แสงแห่งชีวิต Biophotons 2

คุณพบมัน (มะเร็ง) ได้ ถ้ามันอยู่ตรงนั้น แม้มันจะยังไม่เป็นกายภาพ แต่จะสัมผัสได้ว่ามันมีความบกพร่องไม่เป็นปกติอยู่ ถ้าระบบหนึ่งมันผิด ระบบอื่นๆ ก็จะตามไป แล้วกลายเป็นหลุดออกจากสมดุล อย่างคนจะวินิจฉัยไทรอยด์ต่ำ ไทรอยด์สูง ฟังก์ชั่นไม่สมดุล ไม่เคยอยู่ในสภาวะไม่ต่ำ ไม่สูง แต่ก็ไม่ผิดปกติอะไร ไทรอยด์อาจได้รับอิทธิพลจาก ต่อมไพเนียล, ปรสิต, หรือพิษต่างๆ อะไรก็ตาม อย่างไทรอยด์ต่ำ เรียก Thyroxine แต่เก้าในสิบแล้วไทรอยด์มันไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเลย มันมีเพียงสิ่งที่อยู่เบื้องหลังไทรอยด์ ผมจะเป็นคนที่มองหาแต่สาเหตุที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ดูอาการ อาการเป็น sign ชี้ทางให้เราว่าจะมองไปทางไหน แต่อย่าไปยืนอยู่บนอาการตลอดเวลา แสงมากกว่า 100,000 ถูกกักและแผ่ออกมาจากทุกเซล และอีกมากกว่า 100,000 ปฏิกริยาทางเคมี ในทุกๆ วินาที จากทุกๆ เซล แล้วก็รู้กันมานานแล้วว่าก่อนจะเกิดปฏิกริยาทางเคมีมันจะต้องมีสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า แต่พวกเค้าไม่เคยรู้ว่ามันจากไหน? รู้แต่ว่าเป็นแสงที่มาควบคุมปฏิกริยาทางเคมี ไบโอโฟตอนเป็นเพกเกจข้อมูลที่บรรจุข้อมูลของร่างกายคุณทั้งหมดเอาไว้ จากมิติทั้งหมด 15 มิติ และทั้ง 100% ของดีเอ็นเอ ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในไบโอโฟตอน พวกไบโอโฟตอนจะแผ่รังสี หรือเปล่งปล่อยพลังงานจากตัวของมันเอง ซึ่งการจะค้นพบการเปล่งแสงแผ่รังสีจากทุกเซลได้จะต้องมีเทคนิคในการขยาย amplifier ที่ขยายได้อย่างเต็มกำลังแรงมาก แผ่ขยายได้ไกลในระยะห่างถึง 17 ไมล์ แล้วก็จับพลังแสง light (life) force ได้จากทุกๆ เซล ซึ่งในเซลมันก็มีดีเอ็นเอ เขาจึงเชื่อมั่นว่า ดีเอ็นเอจะต้องเป็นแหล่งกำเนิดเแสงณะเดียวกันผมก็มีข้อสรุปที่ต่างออกไป คือผมว่า clear light แสงใสกระจ่างมัน coherence มากๆ เหมือนแสงเลเซอร์ แล้วมันโชว์ในระบบของเราอย่างเป็นเส้นตรง ถ้ามันจะบิดไปในแบบใดก็ตามแสงที่ coherence อยู่มันจะต้องเกิด chaotic (ความไร้ระเบียบ) เหมือนหลอดไฟ ที่มี slow chaotic light ซึ่งมันแปลว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นกับแสงถ้าไปตรวจจับ อันมันจะเป็นกายภาพรึเปล่าไม่สำคัญ มันมีการบิดเบี้ยวขึ้นแล้ว และการบิดนี้จะต้องหายไป นี่เป็น Siren และนั่นเป็นระบบแสงดาว ระบบแสงไซเรน (Siren) จะพัฒนาอย่างสม่ำเสมอมากกว่า มันติดต่อสื่อสารกับร่างกายคุณ ไม่ใช่กับคุณ คุณไม่มีอิทธิพลกับสิ่งที่ร่างกายคุณกำลังจะพูด จะบอก คนส่วนใหญ่จะเซอร์ไพรส์ เพราะทุกอย่างที่ร่างกายแสดงออกมันบอกว่า คุณอาจไม่มีความรู้เลยว่าปัญหาหลักของคุณ ไม่ได้เป็นเหตุก่อเกิดของอาการที่กำลังเป็นอยู่โดยตัวของมันเอง แต่มันเป็นเหตุให้ระบบอื่นหลุดออกจากระเบียบ แล้วเหตุอื่นนั้นก็ไปเป็นเหตุให้เกิดปัญหาหลักของคุณ อย่างเช่นถ้าคุณเกิดการติดเชื้อ (Cro decease) เหตุผลหลักของมันจะเป็น appendicitis (ไส้ติ่ง) เสมอ แล้ว 70% ของคนบนโลกนี้ก็เดินไปมาพร้อมกันกับ clonic appendix (บีบหดตัวของไส้ติ่ง) แล้วก็เพราะว่ามันหดตัว หมอก็เลยไม่เห็นอะไรในเลือด แล้วบ่อยครั้งที่เนื้อเยื่อไส้ติ่งมันตายไปแล้ว แล้วถ้าชิ้นส่วนชีวิตเล็กๆ (เชื้อ) ที่ถูกทิ้งไว้ในไส้ติ่งถูกพบ มันก็จะรักษาได้ เมื่อเชื้อมันตายหมดแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องไปตัดไส้ติ่ง แต่หมอทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะไม่เห็นอะไรในเลือด ..