อมกับจิตของเราได้ เราก็รับแสงได้ เพราะจิตมีการรับที่มหัศจรรย์ ตราบเท่าที่คุณไม่เอาจิตไปไว้ที่สมอง 
ความคิดเป็น “psychological decease” (โห..แรง) ปัญหามันมาจากตรงนั้น เพราะหัวมี limited intellectual แต่หัวใจมี unlimited wisdom ดังนั้นขอให้ฟังหัวใจไว้ อย่าไปฟังสมอง เพราะหัวสมองจะ ignore body เพียงแค่คุณเริ่มต้นคิด การเยียวยาก็หยุดลงแล้ว อย่างในการรักษาเซลมะเร็งเนี่ย เราจะทำได้ดีตอนที่ผู้ป่วยตัดสินใจปล่อยวาง แต่จะไม่ก้าวหน้าถ้าเริ่มกลับไปคิดอีก แล้วก็จะดีขึ้นอีกเมื่อมันมี Harmony ..ความบรรสานสอดคล้องของหัวสมองกับหัวใจ ที่ผู้หญิงจะรู้ถึงความขัดแย้งนี้ดี อย่างถ้ามีสองตัวเลือกแล้วไม่รู้จะเลือกอันไหน อย่าเลือกทั้งสองอย่าง เพราะทั้งสอง choice มันไม่ใช่ ถ้ายังไม่เกิดความบรรสานอย่าเลือก เพราะอะไรที่ใช่ คุณจะรู้เอง แต่ถ้าจะต้องเลือกจริงๆ ก็ให้เลือกอย่างอื่นไปเลย 
เมื่อรับรู้ ----- รู้สึก ---- แล้วก็ทำอะไรสักอย่าง ความคิดมันไม่ได้อยู่ในขั้นตอนไหนเลย ร่างกายคนเรามันไม่ใช่แค่ “กายภาพ” ความเป็นกายภาพมันอาจมีสักแค่ 2% ที่มันรันอยู่เท่านั้น ส่วนอีก 98% เรา no idea แล้ว 2% ที่ว่ารันอยู่นี้ก็รันในระดับสามมิติ ส่วนที่เหลือพวกนักวิทยาศาสตร์บอกมันเป็น Junk DNA (ดีเอ็นเอ ขยะ?) ทั้งที่มันมีฟังก์ชั่นครบ เราหันกลับมาหาแนวคิดเรื่องตาที่สาม เรื่องญาณทัศนะ แต่เราก็ถูกสอนให้ฟังครู พ่อแม่ รัฐบาล มาตลอดแต่ไม่เคยถูกสอนให้ฟังตัวเอง คือฟังทั้งตัวของตัวเอง ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เรามีข้อจำกัด ที่เราเรียกว่า 6 senses หรือมันอาจจะเป็น 7, 8, 9... หากมันเป็น observer ในทุกอย่างที่ไกลออกไป ไกลก่อนที่จะมาถึงร่างกาย อย่างในปี 1982 มีการเรียนรู้ในอังกฤษ ซึ่งทำให้เราสามารถพบมะเร็งได้ก่อนจะก่อตัว 9 เดือน แต่ถ้าเอามาเปรียบในตอนนี้ ทุกอย่างมันถูกเร่งเร็วขึ้นหมด คิดว่ามันอาจจะไม่ใช่ 9 เดือนอีกแล้ว อาจจะแค่ 3 เดือนก็เป็นได้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น