เก็บความบางส่วนของ จักรวาลกำลังฝัน The Dreaming Universe / Fred Alan Wolf Ph.D. (ตอนที่ 3 เรื่องมินเดล-เพาลี)

สายๆ วันนี้รู้สึกว่า ไหนๆ ก็จะฝันกันแล้ว ก็ทำงานกับความฝันตอนตื่นไปพร้อมกันเลย ท่าจะดี .. ทำงานกับกายฝัน .. พ่อมดเฟรด อลัน วูล์ฟ เล่าเรื่องของมินเดล
โดยบอกว่า “กายฝัน” นั้นอยู่ในขอบข่ายการสืบค้นของอาร์โนล มินเดล ความเจ็บป่วยที่ส่งผลกระทบถึงมินเดลทำให้เขาประจักษ์ว่าไม่สามารถจัดการกับร่างกายของตัวเองได้โดยใช้พุทธิปัญญาบริสุทธิ์ .. เทคนิคที่มินเดลประสบความสำเร็จเมื่อเขาทำงานกับความฝันของคนไข้ของเขา ด้วยการมองว่าร่างกายคือกระจกสะท้อนแบบแผนชีวิตของบุคคล และแบบแผนเหล่านี้ซึ่งปรากฏในความฝันเป็นสัญญาณจากร่างกาย เป็นความฝันก็ถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นในร่างกายเรา 
ดังนั้นอาการทางกายไม่อาจจัดการได้โดยกลไกพยาธิวิทยาล้วนๆ อาการไม่ได้เป็นแค่ sicknesses ซึ่งจะต้องถูกรักษา, ควบคุม, หรือบำบัดเยียวยา หากว่า “อาการ” คือ potentially meaningful และเป็นเงื่อนไขของเป้าประสงค์
แสดงสัญญาณแห่งมหัศจรรย์จินตนาการอันประสานกันของชีวิต หรือเป็นการนำตนไปเข้าใกล้กับจุดศูนย์กลางของการปรากฏ (center of existence) อย่างที่มินเดลดึงออกมา “พวกมันสามารถจะกลายเป็นการเดินทางไปยังโลกอื่น ได้ดีพอๆ กับวิถีการเข้าสู่พัฒนาการทางบุคคลิกภาพ”

มินเดลค้นพบในงานของเขาว่าทุกๆ การแสดงออกทางกายภาพของร่างกายเป็นการเผยออกของความฝันของคนๆ นั้น รวมไว้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นอากัปกริยา, โทนเสียง, การเคลื่อน แกว่งแขน, การเดิน, การที่โอบไหล่ตอนพูดคุย, การแสดงออกของใบหน้า และความเจ็บป่วยทางกายภาพทั้งหมด ทั้งปัญหาความสัมพันธ์ก็สะท้อนในความฝันและถูกเก็บเอาไว้ในร่างกายด้วย

มินเดลค้นพบว่าเค้าไม่สามารถจะหาเหตุผลใดๆ สำหรับความเจ็บป่วยของเขาเองได้ เค้าศึกษาทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำได้ แต่ในที่สุดก็ล้มเหลวที่จะเรียนรู้ว่าความเจ็บป่วยบอกอะไรกับเค้า แล้วเค้าก็ค่อยๆ เฝ้าดูคนไข้ซึ่งเห็นความเจ็บป่วยทางกายได้ชัดเจน หรือเป็นพวกที่ไม่สามารถจะควบคุมร่างกายได้ .. (อื่มมม..ไม่สามารถจะควบคุมร่างกายได้!!! .. ตอนนี้ไปเชื่อมตอนที่ astro body ไม่สามารถจะควบคุมร่างกายได้) เขาชี้ไปที่คนซึ่งมีภาวะผิวหนังอักเสบซึ่งกำลังเริ่มเกา แล้วการเกามันก็ยิ่งจะทำให้อาการมันแย่ลงไป หรือเมื่อคนที่ปวดหัว ก็จะยิ่งสะบัดหัว คนปวดตาก็กดลงไปที่ดวงตา คนขอแข็งก็จะพยายามก้มงอคอ พวกคนไข้ล้วนพยายามจะขยายความเจ็บปวดให้มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นมินเดลเห็นว่าผู้คนต่างพยายามทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความคาดหวัง ถ้าคนเป็นทุกข์กับความเจ็บปวด แทนที่จะทำอะไร (จากสัญชาติญาณ?) เพื่อบรรเทา แต่พวกเค้ากลับทำให้มันแย่ลงไปอีก นั่นทำให้มินเดลค้นพบว่าการขยายอาการทางกายเป็นผลส่งให้ผู้ป่วยเข้าถึงความหมายของการเจ็บป่วยที่แท้จริง

จากหนังสือชื่อ Working with Dreaming Body : Arnold Mindell เล่าว่าผู้ป่วยที่ได้รับความเจ็บปวดจากมะเร็งช่องท้องบอกมินเดลว่าก้อนเนื้องอกทำให้เขาเจ็บปวดจนทนไม่ไหว ถ้าเป็นนักบำบัดธรรมดาก็จะหยุดทำงานกับคนไข้รายนี้ แต่มินเดลกลับไปพบและขอทำให้อาการมันแย่ลงไปอีก คนป่วยบอกว่าถ้ากดท้องเค้าก็จะยิ่งเจ็บหนัก มินเดลบอกให้คนป่วยยืนขึ้นแล้วกดลงไปที่กล้ามเนื้อท้อง การกดอย่างต่อเนื่องมันเพิ่มความเจ็บปวด จนในที่สุดก็ตะโกนร้องออกมา มันแย่มาก และเค้ารู้สึกว่ากำลังจะเบิดออก จากนั้นคนป่วยรายนี้ก็ ..broke down แล้วร้องไห้ พูดอธิบายถึงชีวิตของเค้า เค้าบอกว่าเค้าไม่สามารถจะปลดปล่อยตัวเองได้จนถึงขีดที่ต้องการ...
แม้แต่มะเร็งก็ยังทำได้เลย โดยเทคนิคการขยายความเจ็บปวด คนเจ็บจะเริ่ม express himself อย่างเต็มมากขึ้นกว่าที่เค้าเคยทำมา เรียกได้ว่ากลับมาชีวิตอย่างเต็มที่อีกครั้ง อยู่ต่อไปได้อีกสองสามปีก่อนจะตาย ....ก่อนหน้านั้นนิดหน่อย ผู้ป่วยคนนี้ได้เรียนรู้จากการรักษามะเร็ง (ซึ่งไม่สำเร็จ) ของเขา เขาฝันว่าเขาป่วยเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาหาย และยาที่จะรักษามันได้ก็คือระเบิด มินเดลตัดสินใจเลยว่าการป่วยของคนไข้ของเขานั้นคือมะเร็งซึ่งมาจาก unexpressed desire!!! มันคือการสูญเสียการแสดงออก ปลดปล่อย.. ก็เลยออกมาผ่านมะเร็ง คนป่วยจำเป็นจะต้อง..ระเบิด..นี่เป็นจุดที่ทำให้แนวคิดเรื่องกายฝันเข้ามาในใจของมินเดล กายฝันมันเป็นทั้งสองอย่าง คือทั้งฝันและกายในเวลาเดียวกัน มินเดลบอกว่าในเคสต่างๆ ที่เค้าประสบมาทั้งหมด ไม่มีแม้แต่เคสเดียวที่ความฝันของบุคคลจะไม่ไปสะท้อนกับอาการทางกาย ในทำนองเดียวกัน สำหรับมินเดลแล้ว การทำงานกับความฝันและทำงานกับร่างกาย กลายเป็นความสอดคล้องจองกัน