คุณต้องแก้ที่เหตุของปัญหา ถ้าคุณไม่แก้เหตุหลัก คุณก็ไม่ได้แก้ไขอะไร ซึ่งแน่นอนว่าวงการแพทย์ไม่ได้มีตาไว้สำหรับแก้ที่สาเหตุ ผมเซอร์ไพรสที่ได้เห็นการถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ของที่นี่ ทุกสิ่งที่ใส่เข้ามาเป็นเรื่องการแพทย์ตลอดเวลา ..แล้วเหตุของปัญหาก็อยู่ในโลกแห่งพลัง Energetic World ซึ่งยังไม่สามารถเป็นโลกกายภาพ Physical World แม้กระทั่งหากคุณได้รับพิษจากสารตะกั่ว ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นกายภาพมาก แต่คุณจะได้รับพิษจากตะกั่วจริงๆ ก็ต่อเมื่อเลือดของคุณ resonated กับสารตะกั่วนั่นคือเราทุกคนสร้างเหตุการณ์ สร้างปัญหาของตัวเองขึ้นมา ยังไงก็ตามแต่มันอาจจะเป็นแหล่งกำเนิด entire source ต้นเหตุแห่งปัญหาก็คือคุณ และดังนั้นคุณจึงมีปัญหาอื่นๆ ตามมาด้วย แต่คุณต้องกลับไปยังต้นกำเนิดของมันเพราะมันคือความทรงจำทั้งหมด และทุกๆ เหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นในชีวิตของคุณ ครอบครัวคุณ ทั้งหมดถูกเก็บไว้ใน life wave (คลื่นชีวิต) หรือในไบโอโฟตอน บางเหตุการณ์อาจเกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว หากเซลของคุณยังเก็บความทรงจำเอาไว้อยู่ มันเก็บอยู่ในเพจเกจข้อมูลไบโอโฟตอนซึ่งเป็นการเก็บสะสมชั่วขณะ depth moment ซึ่งเคยแผ่ขยายออกมา และอาจจะห่างออกไปถึงยี่สิบปีแสง แต่ความทรงจำเหล่านั้นคุณก็สามารถเรียกมันกลับมาได้ ทันทีไม่ว่ามันจะอยู่ไกลสักแค่ไหน เพราะเวลาไม่ปรากฏอยู่จริง dose not exist ใช่เราเคลื่อนไปในเวลา มีอดีตมีอนาคต แต่ทั้งหมดมันเป็นหนึ่งเดียวกันในขณะนี้ now! เวลาคือ static “สถิต” spiral “พลวัต” อย่างเราอยู่ตรงนี้ (บนสไปรัล) และในอนาคตก็มาอยู่ตรงนี้ (บนสไปรัลอีกชั้นหนึ่ง) แล้วก็มีอดีตอยู่ชั้นล่างนั่น แต่สไปรัลมัน stand เป็น standing wave อยู่เสมอ ดังนั้นถ้าคุณออกไปจากร่าง ร่างกายคุณก็ไม่ได้แตกหักเสียหายอะไร มันทำไม่ได้ ร่างกายถูกกระทบอย่างแรง ล้มนอนอยู่ แล้วร่างกายก็ผลิตเอ็นดรอฟิน endorphins หรือมอร์ฟีน ซึ่งมันจะผลิตต่อเมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะถูกกระทบอย่างแรง (slash) อย่างใน ME myalgic encephalomyelitis, chronic fatigue syndrome จะมีเอ็นดรอฟินส์มากมาย คุณมองอะไรไม่เห็น ทำอะไรไม่ได้ต้องลดเอ็นดรอฟินส์ลงก่อน ร่างกายถึงจะกลับมา แต่ในช่วงผลิตเอ็นดรอฟินส์คุณไม่เห็นอะไร หรือคนเป็นเอดส์ คุณก็ไม่เห็นอะไรด้วย มันมีเอ็นดรอฟินส์เต็มไปหมด ดังนั้นเขาจึงบอกกันว่าเอดส์สามารถจะ Decades before Manifest ขึ้นอยู่กับว่าร่างกายเตรียมสำหรับการสกัดกั้นได้นานแค่ไหน อาจผ่านไปหลายปีถึงมีอาการ ซึ่งก็คือร่างกายหยุดสกัดกั้นแล้ว ร่างกายปล่อยให้ทุกอย่างออกมา แล้วถ้าตอนนั้นคุณบำบัด การรักษาจะเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก เพราะคุณกับร่างกายคุณทำงานร่วมกัน มันมีหมายเสมอนั่นแหละในการที่จะให้ร่างกายร่วมมือด้วย