ฟังนาซิม 2

ด้วยกลไกอันเรียบง่ายของสมการคณิตศาสตร์ ที่พิสูจน์ว่าอะตอมคือ mini black hole (หลุมดำน้อยๆ) ซึ่งนาซิมก็แค่ไม่ทำเหมือนคนอื่นที่เมินความหนาแน่นของ vacuum เขาก็แค่ไม่ยอมมองผ่านพลังงานมหาศาลซึ่งอาจจะเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง อย่างที่ใครๆ ทำกันในวงการฟิสิกส์ นั่นก็คือมองไปที่ความว่างภายในของโปรตอน (อะตอมธรรมดาของไฮโดรเจน) 
อันโปรตอนเป็นเหมือนนิวเคลียร์ของอะตอมเพราะตรงกลางมันแน่นมาก เขาหาว่ามันมี volume (ค่ารวมของพื้นที่ภายใน) อยู่เท่าไหร่ ก็ได้มาว่าเป็น 10 ยกกำลัง -39 ลูกบากศ์เซ็นติเมตร (เล็กมากๆ) แล้วก็มาคำนวนต่อว่ามันมี vacuum อยู่ในโปรตอนที่แสนจะเล็กกระจิดริดนี้อยู่เท่าไหร่ ปรากฏว่าได้ผลออกมาเป็น 10 ยกกำลัง 55 ต่อค่ารวมของพื้นที่ภายในทั้งหมด คุ้นๆ กับจำนวนตัวเลยนี้มั๊ย!! มันคือค่าของปริมาตรสสารของทั้งจักรวาลรวมกัน (เมื่อถูกบีบอัดลงมาไว้ในลูกบากศ์เซ็นติเมตร แล้วถ้าเรายังจำสมมุติฐานเรื่องความว่างเชื่อมโยงทุกสรรพสิ่งได้ นั่นก็คือมันมีโปรตอนทุกตัวที่อยู่ในจักรวาลดำรงอยู่ในโปรตอนแต่ละตัว!! (จากสมการที่ได้) และนั่นคือวิถีที่สสารปรากฏออกมา เท่ห์มั๊ยล่ะ? นี่คือหลักฐานทางคณิตศาสตร์ ที่บอกว่าทุกสรรพสิ่งคือหนึ่งเดียวกัน 

ซึ่งตอนนี้มันไม่ได้เป็นแค่แนวคิด หรือหลักฐานที่ไม่มีข้อพิสูจน์อีกต่อไป แต่มันเป็นหลักฐานทางคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นรูปธรรม แต่อย่างไรก็ตาม นาซิมไม่ได้พูดเรื่อง “ความเป็นหนึ่งเดียวกัน” ในที่ประชุมหรอก หากเขาพูดว่า จำนวนนี้ตามสมการมันแสดงว่า โปรตอนทั้งหลายมัน entangle (ความพัวพันอันไม่อาจแบ่งแยกซึ่งเชื่อมโยงถึงกันหมด) นาซิมบอกว่า ต้องใช้ภาษาของนักฟิสิกส์ พวกเค้าถึงจะฟัง!! 
ตัวเลขมันออกมางดงามมาก คือ 10 ยกกำลัง 55 ซึ่งก็ชัดเจนว่าเพียงพอแล้วที่จะเป็น universal black hole และนอกจากนั้นยังเท่ากับว่ามันเป็นมวลของโปรตอนทั้งหมดรวมกันด้วย มันไม่มีอะไรต้องสงสัยเลย อะตอมก็คือหลุมดำ!! (ก็ขนาดของมันแค่10 ยกกำลัง -39 ซึ่งเล็กจิ๋วมาก เมื่อเทียบกับ 10 ยกกำลัง 55)  โปรตอนกลายเป็นหลุมดำแน่นอน หรือทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เราอาจจะบอกได้ว่า vacuum feeding all atoms (ความว่างหล่อเลี้ยงอะตอมทั้งหลายเอาไว้) โลกสสารทั้งหมดวางฐานอยู่บนจำนวน 10 ยกกำลัง -39 ของพลังงานของ vacuum ซึ่งโคตรจะขี้ประติ๋วมากสำหรับ vacuum 
และบนความขี้ปะติ๋วนี่แหละที่สร้างโลกแห่งสสารวัตถุของเราขึ้นมา 