กายฝันสามารถนำมาเชื่อมต่อกับร่างกายได้ คล้ายกับที่ฟังก์ชั่นคลื่นควอนตัมสามารถจะให้ความเป็นไปได้ของความเป็นอนุภาค หรือถูกเชื่อมสัมพันธ์เข้ากับสถานภาพทางกายภาพของอนุภาค ในทางควอนตัมฟิสิกส์เราไม่สามารถจะจัดการกับสสารเพราะว่าเราไม่มีหนทางในทางควบคุมมัน.. (โหยยย.. โดนเต็มๆ เบย .. มันคือตอนที่ astro body ไม่สามารถ control physical body ได้)

แทนที่จะเป็นอย่างงั้น ก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คาดหวัง, ความโน้มเอียง และความเป็นไปได้ เหมือนกับว่าพวกมันเป็น สนามที่ลอยอยู่ “ภายนอก” ใน space สนามเหล่านี้ พ่อมดบอกว่ามันถูกแทนค่าด้วยจำนวนเชิงซ้อน, จำนวนซึ่งประกอบด้วยสองส่วนคือ จำนวนจริง real number และ imaginary number (คอดๆ ชอบมินเดลตรงที่ว่า ไม่มีสิ่งในที่เค้าทำแล้วจะอธิบายเชิงควอนตัมไม่ได้) ดังนั้นแม้ว่านักฟิสิกส์จะให้ภาพความเป็นไปได้ของสนามแทนด้วยจำนวนเชิงซ้อน แต่ไม่มีใครมองเห็นมัน ไม่เห็นความมหาศาลอลังการของจำนวนเหล่านั้น ไม่ว่าจะที่จุดเฉพาะจุดไหนในห้วงอวกาศหรือในเวลา มันสูงขึ้นด้วยความเข้มข้นหรือความโน้มเอียงในการเป็นกายภาพ..อนุภาคอันมีปรากฏอยู่แล้ว

เราจัดการกับสนามเหล่านี้ในทางการคำนวนทางคณิตศาสตร์อย่างถูกต้อง ในหลายๆ สถานการณ์ ความเข้มข้นของสนามถูกหมายเอาไว้ว่าเราได้เข้าใกล้กับความเป็นไปได้ในการที่จะควบคุม “อาการ” (อากัปกริยา) ของอนุภาค ซึ่งเราเชื่อว่าเป็นความจำเป็น ดังนั้นในหลายสถานการณ์ทางกายภาพ เหล่านั้นที่เราเรียกว่า “classical” เราเชื่อว่าเราควบคุมได้และเข้าใจมันในปรากฏการณ์ทางกายภาพพ่อมด เล่าเรื่องมินเดล ต่ออีกหน่อย.. แม้ในบางสถานการณ์ การจะไปพยายามควบคุมมันชัดแจ้งว่าเป็นไปไม่ได้เลย ตัวอย่างเช่น เราไม่สามารถจะวัดความแน่นอนของตำแหน่งกับโมเมนตัมของซับอะตอมใดๆ ได้ ดังนั้นเราเลยพลาดในการทำนายเกี่ยวการเคลื่อนที่ของมัน คือจะรู้ข้อมูลว่ามันไปอยู่ตรงไหนก็ต่อเมื่อมันถูกตัดสินใจ (ให้ไปอยู่ตรงนั้นแล้ว) 
ถึงจะรู้ว่ามันเป็นอย่างงั้นในทางฟิสิกส์ เราก็ยังคอยมองหาค่าใกล้เคียงของสรรพสิ่งในจักรวาลประหนึ่งความรู้มันกวักมือเรียกเรา แล้วโหมดความคิดมากมายนี่แหละที่ทำให้เกิดเทคโนโลยีขึ้นมา แล้วก็ยังถูกกลั่นกรองให้เข้าสู่งานของนักจิตวิทยาและนักบำบัดด้วย

งานของมินเดล ถ้าเราเอากายฝันมาเปรียบเทียบในสนามความเป็นไปได้ ซึ่งมีการเชื่อมโยงความสัมพันธ์แบบเดิมกับร่างกายอย่างเหมือนเป็นสนามที่มีอนุภาคอยู่แล้ว แล้วมันก็มีสภาวะคลาสิกมากมาย ซึ่งใช้อยู่โดยไม่จำเป็นต้องเอาแนวคิดเรื่องสนามมาอธิบายพฤติกรรมของอนุภาค อันเป็นการบำบัดแบบเก่าที่ใช้จัดการกับร่างกายกันอยู่ แต่ในเคสที่มันเห็นได้ชัดเจนว่าแบบเก่า (classic) มันไม่เวอร์ค ความเจ็บป่วยอย่างเช่นมะเร็งและระบบภูมิคุ้มกันอาจจะไม่ได้เป็นเรื่องระดับคลาสิก มันจะรักษาไม่หายเหมือนอาการทางกาย เราจำเป็นต้องเอาเรื่องการจัดการกายฝันเข้ามาดูว่าระดับไหนที่จะทดลองควบคุมได้ 
การเทียบเคียงอาจจะมากกว่าอุปมัยอุปมา ณ ขณะนี้ .. สมมุติว่ามันเป็นความจริงว่าเมื่อเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับกายฝัน เราจะเกี่ยวข้องกับการล้มความเป็นไปได้ของฟังก์ชั่นคลื่นควอนตัมด้วย ถ้ากายฝันคือสนามที่ยังคอยการเผยออกมาทางกายภาพตามเจตนาและเป้าหมาย (intents and purposes ตรงนี้พ่อมดใส่วงเล็บว่ามันเป็นเจตนาและเป้าหมายของใครค่อยว่ากันอีกที) มันก็จะเป็นไปตามเจตนาและเป้าหมายซึ่งเป็นไปอยู่ในสนามของสสารกายภาพทั้งหมด หรือพูดอีกอย่างก็คือ ร่างกาย (กายภาพ) นั้นเป็นการเผยออกมา (manifestation) ของกายฝัน (dreaming body) จักรวาลคือการเผยออกของความฝันแห่งจักรวาล (the universe is the manifestation of the dreaming universe)... 


ในบท The Spirit of Matter เค้าจะเล่าเรื่องฝันของเพาลีและความสัมพันธ์ของเพาลีกับนักจิตวิเคราะห์ Marie-Louise von Franz (เอ๊า!! สองคนนี้รักกันเหรอ!) และยุงด้วย .. พ่อมดเล่าถึงความสัมพันธ์ถูกแสดงไว้ในจดหมายว่าเพาลีเป็นผู้ชายมีปัญหา การสิ้นไร้สติสัมปชัญญะของเขาถูกเชื่อมต่อเข้ากับความปราดเปรื่องในทางฟิสิกส์ แล้วยังไงก็ตามแต่เพาลีนั้นไม่เคยอยู่ในระดับที่เค้าเรียกกันว่า ordinary (ความเป็นธรรมดาปกติ) เลย แล้วเค้าคนนี้ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถจะก่อประกอบความเข้าใจของพวกเราเกี่ยวกับธรรมชาติขึ้นมาอย่างหลักแหลม เฉียบคม
การค้นพบที่สำคัญที่สุด ถูกพบหลังความคิดเชิงนามธรรมว่าอนุภาคซับอะตอมนั้นมีความสามารถในการควบคุม “ผลักออก” จากกันและกัน ดังนั้นจึงไม่มีทางที่ทั้งสองตัวจะสามารถผ่านเข้าสู่สภาวะควอนตัมทางกายภาพใน state เดียวกัน