แต่เก้าในสิบมันไม่เกิดขึ้น มันจะเป็นการที่คุณอยากรักษาให้หาย คุณกินยา แต่สำหรับร่างกายแล้ว ร่างกายคิดว่าสำหรับฉันมันไม่มีอะไรผิดปกติ ฉันไม่ได้อยากร่วมมือกับคุณ คุณจะต้องทำให้เค้าร่วมมือให้ได้ เพราะคุณไม่ได้เป็นร่างกายของคุณ คุณแค่อาศัยอยู่ในร่างกาย มันต่างกัน แต่ถ้ามีอาการผิดปกติ อย่างเกิดความเจ็บป่วย โรคภัยขึ้นในร่างกายคุณเมื่อไหร่ก็ตาม นั่นแปลว่าร่างกายของคุณกับวิญญาณ soul ไม่ได้เชื่อมโยงกัน แล้วสิ่งที่ต้องการการเยียวยาก็คือวิญญาณ ซึ่งก็รู้กันอยู่ เราทุกคนสามารถรักษาตัวของเขาหรือเธอเองได้ แต่มันไม่ใช่แค่ตัวเขาหรือวิญญาณเธอ ที่จะทำอย่างนั้น แต่จะทำได้ผลจริงก็ต่อเมื่อ วิญญาณมีสติปัญญา? capable to do!! ดังนั้นเราจึงต้องมองไปที่ทุกสิ่งทุกอย่างตลอดเวลา ต้องมองที่เงื่อนไขสิ่งแวดล้อม สถานที่ทำงาน Idiopathic? ช่วงวัยของชีวิต สารเคมีในอากาศ ฯลฯต้องมองทุกอย่าง และมันก็ไม่มีอะไรเป็นความจริงเดี่ยวๆ ด้วย (ประมาณเป็นเหตุเพียงประการเดียว) ความจริงหลายด้าน (44?) อย่างไรก็ตามข้อมูลมันมีเยอะ ผมก็เลยเอาลูกบาศก์มาเป็นสัญญลักษณ์ของความเป็นจริง ก็ถ้าด้านนี้มันสี คนที่ยืนตรงนี้ก็จะบอกว่าลูกบาศก์นี้สีเหลือง คนยืนตรงโน้นก็จะบอก ไม่ใช่อ่ะ นี่มันสีน้ำเงิน นี่ก็แดง นั่นก็เขียว แต่ถ้าคนที่ยืนนี่ขยับจุดยืนไปนิดนึง ก็จะได้เห็นความเป็นจริงมากขึ้น เขาก็จะเห็นสองด้าน และด้วยการเคลื่อนที่ คุณได้ขยาย (ข้าม?) ขอบเขตจิตสำนึกของคุณ ไม่ว่าคุณจะขยับไปด้านไหน แล้วทั้งหมดมันจะนำพาไปสู่ด้านบน ซึ่งข้างบนมันเป็นสีขาว แต่สิ่งหนึ่งที่คุณไม่มีทางเห็นเลยก็คือด้านที่อยู่ข้างล่าง (ถูกปิดทับไว้) มันดำมืด และเป็นที่ซึ่งข้อมูลทั้งหมดออกมา ถ้าคุณนำสัญญลักษณ์ลูกบากศ์นี้เข้ามาในโลกกายภาพ ซึ่งมันมีรอยแตกอยู่ มันจะเป็น foundation เสมอ (ฐานราก) ซึ่งมันก็คือ force คือพลัง ถ้าคุณมีรอยแตกแยกที่ฐานราก คุณจะมีรอยแยกที่โครงสร้างทางกายภาพ และ physical foundation ที่พูดถึงนี้มัน invisible (ไม่สามารถมองเห็นได้) แต่ไม่ใช่ unmeasurable ดังนั้นคุณก็ต้อง shift you position ยกเคลื่อนตำแหน่งที่คุณอยู่ เพื่อจะข้ามขอบจิตวิญญาณของคุณ ถ้าคุณไปที่สูง จิตวิญญาณคุณก็สูงขึ้น แต่หากจะเข้าหารากฐานแล้วล่ะก็ คุณจะต้องลงลึก แล้วถ้าคุณลึกถึงแกน...ดังนั้น เคล็ดลับก็คือการสืบค้นเรื่องแสงอยู่นั่นเอง เกิดอะไรผิดพลาดขึ้นกับแสง บางทีคนเรามีปัญหากับเพื่อนบ้านแล้วทำให้ป่วย เรื่องนั้นเรื่องนี้ อาจจะโยงไปถึงแม่ของคุณหรือเพื่อนบ้าน หรือใครต่อใคร คุณจะสามารถเกี่ยวโยงถึงได้ เพราะว่าคุณได้สร้างการเชื่อมต่อเอาไว้ ถ้าร่างกาย (กายภาพ) ได้สร้าง connection แล้ว ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับสิ่งที่คุณเชื่อมต่ออยู่ก็จะกระทบถึงคุณทันที อย่างเช่น เราอยู่ด้วยกันในห้องนี้ แล้วมีคนตอกตะปูอยู่ตรงข้างฝา (นอกห้อง) มันจะไม่ทำให้ผมได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อไหร่ก็ตามผมไปเชื่อมต่อกับฝาผนังด้านนั้น (เอามือไปทาบ) make a connection ตะปูที่ตอกก็อาจจะทะลุเข้ามาถึงฝ่ามือผมได้ วิธีที่ปลอดภัยคือดึงมือคุณกลับออกมาซะ ตัดการเชื่อมต่อนั่น cut the connection แล้วการเชื่อมต่อนี้ก็มีหลายระดับ ที่พูดมานี่เป็นประเภทของการเชื่อมต่อที่คุณไม่ต้องการ แต่อย่างไรก็ตามบางครั้งเราถูกโปรแกรมให้ตัดการเชื่อมต่อ disconnect มีเรื่องเล่าพื้นบ้าน ความเชื่อมากมาย ว่าเราถูกโปรแกรมให้ทำตาม แล้วเรื่องเหล่านี้ก็ทำให้เราป่วย โดยการถูกกระทำ (อย่างการสาปแช่ง โดนของ?) เรื่องพวกนี้ถูกเก็บอยู่ในชีวิตคุณ เหมือนระเบิดที่ซุกซ่อนอยู่รอวันส่งผลกระทบต่อคุณ ดังนั้น ตัดมันไปซะ มันจะได้ไม่ส่งผลต่อคุณ คุณจะได้เปล่งแสง สว่างกระจ่างขึ้น เพราะวิญญาณของคุณถูกกระทำโดยสิ่งเหล่านี้ ทีนี้เมื่อระบบของคุณฟังก์ชั่นเหมาะสมแล้ว ร่างกายของคุณก็จะเห็นโดยอัตโนมัติว่าปัญหาอยู่ตรงไหน มันเป็นระบบแยกแยะ วินิจฉัย แต่เราทั้งหลายก็ถูกครอบงำโดยรัฐบาล ว่าเราไม่สามารถจะวินิจฉัยด้วยตัวเองได้ เราก็เลยไม่ทำ แต่ต้องทำ!! ร่างกายของคุณจะต้องบอกคุณว่าอะไรถูก อะไรผิด ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าแยกแยะไม่ได้ก็กลายเป็นก่อการร้าย แล้วเราก็ก่อการร้ายไปทุกเรื่อง ในเรื่องที่เรารู้ว่ามันไม่ดีกับเรา บางทีร่างกายก็หลงลืมไป บางทีก็ไม่ยอมสร้างทดแทนใหม่อีกแล้ว (regenerateเซลทุกเซลไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากแสง ไม่ได้เป็นอะไรอื่นนอกจากดวงดาว มันเป็นดวงดาวจริงๆ กระบวนการในเซลทั้งหมดเกี่ยวโยงกับแสง บ่งชัดว่าเป็นดวงดาว แล้วเราทั้งหลายก็รู้ว่าดวงดาวนั้น regenerate ทุกอย่าง แต่ร่างกายเราไม่ได้ทำอย่างนั้น เซลก็ไม่ทำ พวกมันหยุดไปเฉยๆ บางทีผมก็คิดนะว่า เราต้องตายเพียงเพราะว่าเราอยากตาย (expect to die) นั่นก็เป็นรูปแบบของพลังอีกแล้ว เพราะตั้งแต่เราเชื่อมต่อโยงใยผ่องถ่ายพลังกันไปหมดทั้งจักรวาล แล้วเราก็ต้องรู้จักพอ ต้องหยุดที่จะ input เพราะพลังงานมันมากเกินไปแล้ว และเพื่อจะทำการ regenerate หรือสร้างขึ้นมาใหม่ด้วย ต้นฉบับบอกไบโอโฟตอนแผ่รังสีโดยดีเอ็นเอ แต่ในครอสการเรียนในมหาวิทยาลัย มันมีคำถามว่าไบโอโฟตอนมาจากไหน ก็บอกว่าใช่ดีเอ็นเอ originate ขึ้นมาโดยการ emission แต่ผมไม่ค่อยพอใจกับคำตอบนี้เท่าไหร่ ผมอ่านมามากกว่า 25000 หน้ากระดาษ เป็นเรื่องโรคเรื้อรัง (chronicle illness) หรือพวกโรคร้ายแรงต่างๆ ผู้ป่วยหายอย่างเป็นปาฏิหารย์ 95% เป็นประสบการณ์อันน่าอัศจรรย์ แล้วพวกเขามักบอกว่าพระเจ้าอำนวยพร ผมก็เลยโอเคงั้นพระเจ้าก็จะอยู่กับผมต่อไป บางทีนะครับ แค่บางที มันอาจจะไม่ใช่การแผ่รังสี emission แต่เป็นการสะท้อน reflection ของแสง ของ soul กับเซล เพราะว่าในการสะท้อนมันมีเพียงหนึ่งเดียว เพราะตอนที่เค้าเห็นว่าแสงออกมาจากเซล แต่แสงอาจจะมาจากแห่งกำเนิดอื่นก็ได้ภายนอกเซลนั่น แล้วมาส่องสว่างอยู่บนเซล แล้วก็สะท้อน ผมคิดกับมันอยู่ เรามีการสะท้อน เรามีปาฏิหารย์ แล้วก็วิญญาณซึ่งเป็นส่วนประกอบของพระเจ้า มองย้อนไปนานนับปีที่ผมมีบทสรุปว่า มันจะต้องเป็นแสงของวิญญาณ the light of the soul ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็จะทำให้มันใสกระจ่างได้เสมอ!! แต่ไม่ใช่ผมไปรักษาคุณนะ คุณต้องรักษาตัวคุณเอง แต่จะช่วยให้คุณสามารถทำอย่างนั้นได้ แล้วผมก็จะเริ่มดูแลระบบฮอร์โมนก่อนเสมอ เพราะว่าการฟังก์ชั่นทั้งหมด ทุกจุด ควบคุมโดยฮอร์โมน และเมื่อผมทำอย่างนั้นแล้ว