ทีนี้ลองจินตนาการว่าถ้าเราเอาพลังงานที่มีอยู่ในทุกหนแห่งนี้ออกมาใช้ได้ หรือเอามาไม่ต้องถึงขนาดใกล้เคียงกับ10 ยกกำลัง -39 หรอก เอาแค่ coherent พลังงานนั้นได้สักกะจิ๊ดเดียว แค่นั้นก็เหลือจะพอสำหรับโลกทั้งใบใช้ไปได้เป็นพันๆ ปีแล้ว แล้วเรายังจะมีพลังงานเพียงพอที่จะสร้างสนามแรงดึงดูด เพียงพอทีจะเดินทางข้ามระบบสุริยะ ข้ามกาแลคซี่ หรือแม้กระทั่งข้ามจักรวาลนี้ไปจักรวาลอื่น 
เราจะได้ปลดปล่อยสังคมของเรา อารยธรรมของเราจากการให้ติดแหง็กอยู่แค่ผิวโลกใบนี้ ซึ่งมันไม่ใช่ที่ๆ น่าอยู่เลย ผิวโลกใบนี้ไม่เคยเสถียร (highly unstable) เปลือกโลกไม่ได้คงอยู่ได้เพราะมีคนอยู่ ความเบาบางของบรรยากาศก็เทียบได้กับการทาน้ำยาเคลือบผิวบนลูกบิลเลียด (นั่นคือความหนาของชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก) ขนาดของโลกเมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์ก็เหมือนเม็ดทราย ถ้าเพียงชิ้นส่วนเล็กๆ ของดวงอาทิตย์หลุดมา ผ่านชั้นบรรยากาศอันบอบบาง ก็เรียบร้อย ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณเคยรู้จักหายวับไปหมด
ไม่ต้องสนใจความรู้ทฤษฎี ดาราศาสตร์อะไรมากมาย ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ก็แค่ขึ้นอยู่กับ เวลาของคอสมอสซึ่งให้อารยธรรมของเราคิดค้นว่าจะออกจากหิน (ก้อนที่เกาะอยู่นี้) นี้อย่างไร? ถ้าทำได้ไม่ทันเวลาล่ะก็..อาจต้องรอรอบหน้า.. นี่คือพื้นฐานการย่างก้าวของอารยธรรมที่ต้องทำให้สำเร็จ และเราก็ได้มาถึงจุดนั้นแล้ว เรามาอยู่ ณ จุดที่วิวัฒนาการของเรา ได้นำเรามาสู่ความเข้าใจพื้นฐานของจักรวาล นั่นรวมถึงปรัชญาจักรวาล จิตจักรวาล เข้าใจว่าอะไรเชื่อมโยงเราเข้าด้วยกันและมันทำงานอย่างไร เพื่อเราจะได้ประยุกต์เทคโนโลยีตามนี้ให้เป็นจริงอย่างเป็นพิธีกรรมอันงดงามด้วย   

กรณีที่อาจมีข้อกังขาว่า ถ้าใช้มวล 10 ยกกำลัง -39% ของ vacuum ให้เป็นหลุมดำน้อยๆ อะตอมของนาซิมก็จะต้องหนักกว่าอะตอมปกติในห้องแลป พวกกระแสหลักก็จะไม่มีความสุขกับเรื่องนี้ (คงพอจินตนาการได้) ความจริงก็คืออะตอมของนาซิมจะใหญ่กว่ามาตรฐานโปรตอนไป คุณก็อาจจะคิดว่ามันผิดใช่ไหม? นาซิมบอกว่าถ้ามันผิดจริง มันก็ไม่น่าจะเวอร์กกับมาตรวัด scale เขาก็เลยสร้างสเกลขึ้นมาระหว่างมวลกับการแผ่รังสี บนสเกลที่เรียงตัวกันก็เริ่มจาก Plank Distant, กาแลคซี่, เควซ่า, ดวงอาทิตย์, โลก, พอลซ่า, และ black hole proton เรียงตัวกันสวยงามบนสเกล ขณะที่โปรตอนมาตรฐานกลับหลุดจากการเรียงตัวบนสเกลไป ซึ่งนาซิมบอกว่านี่มันชัดเจนว่าโปรตอนมาตรฐานนั้นอยู่ผิดที่ผิดทาง ซึ่งนั่นก็คงเป็นเพราะในทางฟิสิกส์ มวลไม่เคยถูกอธิบายให้กระจ่างชัดว่ามันมาจากไหน แล้วการจะทำให้โปรตอนแตกตัวก็ต้องยิงอนุภาคเข้าใส่มัน พอมันหลุดออกไปก็ถูกตรวจวัด โดยเรามีเพียงสมมุติฐานว่าโปรตอนจะมีมวลเท่าเดิม (ก่อนจะถูกทำให้แตกตัว) ก็แน่ล่ะเมื่อคุณเข้าไปแทรกแซงระบบ คุณก็จะไม่ได้ข้อมูลที่ถูกต้องเที่ยงตรง 

มันเกิดขึ้นแบบเดียวกันนี้ในทางชีววิทยาด้วย คุณรู้มั๊ยเวลาจะเรียนรู้เกี่ยวกับเซลเราทำกันยังไง? เราแช่แข็งมันด้วยไนโตรเจนเหลว แล้วก็เฉือนเปิดมันออก นั่นก็แปลว่ามันไม่มีชีวิตอีกต่อไปแล้ว จากนั้นก็ส่องดูมันจากอิเลคตรอนไมโครสโคป และอุทาน โอ้ว้าว!! dna ดีเอ็นเอเป็นมวลหลัก (เป็นส่วนใหญ่) อยู่ในนั้น ..เราอาจจะไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องก็เป็นได้!! 

ตอนนี้เรากำลังคำนวนหาแรงดึงดูดระหว่าง Schwarzschild Protons สองตัว จากตำแหน่งโดยระยะห่างจากจุดศูนย์กลางของกันและกัน

Schwarzschild: คือหลุมดำชนิดที่เป็นผลมาจากการล้มสนามแรงดึงดูดโดยสมบูรณ์ มีความเป็นกลางและไม่หมุน เป็นจุดซิกูลาลิตี้ซึ่งทำให้กาลอวกาศโค้งงออย่างเป็นอนันต์ ขอบเขตของมันก็คือขอบเขตของหลุมดำ
Origin named after Karl Schwarzschild (1873-1916), German astronomer.

เหตุที่ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น (ทำไมถึงได้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง!!) นั่นก็เพราะการเข้าถึงมวล เป็นสิ่งที่พวกกระแสหลักไม่เข้าใจ ก็ตอนที่พวกเขาเจอโปรตอนสองตัว เขาพบว่าพวกมันเป็นชาร์ต+ ซึ่งมันก็น่าจะผลักกัน (เหมือนแม่เหล็กผลักขั้วเดียวกัน) ตอนนั้นก็ไปเข้าใจว่าแรงดึงดูดจะต้องดูดมันอย่างรุนแรงมาก (ต้านแรงผลัก) ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ มันคงจะเป็นแรงตัวใหม่ (ที่ไม่เคยรู้จัก) !!! แล้วสิ่งที่พวกเขาทำเมื่อสองร้อยกว่าปีมาแล้วก็คือ บอกว่าพบแรงชนิดใหม่ที่เรียกว่า “strong force” (นิวเคลียร์แข็ง) นาซิมประชดว่าช่างสะดวกง่ายดายซะนี่กระไร? 
เสร็จแล้วพวกเขาก็ใส่มันลงไปว่าเป็นสิ่งที่ string จำเป็นต้องทำ (ต้องรวมโปรตอนเข้าด้วยกัน) ผมเลยเรียกฟิสิกส์ทำนองนี้ว่า ฟิสิกส์ตามใจมรึง.. (เสียงฮาครืน!!) 
พวกเขาทำแบบเดียวกันกับจักรวาลด้วย เมื่อพบสมการที่บอกว่ามีสสารอยู่ 4% แทนที่จะทำงานกับสมการต่อ กลับไปบอกว่า เสร็จแล้ว!! ที่เหลืออีก 96% ก็ใส่ dark matter ลงไป โอ้..ดูสิ สมการใช้ได้แล้ว มันต้องมีอยู่จริงแน่ๆ!! ฟิสิกส์ตามใจมรึงไงล่ะ!! (นาซิมประชด)

แล้วดูสิ!! เมื่อใส่แรงนิวเคลียร์แข็งลงไป ผลที่ตามก็คือมันไม่สามารถจะรวมกับแรงดึงดูดได้ ตอนนี้ก็เลยสร้างเรื่องสร้างราวกันใหญ่ พยายามจะใส่มิติ (dimensions) กันเข้าไปเพื่อจะทำให้มันใช้การได้ ทั้งที่ยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะ strong force มันไม่มีอยู่!! 