เพาลีเชื่อว่าความเป็นจริง (reality) นั้นมีสองลักษณะคือ มันมีเหตุผลและไร้เหตุผลด้วย นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็พบว่านี่เป็นเรื่องน่ารังเกียจ (พวกเค้ารับไม่ได้) อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงนี้เข้าสู่การพิจารณาของเพาลี (เพราะว่าเค้าบ้าพอ ฮ่าๆๆ) และพวกเราซึ่งลุ่มรวยในเนื้อหาสาระมากกว่าอะไรที่เป็นเพียงความเป็นจริงทางกายภาพ มันได้รวมเอาเรื่องความเป็นจริงจากรู้สึกนึกคิดและเรื่องจิตเอาไว้ด้วย และถ้าหากว่าเรามองมันอย่างระแวงระวังในประเด็นของการสังเกตแล้ว เราจะประจักษ์แจ้งอย่างที่จอห์น วีเลอร์กล่าวไว้เลยว่า “there is no reality unless it is an observed reality” นั่นเป็นการอนุญาติให้มนุษย์เข้าไปมีส่วนร่วมในการควบคุมความไม่สมเหตุสมผล จนถึงวันนี้มันไม่มีความสงสัยอะไรแล้วว่า ความไม่สมเหตุสมผลนั่นแหละกำลังแสดงบทบาทอยู่ในความเป็นจริงเพาลีบอกว่ามุมมองเชิงเหตุผล (rational view) ของความเป็นจริง เป็นความไม่สมบูรณ์แบบอันจำเป็นและมันก็เป็นเรื่องเวทย์มนต์กับเรื่องฟิสิกส์ ที่มาเสริมเติมกัน (complementary) อันเป็นลักษณะของความเป็นจริงเดี่ยว (single reality) หรืออีกนัยยะหนึ่ง วิกเกนสไตร์เชื่อว่า ถ้ามีคนที่ลองพูดเกี่ยวกับเรื่อง one world ว่าประกอบด้วยทั้งสองอย่างคือสสารกับจิต ผลลัพธ์ก็คือความเงียบ และประตูทุกบานจะถูกปิดลง มุมมองนี้ส่งผลกระทบถึงฟิสิกส์ที่รากฐานของมันเลยทีเดียว แล้วนักฟิสิกส์มากมายก็ได้ผ่านเข้าสู่อาณาจักรของการสนทนาในเรื่องความสัมพันธ์ของจิตกับสสาร “mind and matter” พ่อมดบอกเค้ายินดีมากเลยในเรื่องนี้ ด้วยเคยไปที่จุดพรมแดนมาเมื่อยี่สิบปีก่อนตอนนั้นถ้าให้พูดกันตรงๆ ตามความรู้สึกคือ .. เ ห ง า ..
ความฝันของเพาลี (เก็บความจากการอ่าน Pauli's The Dreaming Universe : Fred Alan Wolf) ฝันของเพาลี
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 วูล์ฟกัง เพาลี พยายามหากรอบการรวมสำหรับกลศาสตร์ควอนตัมกับจิตวิทยาแนวลึก ทั้งจดหมายของเค้าและงานวิจัยล่าสุดในปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่าเขาถูกขับเคลื่อนโดยอะไรบางอย่างที่เราอาจจะเรียกมันว่า “alchemical considerations” (การเพ่งซึ่งแปรเปลี่ยนเคมีธาตุ) 
เพาลีตายในปี 1958 ยังค่อนข้างหนุ่ม ด้วยวัยเพียง 55 ปี ออร่าลึกลับดูเหมือนจะติดตามเค้าตลอดไม่ว่าจะตอนที่ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว หลายคนที่รู้จัก จะพบว่าเค้าเป็นคนดื้อและไม่มีความสุข มักวิพากษ์วิจารณ์งานหรือไม่ก็ความเชื่องช้าทางสติปัญญาของนักฟิสิกส์คนอื่นอยู่บ่อยๆ 
เพาลีเองเป็นคนที่มีพรสวรรค์ระดับขั้นสุดยอด ฮ่าๆ พ่อมดใช้คำว่า extremely mind and sharp tongue (คือนอกจากจะเฉียบคมทางความคิดแล้วลิ้นก็คมด้วย) 
มีข่าวลือหนาหูว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เพาลีไปถึงเมืองที่การทดลองทางฟิสิกส์กำลังคืบหน้าใกล้สำเร็จ มันจะกลายเป็นความล้มเหลวในทันทีที่เขาไปถึง เมืองนั้น ไม่ก็แลปนั้น มันเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง จนนักทดลองขนานนามว่าเป็น “the Pauli effect” ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เกิดความล้มเหลวขึ้น พวกเขาจะไถ่ถามกันว่า เพาลีมาอยู่แถวนี้รึเปล่า? ฮ่าๆๆ

บางทีมันอาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรเลยที่เรื่องราวอันเกี่ยวเนื่องกับความปราดเปรื่องของเขากลายเป็นความเงียบงันไปกว่าสามสิบปีหลังจากมรณกรรม จนในปี 1988 นักฟิสิกส์ชาวฟินแลนด์ K.V.Laurikainen ได้นำเสนองานการศึกษาอย่างจริงจังตามหลังเพาลี ชื่อ “alchemical” view of matter and spirit (เล่นแร่แปรธาตุ ตามทัศนะของสสารและจิต) ที่เพาลีทำไว้กับเพื่อนของเขาและนักวิจัยผู้ช่วย Fierz ซึ่งเค้าคนนี้เคยเป็นผู้ช่วยของเพาลีที่โปโลเทคนิคในซูริคและเป็นศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์ทฤษฎีที่มหาวิทยาลัยบรัสเซลเพาลีเคยเขียนเกี่ยวกับการโต้แย้งในศตวรรษที่ 17 ระหว่างนักดาราศาสตร์ Johannes Kepler กับนักฟิสิกส์ Robert Fludd ในปกิณกะซึ่งหลังจากนั้นได้ถูกรวบไว้ในหนังสือยุงกับเพาลี .. Fludd เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่อยู่ตรงกันข้ามกับทัศนะเชิงปริมาณแห่งจักรวาลของ Kepler เพาลีเขียนถึง Fierz ว่า “ตัวผมเองไม่ได้เป็นแค่เพียง Kepler แต่เป็น Fludd ด้วย” ข้อโต้แย้งระหว่างปรปักษ์ทั้งสองเร่าร้อนอยู่ภายในตัวเพาลี เพาลีสัมผัสได้ด้วยจิตไร้สำนึกของเขา พยายามที่จะไกล่เกลี่ยทัศนะที่ดูเหมือนไม่อาจจะประนีประนอมได้ของนักแปรธาตุกับนักฟิสิกส์ ด้วยการสร้างจินตภาพในฝันของเขาที่พวกมันสอดคล้องกันอยู่ เขาได้เขียนจดหมายถึง Fierz:ในจดหมายถึง Fierz เพาลีเขียนว่า .. การค้นคว้าของผมสำหรับกระบวนการซึ่งบังเกิดขึ้นพร้อมกัน (process of conjunction) แต่ผมมีเพียงแค่บางส่วนของความสำเร็จอยู่ในนี้ แม้ว่าแรกทีเดียวจะเป็นผู้หญิงต่างชาติ (ตาเรียวเล็กอย่างชาวจีน) มาปรากฏในฝันของผม หลังจากนั้น แปลก เป็นผู้ชาย (light-dark man) ซึ่งดูเหมือนเขาเป็นผู้รู้บางอย่างเกี่ยวกับการรวมด้านตรงกันข้าม (unification of opposites) ซึ่งผมแสวงหา 