ในทันทีทันใดผมก็จะได้รับความร่วมมือจากร่างกาย พอระบบฮอร์โมนคลีนแล้วความร่วมมือจะเกิด แต่ก็ไม่ได้เกิดการยอมรับทั้งหมด จะติดขัดตรงจุดที่ร่างกายไม่เชื่อมต่อกับวิญญาณ อันนี้เป็นอีกปัญหาที่เกิดอยู่ ซึ่งทำให้ผมคิดว่าคนหลายคนบนโลกใบนี้ ยังไม่เป็นคนซะทีเดียว ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะทำยังไง แสงก็ไม่ส่งผลอะไรกับพวกเขา สิ่งสำคัญอันดับแรกสุดที่จะเข้าสู่ร่างกาย สู่กายภาพคือ Pituitary Gland (ต่อมใต้สมอง) ในทาง MD Science ถือเป็นหัวหน้าใหญ่ของร่างกาย chief of body เป็นศูนย์กลางของ discommendation (การไม่ส่งข้อมูล) ถ้าคุณอยากให้ร่างกายรักษาตัวเอง ตรงนี้เป็นจุดแรกที่ต้องทำให้ถูกต้อง จุดที่สองคือ Pineal Gland (ต่อมเหนือสมอง) แต่ต่อมใต้สมองมันสำคัญมากๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับต่อใต้สมองของพวกเราล่ะ มันพิการไปเพราะผลกระทบจากโปลิโอ ซึ่งทำให้มันพิการไปได้ในทุกกรณี มันทำให้เป็นอัมพาต (paralyze) แล้วในขณะที่เป็นอัมพาตก็ไม่ส่งไม่สื่อสารอะไร อันทำให้ร่างกายคุณเข้าสู่สภาวะเสื่อมถอย (degenerate) ทั้งที่มันควรจะสร้างเสริม (regenerate) อย่างบางทีตรงลำคอ ระบบป้องกันการติดเชื้อ มันทำให้ระบบเมตาบอลิซึ่ม (Metabolism) ทั้งหมดกลายเป็นอัมพาต มันบิดเบี้ยว บกพร่อง ซึ่งถ้าระบบเมตาบอลิซึ่มของคุณมันไม่ฟังก์ชั่นทำงานตามหน้าที่ ก็อาจจะเป็นโรคกระดูกลีบ(osteoporosis) ข้อต่ออักเสบ(arthritis) นิ่วในถุงน้ำดี(gall stone) นิ่วในไต(kidney stone) ทั้งหมดมันเกิดจากเหตุของความไม่เชื่อมโยงของกายกับจิต affectionate แต่นั่นเป็นเพียงระดับกายภาพ มีการอาการมากกว่า 100 ประเภท ที่อยู่ทั้งสองด้านคือทางกายภาพ กับทางอารมณ์ spiritual ดังนั้นทุกคนจะมี remedies ที่จำเป็นเฉพาะของแต่ละคนในการที่จะใช้คลีนระบบฮอร์โมน แต่ไม่มีใครทำการตรวจวินิจฉัยอย่างนี้อีกแล้ว เมื่อพบว่าร่างกายยังมีพิษต่อเนื่อง เพราะว่าทุกสสารมันเป็นพิษทั้งนั้นถ้ามันไม่ใช่ส่วนของร่างกายเอง เศษขนมปัง ผัก ก็เป็นพิษ มันจะไม่เป็นพิษก็ต่อเมื่อมันเข้าสู่กระบวนการเมตาบอลิซึ่ม เพราะมันเป็นกระบวนการย่อยสลาย เพื่อเปลี่ยนมันให้เป็นสิ่งที่ร่างกายเอามาใช้ประโยชน์ได้ แล้วอะไรที่ร่างกายใช้ไม่ได้ก็จะถูกเลือกออกไป ร่างกายจะไม่ดูดซึม แล้วเราก็ไม่ได้มีกระบวนเมตาบอลิซึ่มนี้เฉพาะแต่ในทางกายภาพ แต่มีกระบวนการนี้ในทางอารมณ์ด้วย มันต้องมีการย่อยสิ่งต่างๆ ทั้งระดับกายภาคและไม่ใช่กายภาค หากคุณอนุญาติให้ผ่านเข้ามาโดยไม่ผ่านกระบวนการก็เรียกได้ว่าคุณกำลังวางยาพิษร่างกายตัวเองซึ่งปัญหาหลักจริงๆ ของโรคเอดส์ เพราะว่าใครเป็นกลุ่มเสี่ยงโรคเอดส์ พวกรักร่วมเพศ พวกเขาฟังก์ชั่นผิด มันไม่ผ่านกระบวนการ หรือคุณจะดูที่ IV หรืออะไรก็ตาม คุณเป็นพิษ เพราะมันไม่ผ่านกระบวนการเมตาบอลิซึ่ม แล้วเอดส์ก็โอเว่อร์โหลดจากพิษโปรตีน (flour protein) ในร่างกาย ในเลือด ผมศึกษาจากมูลนิธิเอดส์ พวกวัยรุ่นกลุ่มเสี่ยง โสเภณี รักร่วมเพศ สิ่งที่เดียวที่ทำให้พวกเขาโคม่าคือโปรตีนแป้ง หลายปีก่อนผมทำงานที่โคโลราโดกับผู้ป่วยเอดส์คู่หนึ่ง พวกเค้ามาหา ป่วยหนักมาก จะไปทำblood saturation แล้วจะไปทำ IV ผมบอกถ้าคุณทำอย่างนั้นคุณตายภายใน 24 ชั่วโมง เขาไปทำ แล้วตาย แต่ไม่ได้ตายเพราะเอดส์ เขาตายเพราะร่างกายหยุดทำงาน มันมอดไหม้และเต็มไปด้วยพิษ ดังนั้น..