สิ่งที่นาซิมคิดออกมาแล้วน่าจะเป็นไปได้จริงก็คือ มันเป็นการกระทำในระดับอะตอมของแรงดึงดูดซึ่งกระทำต่อโปรตอน ต่อหลุมดำน้อยๆ นั่นถึงทำให้อิเลคตอนมันหมุนเร็วที่ความเร็วแสง 
ดังนั้นเมื่อคุณมาดูโปรตอนสองตัว จะพบแรงดึงระหว่างกันที่แรงมาก แล้วก็มาคำนวนการที่มัน rotate each other หมุนรอบกัน ด้วยความเร็วที่สูงมาก (นาซิมอธิบายสมการ) …
แล้วก็รวมอัตราเร่งเหล่านี้เข้าด้วยกันสืบเนื่องมาจากอัตราความเร็วสัมพัทธ 
ซึ่งเมื่อถอดสมการทั้งหมดออกมาจะได้ 2.9x10 ยกกำลัง10 เซนติเมตรต่อวินาที ยังจำจำนวนตัวเลยนี้กันได้มั๊ย? ใช่แล้ว มันคือความเร็วแสง!! V=C ซึ่งก็คือ The Speed of Light 
ตอนนี้ก็ชัดแล้วว่า โปรตอน ณ จุดศูนย์กลางของมันไม่เพียง infinite dance แต่มันยังหมุนในระดับความเร็วแสงด้วย เป็นการหมุนที่มีอัตราความเร็วสูงมาก 

แล้วตอนนี้คุณเริ่มสัมผัสสสาร (รวมถึงตัวเราเอง) ได้รึยังว่ามันเป็นแสง “เราคือแสง” มันหมายความว่าอย่างนั้น!! คุณเห็นภาพตัวเองรึเปล่า? สัมผัสตัวคุณเองได้รึเปล่า? ทุกๆ อะตอมที่ก่อประกอบตัวเราเป็นหลุมดำที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วแสง นั่นแหละคือพลวัตของตัวคุณ นี่คือความเป็นพลังงานในตัวของคุณ เป็นสิ่งอัศจรรย์มาก ที่คุณ transform information แล้วส่งให้จักรวาลและส่งกลับมาด้วยความเร็วแสง คุณกระพริบ วับๆๆๆ เร็วมาก to the vacuum/back out/to the vacuum/back out

ดังนั้น..คุณคือใคร? เมื่อยู่ใน vacuum คุณเคยสำรวจ vacuum ของคุณรึยัง? (ตรงนี้มีสัปดนกันเล็กน้อย ฮ่าฮ่า) 

คุณ inform the vacuum และกระพริบเข้าๆ ออกๆ ทุกหนทุกแห่ง มันเป็นอย่างนั้น (ลูกชายวัยสี่ขวบก็คุยกับนาซิมเรื่องนี้ด้วย) มันจึงสำคัญมากที่เราจะต้องตื่นรู้ในการกระทำซึ่งรับรู้สัมผัสนี้ แล้วเมื่อมันเกิดขึ้น คุณจะเริ่มรู้ว่าในการเคลื่อนไหวของคุณมันอาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่คุณคิดว่ามันเป็น นาซิมหมายความว่า ถ้าเราอยู่ใน fractal universe ซึ่งแบ่งๆ ไปได้ไม่สิ้นสุดจากความเป็นอนันต์อันยิ่งใหญ่จนถึงความเป็นอนันต์อันเล็กจิ๋ว นั้นการเคลื่อนที่จากจุด A ไป B ก็จะมีความแตกต่างจากสมมุติฐานของเราแน่นอน 

คุณอาจจะเริ่มจากการยกมือขึ้นแล้วโบก (เคลื่อนมือ) จากจุดเอไปบี โดยนาซิมจะคำนวนความเร็วในการเคลื่อนของมือนั้น ซึ่งคุณก็รู้ว่ามันมีความเป็นอนันต์ด้วย ขณะที่มือเคลื่อน โลกก็หมุนรอบตัวมันเองไป เขาจะบวกความเร็วนั้นเข้าไปด้วย ขณะเดียวกัน โลกก็หมุนรอบดวงอาทิตย์ แล้วดวงอาทิตย์ก็หมุนรอบกาแลคซี่ นาซิมก็จะบวกอัตราความเร็วเหล่านี้เข้าไปด้วย 
ถึงตอนนี้คุณก็พบว่ามือของคุณเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเป็นล้านไมล์ต่อวินาที แล้วความเร็วก็ยังถูกบวกเข้าไปได้อีกเรื่อยๆ เพราะกาแลคซี่ก็หมุนเคลื่อนข้ามยูนิเวอร์ส มัลติเวอร์ส ซุปเปอร์ครอส ฯลฯ แล้วถัดมาคุณก็จะรู้ว่ามือคุณเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสง 