Van Erkelens เขียนในบทความของเขาอ้างอิงถึงฝันทั้งสองของเพาลีว่าเป็นเครื่องชี้ทางให้เพาลีที่เคยพยายามประนีประนอมสิ่งที่ดูเสมือนแบ่งแยกกันระหว่างสสารกับจิต เพาลีสนทนาในฝันของเขากับสองบุคคลิกภาพนี้ และพวกเขามีสาระอันน่าอัศจรรย์ใจ ในความคิดของเพาลี จิตวิญญาณของสสาร ดูเหมือนจะหลับไหลยาวนานและถูกฝังไว้กับกรีกโบราณ แล้วบางที อาจถูกสร้างขึ้นมาด้วยการปฏิวัติของนิวตันเนียน ดิ้นรนที่จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง พ่อมดบอกว่าเค้าจะว่าตามการนำเสนอของแวน เอร์คีเลนส์ ในการบอกเล่าความฝันและการสนทนาในฝันนั้น..เมื่อเพาลีกลับไปสวิสต์เซอร์แลนด์ หลังจากอยู่ในอเมริการอจนสงครามโลกครั้งที่สองจบลง เขาได้รับแรงกดดันจนสูญเสียความกระตือรือล้นในโมเดลฟิสิกส์ไป แล้วในสภาวะหดหู่อย่างรุนแรงนั้นเอง เขาฝันถึงบุคคลิกภาพหนึ่ง ซึ่งเขาเรียกว่าเป็น “The Persian” เปอร์เซี่ยนคนนี้ปรากฏขึ้นเพื่อยั่วเย้าเพาลีและต้องการให้เพาลีช่วยเขาเข้าสู่สถาบันโปลีเทคนิคในซูริก เพาลีสร้างซีนฝันครั้งแรกให้เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ปี 1947

ผมไปถึงบ้านเดิมของผม ได้พบกับชายหนุ่มผิวสีเข้ม ซึ่งรู้สึกว่าเป็นชาวเปอร์เซีย เขากำลังใส่บางอย่างเข้าไปในบ้านโดยผ่านทางหน้าต่าง ลักษณะเป็นวงแหวนที่ทำด้วยไม้ และจดหมายหลายฉบับ แล้วเขาก็มาทักทายผมอย่างเป็นมิตร ผมเริ่มสนทนากับเขา (จะแทนเพาลีด้วย Pl แล้วแทนหนุ่มเปอร์เซียด้วย Ps นะคะ)
Pl: คุณไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าเรียนเหรอ?
Ps: ไม่ ผมไม่ได้รับอนุญาติ ผมก็เลยเรียนในเรื่องที่มันเป็นความลับ
Pl: คุณเรียนเรื่องอะไร?
Ps: เรื่องตัวคุณ?
Pl: คุณพูดคุยกับผมด้วยเสียงที่คมชัดมาก
Ps: ผมพูดในฐานะของคนๆ นึงซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องต้องห้าม
Pl: คุณเป็นเงาของผมเหรอ?
Ps: ผมอยู่ระหว่างคุณกับแสง ดังนั้น คุณคือเงาของผม ไม่ได้ยอกย้อนนะ
Pl: คุณเรียนฟิสิกส์รึเปล่า?
Ps: ภาษาของคุณมันยากเกินไปสำหรับผม แต่ในภาษาของผมคุณไม่ได้เข้าใจฟิสิกส์!
ในความฝันซึ่งเกิดขึ้นหลายปีก่อนที่ไอน์สไตล์กับบอห์รจะถกกันในเรื่องความครบสมบูรณ์ของกลศาสตร์ควอนตัม เพาลีฝันถึงผู้ชายที่มีลักษณะคล้ายไอน์สไตน์ ในฝันไอน์สไตน์แสดงให้เพาลีเห็นว่า QM (quantum mechanics) นั้นเพียงอธิบายเพียงมิติเดียวของความเป็นจริงสองมิติที่มีพัฒนาการสมบูรณ์กว่า ถ้าคุณเรียกเรื่องนี้ว่าเป็น Flatland ตัวละครในเรื่องเป็นสี่เหลี่ยมสองมิติ ที่ถูกส่งเข้าไปในโลกสามมิติอย่างฉับพลันทันที ตรงไหนที่เขาจะเห็นว่าชีวิตสองมิติสามารถจะแยกไปสู่สามมิติโดยการที่เขายังอยู่ภายใต้พื้นผิวของสองมิตินั้น หลายคนอาจจะคิดว่าคล้ายการเห็นวงกลมวงกลม (แบนสองมิติ) ในเครื่องบินเมื่อทรงกลมถูกผลักผ่านมันเข้าไป เพาลีรู้ขึ้นมาเลยว่ามิติที่สองซึ่งอ้างอิงถึงความฝันไอน์สไตน์เป็นอุปมาที่มาชี้ให้เห็นว่าบางอย่างขาดหายไปจาก QM จิตไร้สำนึกเก็บต้นแบบของมันไว้ เพาลีคิดว่านั่นไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างต้นแบบเหล่านี้กับจินภาพความคิดอันเป็นระเบียบเท่านั้น พวกมันสามารถสร้างโครงสร้างสสารขึ้นด้วยตัวของมันเอง

เมื่อหลายปีผ่านไป เพาลีพยายามอย่างไม่เป็นผลในการที่จะหาภาษาใหม่มาเป็นสะพานให้เขาข้ามผ่านช่องว่างระหว่างกายภาพกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางจิต เขาเชื่อว่าภาษาใหม่จำเป็นต้องเอามาใช้อย่างเคารพในความต่างระหว่างจิตกับสสาร

แต่ในฝันคนเปอร์เซียร์ เพาลีรู้ว่า “มิติที่สอง” ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่นักฟิสิกส์ทฤษฎีพยายามที่ใส่เชีื้อเพลิงเข้าไปสุมไฟแห่งพุทธิปัญญา แต่เป็นการไปพ้น QM ไปสู่พรมแดนใหม่ซึ่งฟิสิกส์กับจิตจะหลอมรวมเข้าด้วยกัน แต่มิติที่ซ่อนเร้นนั้นปรากฏเป็นรูปลักษณ์ (พ่อมดใช้คำว่า being) รูปลักษณ์นี้บอกเพาลีว่าเขารู้เกี่ยวกับความลับของธรรมชาติ แต่เขาไม่สามารถจะเข้าใจความยากของภาษา QM แล้วเค้าก็ยังบอกเพาลีอีกว่าเพาลีจะไม่มีทางเข้าใจภาษาของเขา แต่เขาคนนี้ก็ยังต้องการสิทธิในการได้เข้าเรียนทางวิชาการ เขารู้สึกว่าจะต้องเข้าสู่การสนทนากับแวดวงโมเดลฟิสิกส์ บางที.. ก็เพียงเพื่อที่จะเรียนภาษา ซึ่งจะทำให้เขาสามารถเผยความลับของเขากับพวกนักฟิสิกส์ได้ เขากดดันเพาลี รูปลักษณ์เปอร์เซียนี้เป็นสปิริตของสสารที่อยู่ในมิติซ่อนเร้นซึ่งเพาลีแสวงหา
โอ้โห กลับไปอ่านอีกรอบ จะช็อก!! เองเลยกับประโยคที่ว่า "จิตไร้สำนึกเก็บต้นแบบของมันไว้ เพาลีคิดว่านั่นไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างต้นแบบเหล่านี้กับจินภาพความคิดอันเป็นระเบียบเท่านั้น พวกมันสามารถสร้างโครงสร้างสสารขึ้นด้วยตัวของมันเอง”กลับเข้ามาอีกช่วงสาย เพราะนึกขึ้นมาได้ว่า being.. ไปเขียนภาษาไทยว่ารูปลักษณ์ ซึ่งมันไม่น่าจะพอ .. แล้วจะแปลว่าอะไร? .. คือเคยเห็นมีคนแปล light being ว่าเป็น สัตวแห่งแสง .. ถ้า being ของเพาลีนี้ จะแปลว่าเป็นสัตว.. ได้รึเปล่านะ!! แล้วสัตว แปลว่าอะไรล่ะ
ในอีกฝันนึงของเพาลี ที่เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 1948 สปิริตมาปรากฏกับเพาลีอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แสดงให้เห็นเป็น superposition ของสองจินตภาพ คือชายชาวเปอร์เซียร์กับชายผิวกระจ่าง (light-skinned) ผมทอง ครั้งนี้คนแปลกหน้า มาในร่างที่เพาลีไม่รู้จัก ก็ในการเผชิญความฝันครั้งที่สองเป็นชายผิวดำสว่าง (light-dark man) มาในฝัน เดือนตุลาคม 1949 ตอนนี้ชายแปลกหน้าพยายามมาขับเคลื่อนเพาลีด้วยเปลวไฟเผาใหม้เอาเขาออกจากสนามของฟิสิกส์คณิตศาสตร์ (อื่ม..เดาว่า superposition คือการแยกร่างรวมร่างระหว่างหนุ่มเปอร์เซียร์ผิวคล้ำกับหนุ่มผมทองผิวกระจ่าง เป็น light-dark man) 