อะไรที่มันไม่ belong ในร่างกาย มันก็ไม่ belong สำหรับ energetic body มันคือพิษ แม่คุณอาจจะเป็นพิษสำหรับคุณ ปู่คุณ พ่อคุณ ใครก็ตามเป็นพิษใหญ่โตสำหรับคุณได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะจากครอบครัว หรือจากเพื่อนข้างบ้าน ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นพิษได้หมด คุณจำเป็นต้อง eliminate ขจัดออกไป อย่างถ้าเป็นแม่คุณ ผมเขียนชื่อเธอบนแผ่นกระดาษอย่าง neutralize แล้วผมส่งคืนให้คุณอย่าง opposite vibration (พลังคลื่นตรงกันข้ามกับแม่) ทุกอย่างจะถูกส่งถึงคุณด้วยสัญญาณที่ตรงกันข้าม หากเราต้อง neutralize (กระบวนการที่ทำให้เป็นกลางทางเคมี หรือหักล้างในทางคลื่นพลังงาน)การ neutralize ก็คล้ายกับ exorcises ปราบผี คนไล่ผีปีศาจได้ เมื่อเรียกชื่อมันได้ นี่คือหนทาง ทุกอย่างเหล่านี้มันเป็นปีศาจทั้งนั้น ตราบเท่าที่คุณตั้งชื่อให้มันได้ ก็จะ neutralize ได้ ในท้ายสุดมันก็คือการ ให้ชื่อกับบางสิ่งบางอย่าง อาจเป็นยายคุณหรือใครบางคน แต่ทุกอย่างล้วนมี energetic signature (ลายเซนต์ทางพันธุกรรม) ทุกอย่างมี information package เครื่องมือพวกนี้ instrument ทำอะไรกับชีวิตบ้าง .. สิ่งที่มันทำก็คือสร้างคลื่นที่ตรงกันข้ามขึ้นมาหักล้าง หักล้างตรงกันข้าม ชนิดพอดิบพอดีเสมอ บางครั้งเรามีกระบวนการ mutation (กลายพันธ์) คุณอาจจะมีแบคทีเรียที่เป็นโฮสให้ไวรัสกลายพันธ์ (Methicillin-resistant Staphylococcus aureusMRSA-อ่านรายละเอียดโดยเช็ค google ได้นะคะ) มันเป็นการกลายพันธ์ มันคือไวรัสกลายพันธ์ อาจจะแค่ภายใน 10 วินาที แล้วด้วยเหตุผลนี้ การไปซ่อมรักษามันไม่มีประโยชน์ เพราะมันต้านผิดตัว แต่นี่มันจะเป็นกระบวนการ mutate back (กลายกลับ) ใน remedies และ signature ใน instrument จะ match กันพอดี เมื่อเข้าไปต้านสองด้านอย่างนี้ ผลสุดท้ายก็จะออกมาเป็นศูนย์ คือไม่มีโรคภัย (disease) ทุกอย่างมันมีลักษณะคลื่นของมัน ความถี่ และข้อมูลของมัน ในฐานข้อมูลเหล่านี้ เป็นจุดที่มีโปรแกรมอยู่ และเป้าหมายของการบำบัดก็คือการ deprogram มันมีโปรแกรมเดียวที่ in order ก็คือ god original program และทุกคนสุดท้ายก็ต้องตายในที่สุด ก็ถ้าคุณมีไวรัสในระบบคอมฯ มันไปสร้างปัญหา สุดท้ายคอมคุณก็พัง หรือคุณตายในที่สุด ถ้าคุณ deprogram กดปุ่ม reset แล้วร่างกายคุณก็จะเริ่มฟังก์ชั่นอีกครั้ง ทุกอย่างกลับมาฟังก์ชั่นใหม่ได้หมด ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไป เคสที่เลวร้ายที่สุดที่ผมเจอเป็นผู้หญิงแมกซิกัน อายุ 35 มีลูกสามคน เหลือเวลามีชีวิตอยู่แค่ 2 สัปดาห์ เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ผมบอกให้เธอมาหาผมทุกวัน เพราะว่าการเอามะเร็งออกไปเป็นเรื่องนึง แต่การให้ร่างกายเธอมีพลังงานในการที่จะบำบัดรักษา ก็เป็นอีกเรื่องนึง มันใกล้จะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่แล้วผมก็สอนให้ลูกๆ ของเธอทั้งสามคน นวดเท้าให้แม่ คนละสามรอบต่อวัน เธอก็จะได้รับการนวดเท้าวันละ 9 รอบทุกวัน และนั่นทำให้เธอได้รับพลังงาน ในการบำบัด ซึ่งก็ทำไปได้มาก