คุณจะอธิบายเรื่องการเคลื่อนที่อย่างไร?  เมื่อคุณเข้าใจแล้วว่ามือคุณมันไม่ได้เคลื่อนไปจากแค่จุดเอไปจุดบีตามที่คุณคิด มือของคุณ (ขณะกำลังเคลื่อน) มันจะปรากฏขึ้นแล้วหายไป แล้วปรากฏขึ้นอีกแล้วหายไป appearing disappearing ..undoing/redoing itself ทุกครั้งมันจะเข้าสู่อนันต์แล้วกลับมา คล้ายๆ กับการฉายหนัง จากแผ่นฟิล์ม ที่เป็นเฟรมภาพนิ่ง แต่เมื่อเราหมุนมันด้วยความเร็วเพียงพอ เราก็จะเห็นเหมือนมันเคลื่อนอย่างสืบเนื่อง  และถ้าคุณเข้าใจแล้วว่าคุณ interact กับ vacuum ตามนี้ และถ้าคุณ manipulate vacuum หรือที่ผมจะเรียกว่า vacuum engineer (วิศวกรความว่าง) ระดับมาสเตอร์ คุณก็จะสามารถทำให้มือหายวับจากจุด A แล้วไปปรากฏที่จุด  B ได้เลย ข้ามจุดต่างๆ ที่อยู่ระหว่างทางไปได้ (นาซิมกล่าวติดตลกว่า ถ้าคุณทำอย่างนั้นก็อย่าลืมเอาตัวเคลื่อนไปด้วยล่ะกัน ไม่งั้นมือข้างที่เคลื่อนไปจะลำบากเพราะขาดร่างกายส่วนที่เหลือ..ฮ่าฮ่า) 

และความเข้าใจเหล่านี้จะนำเราไปสู่ประสิทธิภาพในการ interact กับ vacuum ในตัวเราเอง 
แต่ในห้องแลบ ความเข้าใจเรื่องนี้ได้นำไปสู่องค์ความรู้ซึ่งจะเปิดหูเปิดตาพวกเราซะที ไม่ใช่แค่จะนำเราไปสู่พลังงานอันอเนกอนันต์ไม่สิ้นสุดเท่านั้น แต่ยังจะทำให้สามารถเคลื่อนย้ายสสารข้ามกาแลคซี่ได้ โดยไม่ต้องหยุดตามจุดระหว่างทาง นาซิมบอกว่าเขาจะแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีนี้มันยังอยู่ในอนาคตไกลโพ้น หรืออยู่แค่หัวมุมตึกนี่เท่านั้น 

ตอนที่นาซิมทำวิจัยเรื่องอะตอมนี้ เขาได้ศึกษาอารยธรรมโบราณมากมายด้วย เขาเข้าใจว่าถ้าโครงสร้างของ vacuum มีอยู่ มันคงไม่ใช่แค่แรนดอมไป (มั่วสะเปะสะปะ) แต่มันจะต้องมีโครงสร้างอันเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง ซึ่งต้องมีโครงสร้างพื้นฐานเป็นเรขาคณิต แล้วเราก็จะต้องเข้าใจให้ได้ว่าโครงสร้างนั้นมันเป็นอย่างไร นาซิมก็เลยศึกษาอารยธรรมโบราณ ซึ่งถือเป็นแหล่งกำเนิดของการสร้างสรรค์ 
และแล้วก็ได้พบในอารยธรรมโบราณเกือบทั้งหมดบนโลกใบนี้ สิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้น ล้วนเป็นรูปทรงเรขาคณิตซึ่งมีลักษณะเฉพาะอันสำคัญ เขาใช้เวลาหลายต่อหลายปีค้นคว้าจนกระทั่งพบรหัสที่ทิ้งไว้จากอารยธรรมโบราณอันหลากหลาย มันมีทั้งที่เป็นคณิตศาสตร์ทั้งหมด หรือสมการทั้งหมด ซึ่งถอดไว้แล้วด้วย มีกระทั่งเทคโนโลยีเพื่อใช้สร้างห้องแลบ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเขาก็จะไม่ไปคิดว่าคนโบราณฝันเอา หรือจู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้เองรึเปล่า? ไม่มีทาง เขาไม่คิดอย่างนั้นแน่ ..มันมีหลักฐานมากมายที่สนับสนุนว่ามีอารยธรรมล้ำยุคสมัยอยู่ที่นี่ และต้องการจะมอบความรู้เหล่านี้ให้กับเรา (นาซิมแสดงภาพหัวกระโหลกซึ่งเป็นทรงรียาวๆ) คนเหล่านี้แหละ!! 
จากนั้นนาซิมก็แสดงภาพลวดลายโบราณต่างๆ จากอิยิป จีน ฯลฯ ซึ่งเป็นรูปทรงพื้นฐานทางเรขาคณิตที่สามารถปรับแปลงให้เป็นทุกๆ รูปทรงของสรรพสิ่งที่เราเคยพบเจอในจักรวาล และในองค์กรชีวิตด้วย  


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น