ผมอยู่บนชั้นสองของบ้านซึ่งเป็นสถานที่จัดประชุมฟิสิกส์คณิตศาสตร์ ผมเห็นว่าใต้ชื่อของผมเขียนประกาศไว้ว่า “เริ่ม:ธันวาคม 15” น่าประหลาดใจ ผมถามผู้ชายที่อยู่ใกล้ๆ ว่าทำไมช่วงเวลาที่จะเริ่มมันถึงได้ช้านักล่ะปีนี้ เค้าตอบ “เพราะว่าจะมีการให้รางวัลโนเบล” 
ตอนนี้ผมรู้ว่าไฟกำลังเริ่มลุกไหม้อยู่ในห้องถัดไป ผมสะดุ้งแล้วรีบวิ่งลงบันไดผ่านไปหลายชั้น (ด้วยความเร่งรีบตื่นตระหนก) ในที่สุดก็ออกมาข้างนอกได้ มองย้อนกลับไป ผมเห็นชั้นสองของบ้านซึ่งเป็นที่มาร่วมประชุมกันถูกไฟไหม้หมด ผมเดินข้ามผ่านกราวด์เข้าไปสู่โรงรถ เห็นแท็กซี่กำลังรอผมอยู่ และคนขับเติมน้ำมันลงในถัง ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ จำได้ว่า “เขา” ก็คือ คนแปลกหน้า light-dark stranger ในทันทีทันใดผมก็รู้สึกปลอดภัย “บางทีเค้าอาจจะเป็นคนจุดไฟนั้นขึ้นเอง” ผมคิด แต่ไม่ได้พูดออกมา เขาพูดกับผมเบาๆ ว่า “ตอนนี้คุณเติมเชื้อเพลิงได้แล้ว เพราะว่าชั้นบนไฟไหม้แล้ว ผมจะพาคุณไปในที่ซึ่งเป็นที่ของคุณ” แล้วเค้าก็ขับรถพาผมออกไปแวน ออคีเลนส์ วิเคราะห์ฝันว่าเป็นการผ่านเปลี่ยน (transformation) เพาลีเข้าไปอยู่ในการประชุมทางฟิสิกส์คณิตศาสตร์ การประชุมจัดขึ้นชั้นบน แสดงให้เห็นว่ามันเป็นโลกที่ขาดการเชื่อมต่อกับพื้นดินฐานล่าง (ground floor) ของความเป็นจริง แล้วกลายเป็นว่าคนที่ได้รับอนุญาติให้เข้าไปให้ความหมายกับสสารได้นั้นเป็นเพียงนักฟิสิกส์ทฤษฎี แต่เพาลีได้ใช้ศิลปะในการปรุงแต่ง สัญญลักษณ์ของการประชุมประจักษ์ในโลกแห่งสสารซึ่งถูกเผาไปในเตาไฟของการแปรเปลี่ยนวัตถุดิบของสสารไปสู่วัตถุแห่งโมเดิลเทคโนโลยี ไม่ได้เป็นการสัมมนาทางทฤษฎี 
แล้วไฟก็ดับหลังจากเพาลีออกมา ขับพาเขาออกมาจาก “หอคอยงาช้าง” เขาต้องหลบหนีลงไปสู่พื้นดินเบื้องล่าง ฐานของความเป็นจริง ที่ซึ่งคนขับแท็กซี่รอเขาอยู่ เค้าจำหน้าคนขับได้ก็เป็นเหมือนสัญญลักษณ์ของ psyche-spirit !! เพาลีเริ่มผ่อนคลายและล้มเลิกทฤษฎีทางฟิสิกส์ของเค้าแล้วตามคนขับแท็กซี่ไป ไม่กับเค้าไม่ว่าเค้าจะพาไปไหน สมมุติว่าเป็นดินแดนแห่งสปิริต เมื่อเพาลีตื่นขึ้นจากความฝัน เค้ากล่าวว่า “ผมตื่นด้วยความรู้สึกซึ่งผ่อนคลายอย่างที่สุด และมันดูเหมือนว่าผมได้สร้างความก้าวหน้าอันสำคัญยิ่งในงานของผมขึ้นมาแล้ว”