เพราะว่ามะเร็งไม่ใช่โรคภัย มันคือระบบป้องกันร่างกาย (โดยตัวของมันเอง) protection organism of the body และมะเร็งเป็นเรื่อง quality ซึ่งคุณเปลี่ยนแปลงมันได้ จากโมเลกุลสู่โมเลกุล ไม่ทำ bioxydyn , pet (scan) fear นั่นทำลายล้างเลย degenerate มันทำให้ร่างกายคุณแย่ลง เมื่อพยาธิวิทยาเห็นมัน มันก็เสื่อมไปมากแล้ว มันไม่เชื่อมโยงอะไรกับร่างกายคุณแล้ว pep scan fear มันดีถ้ามันพบได้ในทันทีทันใด และอีกครั้งที่คุณจะสำนึกได้ในความคิด ในใจคุณ เมื่อมีบางอย่างเกิดผิดปกติขึ้น ผมมีคนไข้เยอะมาก โดยเฉพาะผู้หญิง เธอมาในที่สุดหลังจากผ่านไปสิบปี สิบห้าปีแล้ว จากการประเมินของผม ผมบอกโอ้ คุณบอกหมอตลอดเวลาเลยเหรอ ผมพบว่าพวกเธอมีความสุขที่สำนึกได้ เพราะเวลาคุณจำได้ คุณจำความรู้สึกได้ คุณรู้สึกยังไงบ้าง ก็มีเพียงแต่คุณเท่านั้นที่รู้ หรือคุณน่าจะต้องรู้!! แต่แล้ว มันก็จะได้รับมาจากการฟัง ฟังเสียง instrument เสียงเครื่องดนตรี มันทำให้เกิดเสียง หรือร่างกายคุณก็ส่งเสียง ไปยัง instrument และเมื่อคุณฟังโทน ฟัง pitch คุณจะเห็น ได้ยินอะไรเยอะมาก แน่นอนเพราะผมทำอย่างนี้มา 25 ปีแล้ว มันอาจง่ายสำหรับผมที่จะพูด แต่สิ่งที่คุณได้ฟังอยู่ตอนนี้มันเป็น knowledge เป็นองค์ความรู้ เป็นความรู้จากความคิด และคุณก็สามารถจะลืมความรู้ไปได้หมด ความรู้มันไร้ประโยชน์ ความรู้ทุกอย่างไร้ประโยชน์ มันจะมีประโยชน์ต่อเมื่อคุณมีประสบการณ์กับมัน มันจะกลายเป็น knowing การรู้ ที่มีประโยชน์มาก จนกว่าจะมีประสบการณ์มันก็แค่ บราๆๆ..ดังนั้นเราถึงบอกว่าจะต้องมีประสบการณ์กับมัน 90% ของนักบำบัดของเราเคยเป็นผู้ป่วยมาก่อน 90% นะ ทั้งในฮอล์แลน นอรเวย์ ญี่ปุ่น จะเคยป่วยมาแล้ว ป่วยเรื้อรัง แล้วดีขึ้นอย่างทันทีทันใดพวกเขาทุกคน (อดีตผู้ป่วยที่กลายมาเป็นนักบำบัด) ทำได้สำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ ผมคิดว่าพวกเค้าเป็นผู้ถูกเลือก เพราะเค้าผ่านการสร้าง(ปัญหา) และแก้ไขไปได้ เขาถึงได้สังเกตเห็นอะไรมากมาย อย่างความตึง และการปลดปล่อย (คุณจะรู้ว่าจุดปล่อยมันอยู่ที่ไหน) ไม่สำคัญว่าจะรักษาหรือการวินิจฉัยจะเต็มที่สักแค่ไหน ทั้งหมดมันไม่มีอะไรสำคัญ คุณแค่ต้องรู้ว่าฟังก์ชั่นคืออะไร? ในครอสของเรามี Energetic Antonyms (พลังด้านตรงกันข้าม) Energetic Physiology (พลังแห่งสรีรวิทยา), Energetic Pathology (พลังแห่งพยาธิวิทยา) ซึ่งมันแตกต่างกันทั้งหมด และเป็น law ของสรีรวิทยากับพยาธิวิทยา นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเรื่องราวทั้งหมดมันแพร่ขยายออกไปอย่างไร เป็นปากต่อปาก มีเพียงผู้ป่วยเท่านั้นที่จะต้องรับผิดชอบ คนส่วนใหญ่ถ้าไปถามว่าเป้าหมายในชีวิตของพวกเค้าคืออะไร พวกเค้าจะตอบว่าเพื่อมีชีวิตอยู่รอด (survive) ผมคิดว่าตอบอย่างนี้มันเป็นลบมาก เพราะถ้าคุณยังอยู่ ยังไงคุณก็อยู่รอดอยู่แล้ว ผมว่านั่นมันเป็นเพราะพวกเค้าไม่เคยทำในสิ่งที่ต้องการจะทำจริงๆ ในชีวิต เมื่อเป็นอย่างนั้น ชีวิตก็เลยปฏิเสธการที่จะอยู่รอด นั่นเป็นเพราะว่าเราถูกโปรแกรมมาให้ตกเป็นทาส เซอร์นิโคลัสพูดไว้ในประมาณปี 1700 ว่า Freedom is dangerous (อิสรภาพเป็นอันตราย) เป็นทาสสบายกว่า และคนส่วนใหญ่ก็อยู่กับความเป็นทาส ในระหว่างปีนั้น