คำๆ นี้ ความก้าวหน้า หรือที่เค้าใช้คำว่า “progress” เนี่ย .. มันช่างประกอบด้วยแบบแผนพลังงานอันตึงเครียดจนสัมผัสได้เลยจริงๆ เวลาที่ใครถามว่างานของคุณก้าวหน้าไปรึเปล่า หรือวันนี้คุณทำอะไรที่มัน progress บ้างรึยัง? .. แต่การตื่นขึ้นของเพาลี ก้าวหน้า ก้าวสำคัญอย่างผ่อนคลาย .. ช่างเป็นอะไรที่รื่นรมย์ซะเหลือเกิน ดินแดนสปิริตนี้คือบ้านของคนแปลกหน้า ตอนนี้เพาลีได้เข้าไปสู่ดินแดนแห่งนั้นแล้ว แต่เพาลีก็ยังมีความเป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีอยู่มาก ในจดหมายถึงเอมมา ยุง (ภรรยาของคาร์ล ยุง) เขาแสดงความเห็นว่าฝันถึงคนแปลกหน้านั้นเป็นความลังเล แสงของสปิริต ปัญญาอันยิ่งใหญ่ และ chthonic (underworld) สปิริตของธรรมชาติ การแสดงออกของคนแปลกหน้านั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจเสมอ คำพูดของเขาเป็นข้อสรุปของความคิดที่บ่อยครั้งไม่สามารถจะเข้าใจได้ 
เพาลีในฝันนี้แสดงความขอบคุณต่อคนแปลกหน้าซึ่งเป็นการแปรธาตุของแสง รู้จักกันว่าเป็น lumen naturae หรือเป็นแสงของธรรมชาติซึ่งพบในระดับไร้สำนึก ลูกศิษย์ของยุง อิริค นิวแมนน์ เรียกแสงนี้ว่าเป็นแสง eros (เทพอีรอส หรือคิวปิด กามเทพของกรีก) แสงนี้จะพวยพุ่งออกมาจากอารมณ์อันรุนแรง ซึ่งเรียกว่าเป็น feeling-tone constellations (กลุ่มโทนแสงของความรู้สึก) ที่อยู่ในระดับไร้สำนึก
แสงนี้ไม่ได้เป็นแสงของ logos (หรือวิชาความรู้ที่ใช้เหตุผล) และมาปรากฏในฝันของเพาลีเพื่อบอกเค้าว่าทัศนะเกี่ยวโลกของเขานั้นห่างไกลจากความสมบูรณ์ เพาลีรู้ด้วยการมีส่วนเข้าไปร่วมของเขาว่ามันเป็น “สติสัมปชัญญะของฟิสิกส์” แต่เพาลีขณะนี้เค้ารู้ผ่านบทสนทนากับคนแปลกหน้าแล้วว่าความรู้ของเค้าในเรื่องนี้มันไม่สมบูรณ์ ตามที่ในฝันแนะนำว่าเขานั้น “totally uneducated” คือไร้การศึกษาโดยสิ้นเชิง
นั่นมันเลยเป็นเหตุให้ eros หรือกามเทพผ่านเข้ามาสู่ชีวิตของเพาลี ความฝันถึงผู้หญิง เธอคือความลึกลับดำมืดชั่วนิรันดร เป็นสัญญลักษณ์ที่จิตตะวันตกไม่อาจเข้าถึง ตาหยี ผู้หญิงชาวจีน คนที่จะมาพาเค้ากลับเข้าไปสู่ตัวของเค้าเอง โดยผ่านการทรานสฟอร์มเข้าสู่ความเป็นหนึ่งเดียว whole being
ตอนต่อไปเป็นเรื่อง เพาลีกับอีรอสเพาลีกับอีรอส
ในเดือนมกราคม 1951 เพาลีตกหลุมรักกับมาเรีย หลุยส์ วอน ฟรานซ์ ซึ่งเธอเป็นผู้ร่วมงานของยุง ตอนนั้นวอน ฟรานซ์อายุ 36 ปี กำลังประสบความสำเร็จในการพัฒนาความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องของจิตไร้สำนึก ก่อนที่ความรู้สึกของเขาซึ่งมีต่อวอน ฟรานซ์จะถูกพัฒนาขึ้นมา เพาลีเคยพยายามที่จะสร้าง “ภาษากลาง Neutral” ที่จะช่วยทำให้เค้าได้เข้าสู่การรวมแนวความคิดของโมเดิลฟิสิกส์และจิตวิทยา รวมไปถึงปรจิตวิทยาด้วย (parapsychology การศึกษาค้นคว้าเรื่องปรากฏการณ์ทางจิตที่ยังอธิบายไม่ได้) เพาลีรู้ผ่านความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอว่าคงจะต้องล้มเหลว เขาไม่สามารถติดตามนามธรรมซึ่งบัญชาไว้ในวิถีการเรียนรู้เชิงเหตุผลสมัยใหม่ได้ เขารู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องมีอีรอส (คิวปิดหรือกามเทพ) มาช่วย 
แม้กระนั้นวอน ฟรานซ์ก็ยังทำงานกับเพาลี ช่วยเขาแปลภาษาลาตินที่ยังไม่เสร็จในงานของเขา ของ Fludd กับ Kepler ถึงอย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้วเพาลีเป็นนักฟิสิกส์และวอน ฟรานซ์ เป็นนักจิตวิทยา ความสัมพันธ์แค่ทำงานด้วยกันนั้นไม่เพียงพอสำหรับเขา มันปรากฏชัดว่าความสัมพันธ์ของเขาและเธอกลายเป็นบางสิ่งที่มากกว่าอาชีพ แต่นั่นมันกลายเป็นมากเกินไปสำหรับเพาลี เขาสัมผัสได้ว่าความรักที่มีต่อเธอนั้นมีความสำคัญและมีความหมายทางจิตวิญญาณอย่างลึกล้ำ จนกระทั่งมันทำให้เพาลีปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ให้มันเป็นมากกว่าสปิริตของความรัก หรือมากกว่า amor vulgaris เพาลีดูเหมือนอยากจะออกจากความสัมพันธ์ในรูปแบบของความรักกับวอน ฟรานซ์ และเธอก็เตรียมที่จะเปลี่ยนแปลงในเรื่องความสัมพันธ์กับเค้าด้วย
แต่ทำไมมันถึงเปลี่ยนล่ะ? อะไรมาขับเคลื่อนเพาลี ทำไมเขาถึงปรารถนาที่เปลี่ยนความรักของเขากับเธอจาก physical love ไปเป็น purely spiritual love ล่ะ .. เป็นอีกครั้งที่เราจะต้องดูกลับไปที่ light-dark stranger ในฝันของเพาลี เขาแสดงลักษณะของเพศชาย ซึ่งบางทีดูคล้าย ankle-winged Mercury (เทพเมอคิวรี่ย์) หรือเป็นผู้ส่งสารของเทพเจ้า ลักษณะเทพนี้ยั่วเย้าเพาลี เขาให้เพาลีคุกเข่าลงยอมรับการตัดสินใจของเขาผ่านคิวปิด แต่บอกให้เพาลียกตัวเขาเองให้สูงขึ้นเพื่อให้มองเห็นแสงซึ่งเหนือกว่าสสารทั้งหลาย เป็นแสงแห่งสปิริต
แต่เพาลีก็ยังถูกขับเคลื่อนด้วยวิถีแห่งเหตุผลของผู้ชาย ระหว่างสามปีของความสัมพันธ์ของเขากับวอน ฟรานซ์ เพาลีคงความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเขาเอง แต่เขาก็ยังอ้อยอิ่งในปาฐกถาทางพุทธิปัญญาของเขา เค้าต้องการที่จะเข้าใจถึงการขาดหายไปของวิญญาณในทัศนะการมองโลกแบบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เขาพบว่า meditation เหมาะสมมากกว่าในการที่จะใช้ในการแสดงออกทางวิญญาณ มากกว่าความต้องการภาษากลาง neutral language ของเขาซะอีก ในจดหมายถึงวอน ฟรานซ์ เขาเขียนว่า
นานเหลือเกิน ผมอยากจะเขียนถึงคุณเพื่อสื่อสารจากอารมณ์อันมั่นคง ซึ่งเป็นการหลอมรวมกันของทัศนะที่ยืนกรานตัวของมันเองอยู่ข้างในของผม มันสั่งให้ผมแสดงออกมา ผมจะต้องเขียนบนวิถีของความอยากรู้อยากเห็น ครึ่งนึงเป็นแฟนตาซี อีกครึ่งเป็นเหตุผล ในหนทางของ “สมาธิ” ที่กำลังพัฒนาอยู่ ทั้งมันยังประกอบด้วยสองความฝันที่คุณยังไม่รู้
แล้วเพาลีก็เขียนถึง การทำสมาธิของเขา ว่ามันคือชิ้นส่วนแปลกประหลาดของงานที่เขาอุทิศให้ความสัมพันธ์ของเขากับวอน ฟรานซ์ มันประกอบด้วย meditative กับ imaginative ซึ่งมันจะเป็นคำตอบทั้งหมดสำหรับปัญหาที่เค้ากำลังปลุกปล้ำคลุกคลีกับมันมาตลอด บุคคลิกภาพของ “คนแปลกหน้า” ที่ตอนนี้ถูกเรียกว่าเป็น “the master” แทนที่ความขัดแย้งกับบุคคลิกภาพความเป็นมาสเตอร์ของเพศชาย ก็มีผู้หญิงปรากฏขึ้นมา เธอเป็นครูสอนเปียโน และเธอเข้ามาไกล่เกลี่ย ประนีประนอมระหว่างเพาลีกับมาสเตอร์ของเขา, ตัวตนที่สูงกว่าของเขา (higher self) เขาเรียกงานชิ้นนี้ของเขาว่า (The Piano Lesson - An Active Fantasy about the Unconscious) 
ต่อไปเป็นเรื่องบทเรียนเปียโนพ้นกาลอวกาศอ้าา.. เพาลีกับแหวน และครูสอนเปียนโน .. จำได้ว่าเรื่องนี้มินเดลก็เล่าไว้ใน qunatum mind แต่เค้าพูดสั้นนิดเดียว อ่านแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ พ่อมดว่าไว้สามหน้าเต็มๆบทเรียนเปียนโนข้ามพ้นกาลอวกาศ
บทเรียนในฝันนี้ เพาลีดูเหมือนจะอยู่ในโลกซึ่งปรากฏอยู่นอกกาลอวกาศ ที่ซึ่งเขาได้พบกับหญิงสาวที่เป็นครูสอนเปียโน เธอขึ้นอยู่กับมาสเตอร์ แล้วก็ทำตามมาสเตอร์นี้ทุกอย่างโดยไม่เคยมีคำถาม แต่เมื่อเพาลีมาเรียนเปียโนกับเธอ เธอได้มอบโอกาสในการพัฒนาอิสรภาพให้มากขึ้น ในการแสดงบทบาทตรงกลางระหว่างเพาลีกับมาสเตอร์
เปียโนเป็นสัญญลักษณ์พิเศษเฉพาะตรงนี้ ในโลกนี้ เป็นสัญญลักษณ์ที่ถูกสร้างสรรขึ้นมา แต่โลกนี้ก็ถูกผ่าแบ่งออกเป็นสอง นักวิทยาศาสตร์ยึดครองคำว่า Creation แต่ไม่ใช่ดนตรี พวกเขาอ่านโน๊ตแต่ล้มเหลวในการฟังเพลง ผู้หญิงเล่นเปียนโนเป็นสัญญลักษณ์ของ feminine ที่อยู่ฝ่ายดนตรี และไม่เป็นการจัดการทางระบบเหตุผลของโน๊ต
เพาลีเข้าตรรกะของดนตรีแต่ไม่สามารถจะเล่นเปียโนได้ เขาอ่านชีทดนตรี เขารู้ว่าการจัดการเชิงตรรกะของโน๊ตคือการสั่นไหว (vibration) แต่เขาไม่สามารถแสดงออกมาเป็นความงามและเสียง ดังนั้นเขาก็ต้องเรียนบทเรียนเปียนโน หมายถึงเขาต้องพัฒนาความเป็นผู้หญิงของเขา ตรงความรู้สึกที่อยู่ข้างใน
ครูเปียนโนนี้แน่นอนว่าคือ anima (ต้นแบบเพศหญิง) ของเพาลี วิญญาณของความเป็นหญิงของเขา เธอมองดูคล้ายกับมาเรีย หลุยส์ วอน ฟรานซ์ (เพียงบางครั้ง) แต่ส่วนใหญ่แล้วเธอจะเป็นผู้หญิงจีนตาชั้นเดียวเรียวเล็ก เป็น exotic หรือส่วนที่ซ่อนเร้นของเพาลี เธอดูเหมือนจะอาศัยอยู่ในจิตไร้สำนึกของเขาอย่างปลอดภัยจากเหตุผลเชิงตรรกะอีโก้ของผู้ชาย ใบหน้าชาวจีนของเธอก็เป็นสัญญลักษณ์ความลี้ลับของตะวันออก อีกครึ่งหนึ่งของหยิน-หยาง เพาลีมักจะอ้างอิงถึงจีนเสมอว่าเป็น “อาณาจักรที่อยู่ตรงกลาง” นี้มีความหมายกับเพาลีว่าอยู่ตรงกลางของ self-psyche (อ้างอิงโค้ดโดยยุง ในบทต้นของหนังสือ)
ในสตูดิโอ เพาลีคุยกับครูของเขา ทั้งสองช่วยกันและกัน พวกเขาร่วมกันในเรื่องที่ว่าทำอย่างไรโลกจะสามารถเป็นทั้งสองอย่าง ทั้งสมการทางคณิตศาสตร์ที่ดูเหมือนจะเป็นตรรกะอันเย็นชาและสัมผัส ความรู้สึก โลกแห่งความหมาย เป้าประสงค์ และอารมณ์
แต่ในตอนท้ายของการสนทนากับ “สุภาพสตรี” ของเขา เพาลีก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาอีก เพาลีเหมือนโมเสสเห็นดินแดนของมาสเตอร์ของเขา เป็นบ้านทางจิตวิญญาณของเขา แต่ก็กลัวว่าจะไม่เคยได้ผ่านเข้าไป เขาสัญญากับเลดี้ของเขาว่าเขาจะพยายามสื่อสารเป็นภาษาฟิสิกส์ถึงมาสเตอร์ แล้วเพาลีก็ได้ยินเสียงมาสเตอร์ของเขาพูดด้วยเสียงที่เป็นมิตรว่า “นั่นเป็นอะไรที่ฉันรอคอยมาตั้งนานแล้ว” เพาลีตอนนี้อยากจะออกไปจากห้องเรียนเปียนโน เค้าโค้งคำนับสุภาพสตรี แต่มาสเตอร์ก็พูดกับเพาลีว่า “Wait ..Transformation of the center of evolution” การแปรเปลี่ยนของศูนย์กลางแห่งวิวัฒนาการ..
และเพาลีก็กล่าวว่า “In earlier times one said, ‘Lead transforms in to gold” ในก่อนกาลตนกล่าวว่า ตะกั่วกลายเป็นทองคำ..
ตอนต่อไปชื่อ แหวนแห่งจินตนาการแหวนแห่งจินตนาการ
บทเรียนเปียนโนจบลงอย่างนี้...
ณ ขณะที่เลดี้ถอดแหวนออกจากนิ้วของเธอ ตอนที่ผมไม่ทันได้เห็น เธอปล่อยให้มันลอยอยู่ในอากาศและสอนผมว่า “ฉันสงสัยว่าคุณคงรู้จัก แหวนนี้ จากคณิตศาสตร์ในโรงเรียน มันคือวงแหวน i”
ผมพยักหน้า และพูดออกไปว่า
Pl: “The “i” ทำให้เกิดโมฆะและรวมเป็นหนึ่งเดียวกับคู่ (ของมัน) ขณะที่ในเวลาเดียวกันมันก็ควบคุมการหมุน 1 ใน 4 ของแหวนทั้งวง
Lady: มันทำให้เกิด สัญชาติญาณหรือการกระตุ้น (instinctive and impulsive) สติปัญญาหรือเหตุผล, จิตวิญญาณหรือเหนือธรรมชาติ ของสิ่งที่คุณกล่าว, เข้าสู่การรวมเป็นหนึ่ง (unified) หรืออภิปรัชญาแนวจิตนิยม (monadic) องค์รวม? ซึ่งจำนวนที่ขาด “i” ไม่สามารถแสดงได้ 
Pl: แหวนนี้กับ “i” คือการรวมเป็นหนึ่ง อย่างพ้นความเป็นอนุภาคและคลื่น และในขณะเดียวกันก็ควบคุมการกำเนิดของทั้งสองอย่างเหล่านี้ด้วย
Lady: มันคืออะตอม, สิ่งที่ไม่อาจแบ่งแยกได้, ในภาษาลาติน
พร้อมกับการกล่าว เธอมองมาที่ผมอย่างมีความหมาย แต่มันดูเหมือนว่าสำหรับผมแล้วไม่จำเป็นต้องพูด Cicero’s word (คำของนักพูดในสมัยโรมัน) สำหรับอะตอมให้มีเสียงดังออกมาหรอก