ประมาณช่วงอีสเตอร์ มันก็เป็นช่วงที่มหาวิทยาลัยกำลังแสวงหานิยามความหมายของ “สุขภาพ” Health คืออะไร? ในช่วงเวลาอันยาวนานที่ปราศจากเสรีภาพ เราก็มาได้ข้อสรุปกันว่า มันคือ “อิสรภาพ” ทั้งหมดมันไร้สติปัญญา... เรามีงานวิชาการตั้งแต่หนึ่งปี หลังจากโปรโมทมหาวิทยาลัย โดยองค์กรมหาวิทยาลัยสากล ในเมืองกราส ออสเตรีย และการสอนที่เราทำกันอยู่ในตอนนี้ก็มีร่วมอยู่ด้วยกับพวกเขา คนต้องการไปนวด (คล้ายเป็นแพทย์พื้นบ้านของทางยุโรป?) แล้วตั้งแต่ปีกลาย เรื่องไบโอโฟตอนได้รับการยอมรับขึ้นมาอย่างทันทีทันใด เราก็เป็นเพียงหนึ่งเดียวที่สอนเรื่องนี้ ผมก็มีประสบการณ์มา 27 ปีศาสตราจารย์ปอปป์ (Dr. Fritz Albert Popp) เป็นผู้ค้นพบไบโอโฟตอน เขาก็ยังมีสถาบันวิจัยของเค้าอยู่ในเยอรมัน แต่พวกเค้าก็เพียงค้นพบและทำวิจัย ระดับพื้นฐาน แต่ไม่มีใครทำ application ผมเป็นแค่คนเดียวในโลก (คิดว่านะ) ที่เอามาประยุกต์ใช้ แล้วคุณจะเอามันไปประยุกต์กับพื้น สัตว์ ปลา อย่างถ้าคุณเก็บแอปเปิ้ลมาจากต้น ใส่ลงไปในถังน้ำ ชาร์ตกระแสไฟฟ้าลงไปสองนาที แอปเปิ้ลจะ stay wood forever! (ได้ออริจินอลของแอปเปิ้ล?!?) แล้วเราก็มี ข้าวโพดซึ่งได้สายพันแท้ (original) แล้วพวกพันธ์ผสม (hybrid) โปรแกรมมาจาก เมล็ดพันธ์ seed เสมอ คุณจะสามารถได้ต้นแบบของมันเสมอ แต่ถ้าคุณมีข้าวสาลีสักสองรวง เอาไปใส่ในน้ำ แล้วทำเหมือนกัน ข้าวจะไม่กลับคืนมาอีก มันเป็นอะไรที่เฉพาะเจาะจงมาก ถ้าคุณต้องการข้าวสาลี คุณต้องทำหมดทั้งสวน ..เราเริ่มตั้งวิทยาลัยกันที่นี่ในซานตาเฟ่ กันใน ปี 2010 ฤดูใบไม้ร่วง เราสามารถจะเริ่มครอสที่ตอนนี้เริ่มไปได้สองสามสัปดาห์แล้ว แล้วผมก็ได้รับอนุญาติจากมหาวิทยาลัยในกราส โดยกระทรวงศึกษาฯ ของออสเตรีย ให้ทำวิทยาลัยที่นี่ได้ ในอเมริกานี้ ถ้าคุณอยากได้ข้อมูลเพิ่มก็ขอให้ไปดูในเวปไซด์ได้ หรือส่งอีเมล์ถึงผมก็ได้ ผมมีชุดข้อมูลให้สำหรับผู้สนใจ ผมคิดว่าตอนนี้เราอยากทำการสาธิตบ้างแล้ว (มีคนถามว่าทำไมต้องทำที่ซานตาเฟ่) ผมคืนกลับมา ผมเคยอยู่ที่นี่ยี่สิบปีที่แล้ว อีกอย่างคืนผมไม่เคยวางแผน แต่คอยเฝ้าดูว่าอะไรจะเข้ามาหาผม แล้วซานตาเฟ่ (รัฐนิวแมกซิโก) ก็มาหาผม ขออีกคำถามนะ ตอนที่คุณแสดง wave form เห็นคุณหย่อนก้อนหินลงไปในบ่อน้ำ แล้วหินกับน้ำในบ่อก็สร้างรูปแบบคลื่น ดังนั้นรูปแบบคลื่นนี้ก็อาจจะเป็นต้นแบบของธรรมชาติหรือรูปแบบออริจินอลที่เก็บอยู่ในหิน อยากให้อธิบายเรื่อง origin ..ครับมันเป็นการ cancel ทำให้มันเป็นกลาง neutralize ตัวอย่างเช่นถ้ามีไวรัส ประเด็นของมันก็คือการออริจเนต เริ่มต้นขึ้นแล้ว อย่างการโยนก็หินลงไปในบ่อ คลื่นอาจจะเกิดขึ้นแล้วหายไปเองได้ แต่ถ้า original มันยังอยู่ ยังไม่ถูก cancel (คือก้อนหินที่ยังจมอยู่ก้นบึง) มันก็จะกลับมา คุณอาจจะโยนก้อนหินอีกก้อนตามลงไป (หักล้างคลื่นกัน) คราวนี้มันก็จะไม่เหมือนเดิม แล้วถ้าคุณโยนหินก้อนนึงลงไปที่ฝั่งนี้ อีกก้อนไปที่ฝั่งนั้น และถ้ามัน matching กันพอดี คลื่นจะเข้าสอดแทรกกัน resonance กัน แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างนั้น มันจะเคออสhttp://www.youtube.com/watch?v=2STCpAJtSRw&feature=related

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น