Pl: มันเปลี่ยนเวลาให้เป็นจินตภาพนิ่ง สถิตอยู่
Lady: มันคือการแต่งงาน และขณะเดียวกันมันก็เป็นอาณาจักรที่อยู่ระหว่างกลางด้วย, อาณาจักรที่คุณไม่อาจล่วงล้ำเข้าถึงได้ด้วยตัวเองคนเดียว ต้องเข้าไปเป็นคู่ 
มีการหยุดนิ่งอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง, เรากำลังรอคอยบางอย่าง..
แล้วก็มีเสียงของมาสเตอร์พูดขึ้นว่า .. transformed, from the center of the ring to the lady: แปรเปลี่ยน จากศูนย์กลางของแหวนสู่เลดี้ “Remain merciful” ... ดำรงไว้ซึ่งความเมตตา..
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมสามารถออกไปจากห้องเรียน ไปสู่เวลาปกติและวิถีปกติประจำวันในกาละเทศะ
เมื่อผมออกมาข้างออก ผมสังเกตว่าตัวเองสวมเสื้อโค้ดและหมวก ได้ยินคอร์ท C-major ของสี่โทน CEGC ลอยมาไกลๆ แน่ใจได้ว่ามันถูกบรรเลงขึ้นโดยเลดี้ ด้วยตัวของเธอเอง เธอกลับไปเป็นตัวของเธอเองอีกครั้ง..ตอนที่เห็น "i" เมนึกถึงสองอย่างคือ imaginary number กับ imaginary time .. และตอนต่อไปก็คือ What the Ring of the Imaginaries Represents: Dreams and RealitiesWhat the Ring of the Imaginaries Represents: Dreams and Realities 
บางที นี่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนในการค้นหาของเพาลีสำหรับการประนีประนอมทั้งหมดที่ผ่านมา ระหว่างสสารกับสปิริต the ring i. พ่อมดว่าเค้าเล่าไปบ้างแล้วเรื่องแหวน แม้จะไม่ได้อ้างถึงอย่างที่เห็น แหวนเป็นสัญญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์แทนการเคลื่อนไหวซึ่งเกิดขึ้นในระนาบเชิงซ้อน (complex plane) ของจำนวนจริงกับจำนวนในจินตนาการ (real and imaginary numbers) คุณอาจจะสร้างจินตภาพถึงระนาบ การตัดกันของสองแกน ตั้งฉากอยู่บนกันและกัน จุดตัดเป็นเลข 0 บนแกนตั้งให้มาร์คเป็นอาณาจักรของจำนวนจริง และรันไปทั้งสองข้างจากจุดตัด คือเป็นทั้ง + และ - และที่ขวางแกนจำนวนจริงนี้ก็ให้เป็นอาณาจักรของจำนวนในจินตนาการ แทนด้วยสัญญลักษณ์ i ในทุกๆ จุดบนระนาบก็จะถูกมาร์คโดยค่าของทั้งสองจำนวนนี้ เป็นค่าของทั้งจำนวนจริงและจำนวนในจินตนาการ จำนวนจริงวัดได้จากว่ามันอยู่ไกลจากจุดของแกนจินตนาการอยู่แค่ไหน และจำนวนจินตนาการก็บอกว่าคุณอยู่ไกลจากแกนจำนวนจริงอยู่แค่ไหนด้วย
ไม่มีอะไรจะซับซ้อนไปกว่าแผนที่ซึ่งบอกคุณว่าคุณอยู่ไกลจากจุดศูนย์กลางของเมืองแค่ไหน? แกนซึ่งรันเป็นกากบาทตัดกันระหว่างเหนือ-ใต้ กับ ตะวันออก-ตะวันตก แสดงจุดศูนย์กลางของเมือง ในทุกๆ จุดบนแผนที่ บอกว่ามันเป็นที่อยู่ มันให้เทอมของจำนวนตัวเลขมากมาย หรือเป็นบล็อกตะวันออก ตะวันตกของเส้นเหนือ-ใต้ และตัวเลขมากมายหรือบล็อกเหนือหรือใต้ ของเส้นตะวันออก-ตะวันตก
แหวนในระนาบเชิงซ้อนแสดง transformation ถ้าคุณวาดวงแหวนด้วยเส้นรัศมี (เส้นที่ลากจากจุดศูนย์กลางของวงกลมไปยังเส้นรอบวง) จุดศูนย์กลางวงกลมคือ 0 วงแหวนนี้จะตัดแกนจริงที่จุด +1 และ -1 และบนแกนจินตนาการก็เช่นกัน ที่จุด +i และ -i เป็นจุดที่เคลื่อนไปรอบๆ วงกลม จำนวนเป็นการแสดงแมกนิจูดเดี่ยวกันเสมอ เส้นรัศมีของวงแหวน แต่มันจะเปลี่ยนระยะเมื่อจุดเคลื่อนไหว นี่หมายความว่ามันเปลี่ยนผลรวมของทั้งจำนวนจริงและจำนวนจินตนาการเสริมกันไปด้วย ซึ่งนั่นทำให้ค่ารวมของมัน
วงแหวนสามารถจะคิดเป็นทั้งการเคลื่อนตัวของคลื่น (wave motion) เป็นคลื่นที่ผ่านวงกลมสมบูรณ์ การเปลี่ยนระยะของมันแสดงด้วยการเคลื่อนที่ของจุดบนวงแหวน...
บทที่กำลังเล่านี่เป็นบทที่ 18 พ่อมดบอกว่าในบทที่ 19 ถัดไปจะเล่าเรื่องคลื่นชโรดิงเกอร์ ซึ่งประกอบด้วย ionic currents (กระแสไอออน) ซึ่งปรากฏขึ้นใน brain cortex. โฮโลแกรมสามมิติของสมอง สามารถถูกสร้างขึ้นด้วยคลื่นเหล่านี้ และ phase ของคลื่นเหล่านี้ มันมีความสำคัญในการกำหนดความสามารถของโฮโลแกรมซึ่งสร้างความทรงจำขึ้นมาใหม่ phase นั้นสามารถสร้างภาพเป็นการเคลื่อนไหว ปัดภาพที่น่ารังเกียจออกไป แล้วตอนนี้ภาพนั้นถูกทำให้สมบูรณ์โดยไม่มีเคลื่อนที่ปัดออกของจากสิ่งที่น่ารังเกียจ มันเป็นแค่เพียงการเคลื่อนที่ของจุดบนวงแหวนแห่งจินตนาการในระนาบเชิงซ้อน
แม้กระนั้นการตีความความเป็นคู่ของคลื่น-อนุภาค ยังอยู่ในการถกเถียง นักฟิิสิกส์ทั้งหลายยังสำนึกถึงความจำเป็นที่ต้องมีการขยายความเป็นไปได้อันซับซ้อน ในการอธิบายธรรมชาติ ความจริง (ระดับ fact) ซึ่งจำนวนในจินตนาการไม่อาจถูกสังเกตในสนามกายภาพ หรืออนุภาคคือความลำบากลำบนอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม มันอาจจะเป็นเพียงสนามของจำนวนจินตนาการที่รันอยู่ภายนอกตรรกะเหตุผลระดับเข้มข้นของความคิดเชิงตรรกะของเรา พวกมันหยาบ บางทีความเป็นผู้หญิง สปิริต “anima” ซึ่งพวกเรานักฟิสิกส์พบว่าจำเป็น และเป็นพลังชีวิตในระเบียบของการสร้าง “สัมผัส” ของโลกกายภาพ เราจำเป็นต้องมี จำนวนจิตนาการ แต่เราไม่รู้ว่าจะสร้างมันขึ้นมายังไง
เช่นสัญญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ วงแหวน i เป็นสิ่งที่มีพลังอำนาจในวิทยาศาสตร์วันนี้ พอๆ กับกางเขนของคริสเตียน ในความเป็นจริงแล้วมันอาจจะเป็นไปได้แม้กระทั่งทำให้นึกไปถึงเรื่องความสัมพันธ์ ซึ่งแกนตั้งของกากบาทแสดงโลกกายภาพ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น